สัมพันธ์ร้าย พันธนาการรัก

88.0K · จบแล้ว
โรสแมรี่ เอเรแกรน
39
บท
188
ยอดวิว
7.0
การให้คะแนน

บทย่อ

แต่แล้วจิตใต้สำนึกก็เตือนให้เขานึกถึงลุคขึ้นมา...อาจเป็นลูกของเขาเองกระมังที่กำลังร้อง...นั่นคงเป็นสิ่งที่ลุคพยายามอย่างยิ่งที่จะบอกเขาละมัง...นั่นหมายความว่า เธอได้อุ้มเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาไว้ในตัวเธอใช่ไหม...?

นิยายรักสัญญาทางรักครอบครัวใช้ความรุนแรงแก้แค้นแต่งงานก่อนรักพาลูกกหนีผู้ชายอบอุ่นคนธรรมดาฟินๆ

บทที่ 1

ค่ำคืนนั้นดูจะเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าเคย ทั้งที่เพิ่งจะ 4 ทุ่มกว่าเทานั้น แต่ทั้งบาร์มีแขกเหลืออยู่เพียงแค่ 4 คน บนเก้าอี้หมุนหน้าบาร์เป็นที่นั่งของ 3 คนแรก ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะ

ประตูเปิดออก ผู้หญิงคนหนึ่งก้าวเข้ามาด้วยท่าทางรีบร้อน ความหนาวเยือกเย็นพรูพรั่งตามเธอเข้ามาด้วย เธอกระชับเสื้อหนาวบางๆ ไว้แนบตัว เขยิบก้นไต่ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หมุนหน้าบาร์

“ขอเบียร์สักแก้วสิ”

บาร์เทนเดอร์รินเบียร์ใส่แก้วให้ส่งให้ แล้วจึงหันไปหยิบแก้วค๊อกเทลใบน้อยขึ้นมาเช็ดต่อเงียบๆ

“ไม่มีอะไรเลยหรือจิมมี่” ดวงตาของเอสอดส่าย พยายามจะสบสายตากับคนใดคนหนึ่งที่นั่งอยู่ตรงนั้น

“คงไม่หรอกมาเรีย คืนนี้มันเป็นคืนวันอาทิตย์ พวกทัวร์คงเข้านอนกันหมดแล้วละ”

เธอยกแก้วเบียร์ขึ้นจิบเงียบๆ บาร์เทนเดอร์เรียกเธอว่ามาเรีย สาวน้อยชาวปอโตริกันตัวเล็กๆ ผู้มีดวงตาสีดำสนิทสดใส ทรวดทรงองค์เอวเพียงดอกไม้แรกผลิเท่านั้น เขาเคยสงสัยอยู่บ่อยๆ ว่า เวลาออกไปนอนกับผู้ชาย เธอจะมีอะไรให้คนพวกนั้นบ้าง

ตอนนี้ดูเหมือนสาวน้อยจะลดความสนใจจากบรรดาผู้ชายที่นั่งอยู่หน้าบาร์แล้ว เพราะดวงตาของเธอกำลังจับจ้องมองบุรุษที่นั่งอยู่ที่โต๊ะเพียงลำพัง แม้เธอจะเห็นเขาเพียงแค่ด้านหลัง แต่เสื้อผ้าที่ตัดอย่างดี สวมใส่ได้เข้ารูปเข้าทรงนั้น บอกได้ทันทีว่าบุคลผู้นี้ไม่ธรรมดา เธอเลิกคิ้วเป็นเชิงถามและบาร์เทนเดอร์ก็ยักไหล่แทนคำตอบ

ผู้ชายคนนั้นกำลังพิจารณาแก้ววิสกี้ขณะที่เธอเดินเข้าไปหยุดตรงหน้า...

“เหงาไหมคะ ซินยอร์?”

เพียงดวงตาของเขาที่เหลือบขึ้นมอง เธอก็รู้คำตอบได้ในทันที ดวงตาสีน้ำเงินเข้มเยือกเย็นปานน้ำแข็ง ริมฝีปากที่บางเฉียบบอกความเด็ดขาดทำให้เธอชะงัก

“ไม่หรอก ขอบใจ

สาวน้อยยิ้มจืดๆ ให้ตัวเอง ก้มศีรษะให้เขานิดๆ แล้วก็เดินกลับไปที่บาร์ ไต่ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้หมุนอีกครั้งพร้อมกับล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบ

“ก็บอกแล้วไงล่ะว่าคืนนี้เป็นคืนวันอาทิตย์” บาร์เทนเดอร์พูดเบาๆ

เธออัดบุหรี่เข้าปอด พ่นควันออกมาช้า...

“รู้แล้วน่า” แววตาสลดลงวูบหนึ่ง “แต่ถึงยังไงฉันก็ต้องหางานทำนี่ มันช่วยไม่ได้”

เสียงกริ่งโทรศัพท์ข้างๆ บาร์ดังขึ้น บาร์เทนเดอร์รีบวิ่งไปรับ

“โทรศัพท์ของท่านครับ ซินยอร์ซีซาเร่” เขาโค้งกายให้บุรุษผู้นั้นอย่างนอบน้อม

“กราเซียส...” ซีซาเร่ยิ้มบางๆ ขณะเดินไปรับโทรศัพท์

เฮลโล...!”

“ต้องเป็นตอนเช้าพรุ่งนี้นะ คุณลงมือได้เลยตอนที่เขามาปรากฏตัวในศาล” เสียงผู้หญิงกระซิบร้อนรนมาตามสาย

“ไม่มีที่อื่นอีกแล้วหรือ?” ซีซาเร่กระซิบถามด้วยน้ำเสียงเดียวกัน

“ไม่หรอก เราไม่มีทางจะรู้ด้วยซ้ำว่าเขาถูกนำตัวมาจากที่ไหน รู้แต่เพียงว่าเขาจะต้องมาถึงศาลตอนสิบเอ็ดโมงเช้าเท่านั้น”

“แล้วคนอื่นๆ ล่ะ ยังอยู่ที่เดิมหรือเปล่า?”

