บทที่ 5
ซีซาเร่เบาเครื่องยนต์อัลฟ่า โรมิโอของเขาลง เมื่อเข้ามาในที่จอดรถหน้าบริเวณศาล
“คงไม่ว่าอะไรนะครับ ถ้าจะต้องคอยผมสักครู่ ผมจะวิ่งไปรับเอกสารข้างใน”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่รีบหน่อยก็แล้วกัน ฉันไม่อยากให้เขามาไล่”
“ไม่มีใครกล้าไล่หรอก” เขาเปิดประตูรถ ก้าวเดินอย่างกระฉับกระเฉงมุ่งหน้าไปที่ประตูทางเข้าอาคาร
บาบาร่ามองตามร่างของเขา เห็นเขาเดินเข้าไปด้านที่มีป้ายเขียนบอกไว้ว่า “สำนักงานอเมริกันฝ่ายความเป็นกลางและตรวจคนเข้าเมือง” ท่าทางเขาเหมือนเด็กหนุ่มที่กำลังรีบร้อนจะทำอะไรสักอย่างให้เสร็จเร็วๆ เช่นนั้น
อาจจะเป็นเพราะ หลังจากที่เขากลับจากยุโรปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วและบอกกับเธอว่า เขาได้ตั้งใจแล้วที่จะแปลงสัญชาติเป็นอเมริกันเสียที และวันนี้ก็เป็นวันที่เขาจะต้องมารับเอกสารการแปลงสัญชาติ ทั้งยังได้ขอให้เธอร่วมเดินทางไปพักผ่อนด้วยกัน ณที่ใดที่หนึ่ง ที่กำลังสว่างไสวด้วยแสงอาทิตย์
ซึ่งเธอก็ตอบรับคำชวนเชิญนั้นอย่างไม่จำเป็นที่จะต้องหยุดคิด อดไม่ได้ที่จะยิ้มให้ตัวเองด้วยความภูมิใจ บางทีครั้งนี้ เขาอาจจะคิดจริงจังกับผู้หญิงสักคนขึ้นมาก็ได้
เธอชะเง้อมองไปตรงมุมถนนที่กำลังมีเสียงเอะอะเกิดขึ้น มีคนจับกลุ่มกันอยู่ตรงนั้น ตำรวจคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาหาเธอ
“คุณจะจอดรถอยู่ตรงนี้อีกนานไหมครับ?”
“ไม่ค่ะ...ไม่นานหรอก เพื่อนฉันเพิ่งเข้าไปรับเอกสารในตึกนั่น เดี๋ยวก็ออกมาค่ะ เอ้อ...คุณคะ นั่นเขาเกิดอะไรกันตรงนั้นคะ?”
“คงไม่มีอะไรมังครับ ตรงนั้นมันจตุรัสโฟเล่ย์ พวกที่ไม่มีอะไรทำก็มักจะมาชุมนุมกันอย่างนี้บ่อยๆ แต่วันนี้คงเป็นเพราะอยากเข้าไปฟังคำให้การในศาลมากกว่า” เขาก้มศีรษะให้เธอเล็กน้อยก่อนจะเดินจากไป
ซีซาเร่เดินตรงเข้าไปที่แผนกต้อนรับ พนักงานหนุ่มน้อยชาวอเมริกันเงยหน้าขึ้นยิ้มให้อย่างกันเอง
“ผมชื่อซีซาเร่ คาดิลนัลลิ จะมาขอรับเอกสารครับ”
“เอกสารโอนสัญชาติใช่ไหมครับ?”
“ครับ...ใช่”
เจ้าหน้าที่เปิดลิ้นชักก้มลงค้นหาอะไรบางอย่างแต่แล้วก็เงยหน้าขึ้น
“กรุณานั่งคอยสักครู่นะครับ คุณดาคินัลลิ อีกสักสิบนาทีก็คงเสร็จ”
“ไม่เป็นไรครับ เอ้อ...ห้องน้ำอยู่แถวนี้หรือเปล่า?”
“ต้องออกไปทางประตูนี้แล้วเลี้ยวซ้ายครับ”
“ขอบคุณ เดี๋ยวผมมา”
เขาผละจากหน้าเคาเตอร์นั้น เดินออกประตูตัดออกไปตรงห้องโถงกลาง หยุดที่หน้าห้องสุขาชาย เหลียวมองไปรอบๆ ขณะนี้ไม่มีใครสนใจเขาเลย เขาก้าวยาวๆ เปิดประตูที่ติดกับด้านห้องน้ำขึ้นบันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้นบนอย่างรีบเร่ง
รถบัสสีดำคันหนึ่ง จอดลงหน้าประตูทางเข้าศาล ผู้คนต่างวิ่งเข้าไปล้อมรถคันนั้นด้วยความอยากรู้อยากเห็น เบเคอร์มองออกไปทางหน้าต่างกระจก ก่อนหันมาพูดกับผู้ที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณนี่แฟนแยะจังนะ”
ผู้ที่เขาพูดด้วยคือ ดิงกี้ อดัมส์ ใบหน้ายาวเหมือนม้าซึ่งเป็นคนที่จะต้องสาบานตนเข้าเป็นพยานในคดียาเสพย์ติดครั้งสำคัญนี้ เขากำลังถอดหมวกออกจากศีรษะ
“นั่นสิ ชีวิตผมคงมีค่าแค่สองเซ็นต์เท่านั้น ถ้าพวกนั้นรู้ว่าผมเป็นใคร”
“รับรองได้ ว่าไม่มีใครมาแตะต้องคุณได้หรอก เราบอกคุณแล้วไงว่าคุณจะได้รับการคุ้มกันอย่างดีเยี่ยม ถึงขณะนี้คุณก็รู้แล้วว่าเราทำได้ดีแค่ไหน”
ใบหน้าของนายร้อยเอกสแตรงยื่นเข้ามาตรงหน้าต่างรถ
“โอค...ตำรวจเคลียร์ทางให้แล้ว ไปกันเถอะ”
เบเกอร์ก้าวลงมาก่อน ตามมาด้วยกลุ่มตำรวจนอกเครื่องแบบที่ล้อมตัวดิงกี้ อดัมส์ไว้โดยรอบ เสียงผู้คนอื้ออึงขึ้น มีใครบางคนที่จำเขาได้ ตำรวจทั้งนอกและในเครื่องแบบต้องทำงานกันอย่างหนัก เพื่อป้องกันการฆ่าปิดปากพยานสำคัญ นักข่าว ช่างภาพ ต่างก็แย่งชิงกันตะโกนสัมภาษณ์และถ่ายรูป แต่ทุกคนในกลุ่มต่างก็ก้มหน้าก้มตาเดินอย่างรีบเร่งขึ้นไปบนตึกและเลี้ยวไปตามทางเดินด้านซ้ายของตัวอาคาร
“ทางนี้ ขึ้นลิฟต์ไปดีกว่า” ร้อยเอกสแตรงเดินนำไปยังลิฟต์ที่เปิดรออยู่แล้ว และทันทีที่ประตูลิฟต์ปิดลง ความตึงเครียดก็ดูจะผ่อนคลายตามไปด้วย เบเกอร์ยิ้มออกขณะกล่าวว่า
“ในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ”
ร้อยเอกสแตรงพยักหน้ารับ สีหน้าของเขาเองก็คลายความเคร่งเครียดลงมาก
“นั่นสิ อะไรๆ ที่น่าห่วงหมดไปแล้ว ที่จะต้องระวังก็แค่ข้างบน พวกนักข่าวคงรุมกันเต็มไปหมด” เขาหันไปทางดิงกี้ อดัมส์ที่กำลังหัวเราะเบาๆ
“ถ้าผมยังมีชีวิตอยู่ได้นานกว่านี้ คงจะได้แสดงความยินดีกับคุณอีกมากๆ แน่”
รอยยิ้มหายไปจากใบหน้าเบเกอร์ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก ตำรวจทุกคนส่งสัญญาณให้กันด้วยสายตา...
ซีซาเร่เดินแกมวิ่งขึ้นมาตามขั้นบันไดที่ทอดขึ้นสู่ชั้น 3 เมื่อขึ้นไปถึงแล้วเขาก็เดินเข้าไปร่วมกลุ่มกับผู้คนที่กำลังยืนออกันคับคั่งอยู่หน้าห้องพิจารณาคดี มีตำรวจรักษาการณ์อยู่ตรงนั้น 2 คน เขางอมือขวาขึ้นเล็กน้อย สัมผัสความเย็นของด้ามเข็มเหล็กที่ซ่อนไว้ในแขนเสื้อแจ๊คเก็ต รอยยิ้มประหลาดปรากฏขึ้นบนริมฝีปาก
หัวใจเขาเต้นระทึก มันเป็นความรู้สึกแบบเดียวกับเวลาที่เขากำลังพารถแข่งวิ่งเข้าสู่ทางโค้งและไม่รู้ว่าจะทำได้สำเร็จสวยงามหรือไม่ เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ยิ้มฉาบอยู่บนใบหน้า
ผู้คนกำลังเข้าไปมุงกันอยู่ตรงหน้าประตูลิฟต์ ซีซาเร่มองดูภาพตรงหน้าด้วยสายตาเฉื่อยชา เขายังไม่ได้ขยับจากที่ยืนอยู่ในตอนแรก เขารู้ว่าจะลงมือกระทำการในระหว่างที่ทุกคนยังอยู่ในลิฟต์ไม่ได้ รายงานที่เขาได้รับมาละเอียดพอสมควร เพียงแต่เขาไม่มีเวลามากพอที่จะเตรียมตัวเท่านั้น
และแล้ว...ประตูลิฟต์ก็เปิดออก เบเกอร์ก้าวออกมาก่อนติดตามด้วยพยานปากสำคัญ ซีซาเร่ขยับอย่างรวดเร็วเข้าไปทางด้านหลัง ผู้คนที่เบียดเข้ามาทำให้เขาเข้าไปประชิดกับตัวพยานได้ใกล้มากขึ้น แต่ยังหาจังหวะเหมาะไม่ได้ ตำรวจนอกเครื่องแบบเป็นตัวกั้นเขาไว้จากพยาน เขาได้ยินเสียงนักข่าวตะโกนสัมภาษณ์ แต่ก็เป็นคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบ แสงแฟลชกล้องถ่ายรูปวูบวาบไปทั่ว ช่างภาพทุกคนต่างพยายามที่จะจับภาพที่ดีที่สุดสำหรับหนังสือพิมพ์ของตน
เขาเพียงแต่รอจังหวะอยู่เท่านั้น ถ้าคนพวกนี้ก้าวเข้าไปในห้องพิจารณาคดี มันก็ช้าเกินไปแล้ว...
ตอนนี้เข็มเหล็กเข้ามาอยู่ในอุ้งมือของเขาแล้ว ขณะทุกคนกำลังเดินเข้าไปใกล้ประตูทุกทีนั้น ปอดของเขาก็ดูจะขยายใหญ่ขึ้นจนแผงอกลั่นเปรี๊ยะ ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าดูราวกับทุกคนกำลังเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ
ทุกคนในกลุ่มหยุดอยู่ตรงหน้าห้องพิจารณาคดีที่ประตูยังปิดอยู่ ตำรวจนอกเครื่องแบบที่คอยระวังหลังให้กับตัวพยาน เริ่มเคลื่อนตัวออกห่างช้าๆ ผู้คนต่างเบียดกันเข้ามาทางด้านหลัง
ถึงเวลาแล้ว...จะต้องเดี๋ยวนี้ด้วย...เขาบอกตัวเองอยู่เขาไม่ทันรู้สึกเสียด้วยซ้ำว่ามือของตัวเองเคลื่อนไหวออกไปได้อย่างไร มันคล้ายๆ กับเป็นอุปกรณ์อย่างหนึ่งที่ติดอยู่กับตัวเขามากกว่า เข็มเหล็กที่คมปลาบเล่มนั้นตรงดิ่งเข้าเป้าตรงหน้าอกด้านซ้ายพอดี...!
ร่างของพยานคะมำเข้าไประหว่างตำรวจ 2 คนที่กำลังเปิดประตูห้องพิจารณาคดี ซีซาเร่ค่อยๆ เบียดแทรกตัวออกและหันหลังเดินกลับไปทางบันได แสงแฟลชสว่างจ้าเกือบจะตรงใบหน้าเขาพอดี รู้สึกตาพร่าไปชั่วขณะ แต่สติมั่นคงพอที่จะเดินลงบันไดอย่างไม่เร่งร้อน
ความยุ่งยากกำลังเกิดขึ้นภายในห้องพิจารณาคดี โดยเฉพาะจากตรงทางเดินภายนอกที่มีเสียงเอะอะเกิดขึ้น เสียงที่ดังลั่นขึ้นทุกขณะ
แมทธิโอมองออกไปทางช่องประตูทางเข้า บิ๊ก ดัชกำลังลูบคลำเนคไทเล่นอย่างคนประสาทเสีย เอลลิ ฟาร์โก แทะเล็บอย่างพยายามควบคุมสติไว้ให้มั่น แม้แต่แดนดี้ นิคก็นั่งพับกระดาษที่วางอยู่ตรงหน้าเล่นอย่างใจลอย เสียงเอะอะดังลั่นไปหมด บิ๊ก ดัชเอนตัวเข้าไปหา
“ผมสงสัยว่าเขาจะเอาใครมาเป็นพยานนะ”
แดนดี้ นิค ถอนหายใจยาว เขาไม่อยากแสดงความหวาดกลัวออกมาให้เห็น
“เดี๋ยวคุณก็รู้เองละน่า”
แมทธิโอปรามทุกคนด้วยสายตา แล้วก็หันไปมองทางประตู ทุกคนต่างหันตามไปด้วยแล้วก็ได้เห็นภาพนั้น...ภาพตำรวจ 2 คนที่กำลังเปิดประตูห้องพิจารณาคดีกับร่างของพยานที่หน้าคะมำเข้ามา โดยมีแขนของตำรวจกางกั้นไว้ด้วยสีหน้าตกใจเต็มที่
“ไอ้ ดิงกี้ อดัมส์นั่นเอง...ไอ้สัตว์ระยำ” บิ๊ก ดัชคำรามออกมาอย่างน้ำเสียงกราดเกรี้ยว
ผู้พิพากษาเดินออกมาทางหน้าบัลลังก์ ตำรวจประคองร่างพยานไว้มั่น ใบหน้าของดิงกี้ อดัมส์ซีดเผือด ดวงตาเหลือกลานฉายแววหมดหวังอย่างเห็นได้ชัด เขาอ้าปากเหมือนพยายามจะพูดอะไรออกมาคำหนึ่ง แต่ไม่มีเสียงหลุดลอดนอกจากเลือดหยดเล็กๆ ที่ไหลออกมาจากมุมปาก ร่างน้ำคะมำอีกครั้งก่อนจะทรุดฮวบลง มือของเขากำเสื้อเบเกอร์ไว้แน่น
“ปิดประตู” สแตรงตะโกนออกมาอย่างตกใจ บิ๊ก ดัชเอนตัวเข้าไปหาแมทธิโอ
“เงียบ...!” แมทธิโอตวาดเบาๆ ดวงตาเป็นประกายวาบวับ