“ใช่...ทั้งในลาสเวกัส ในไมอามี่ คุณวางแผนไว้หรือยังล่ะ?”

“ทุกอย่างพร้อมแล้ว” เขาตอบเรียบๆ

“จำไว้นะ คนๆ นั้นต้องตายก่อนจะนั่งลงในคอกพยาน” เสียงผู้หญิงกำชับมาอีก เขาเปล่งเสียงหัวเราะออกมาเบาๆ

“เอาเถอะน่า บอกดอน อีมิลโล่เถอะว่า ไม่ต้องห่วง ตอนนี้มันก็เท่ากับตายอยู่แล้วละ เท่านั้นนะ”

พูดจบเขาก็วางโทรศัพท์ ยกปกเสื้อโค้ทขึ้น ขณะก้าวออกไปสู่คืนที่เยือกเย็นในถนนอันเป็นย่านที่อยู่ของพวกสเปน

เมื่อเดินไปได้ประมาณสองช่วงตึกเขาจึงได้เรียกแท๊กซี่และสั่งให้คนขับไปส่งที่โรงแรม เอล มอรอคโค

เขาซุกร่างลงในเบาะด้านหลัง หยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบ ความระทึกใจค่อยๆ คืบคลานเข้าสู่ดวงจิต ความเป็นจริงเริ่มจะปรากฏขึ้นแล้ว เป็นครั้งแรกตั้งแต่สมัยสงคราม ที่เขาจะได้หวนกลับมาใช้อาวุธชนิดนี้อีกครั้ง และใช้มันอย่างจริงจังเสียด้วย

เขาหวนรำลึกไปถึงครั้งนั้น ผู้หญิงคนแรกกับความตายของเธอ...น่าแปลกนัก ที่มันมักจะเกิดขึ้นควบคู่กันเสมอ ความเป็นจริงแห่งการมีชีวิตอยู่ดูจะไม่สลักสำคัญอะไรเลย เมื่อเทียบกับการที่เราได้ยึดถือความตายไว้ในมือ พร้อมที่จะหยิบยื่นให้กับคนที่เป็นเหยื่อ

กาลเวลานั้นดูช่างผ่านมาเนิ่นนานนักแล้ว ตอนนั้นเขาเพิ่งอายุได้ 15 ปี ซึ่งตรงกับปี 1935 ในท่ามกลางเทศกาลงานรื่นเริงของหมู่บ้านชาวซิสิเลี่ยน ซึ่งลงหลักปักฐานอยู่ที่เชิงเขาแห่งหนึ่ง งานเทศกาลเช่นนี้ ชาวซิสิเลี่ยนมักจะจัดขบวนแห่ให้ใหญ่โตสวยงาม รูปของอิล ดุช แผ่นใหญ่ซึ่งเป็นผู้นำอยู่ในเวลานั้น จะถูกแห่แหนไปทั่ว ใบหน้าที่เคร่งขรึมกับแววตาที่เยือกเย็นของเขา ประหนึ่งจะประกาศว่า

“จงเป็นอิตาเลี่ยนกันเถิด เพราะคำว่าอิตาลี่ แปลว่าพลัง...”

ค่ำแล้วที่ซีซาเร่ผ่านเข้าไปในย่านนั้นขณะที่จะเดินทางกลับบ้าน เขาอดไม่ได้ที่จะแหงนมองขึ้นไปเหนือชะง่อนผา ที่ซึ่งมีปราสาทใหญ่ตั้งอยู่ รูปลักษณ์ของปราสาทหลังนั้น ดูมีความขัดแย้งกันอยู่อย่างไรพิกล ทั้งสง่างามและน่าสะพรึงกลัว อาจจะเป็นเพราะมันถูกสร้างมาเกือบ 600 ปีแล้วก็ได้ นับตั้งแต่เค้าท์คาดินัลลิคนแรกมีชีวิตอยู่

ขณะที่เขาออกเดินทางเพื่อจะขึ้นไปบนภูเขาจะต้องผ่านไร่องุ่นของแกนดอฟโฟ กลิ่นเหล้าองุ่นที่หมักไว้ลอยอวลอยู่ในสายลม เขายังรำลึกได้ถึงเสียงกลองที่ตีกระหน่ำและความระทึกใจที่เกิดขึ้นกับตัวเองในค่ำคืนนั้น ที่เฝ้าครุ่นคิดถึงแต่เรื่องราวที่พูดกันในกลุ่มนายทหาร เกี่ยวกับเรื่องราวของปราสาทอิล ดุช

“ผู้พัน” นายทหารคนหนึ่งเคยพูดกับเขา “ผมรับรองได้เลยว่า ไม่มีประวัติของนายทหารคนไหนที่เหมือนของอิตาลี่ ลองคิดดูสิครับ เขาสามารถเอาผู้หญิงถึงห้าคนเข้าไปนอนด้วยในคืนเดียว ...ผมรู้เรื่องนี้เพราะอะไรรู้ไหม...ก็เพราะผมเองนี่แหละ ที่จะต้องเป็นคนพาผู้หญิงพวกนั้นเข้าไปหาเขาทีละคน พอทุกคนออกมาหน้าตาแทบจำไม่ได้เลย แต่ตัวเขาเองกลับตื่นแต่เช้าตั้งแต่หกโมงแน่ะครับ สดชื่นกระฉับกระเฉงเหมือนเดิม...จำไว้นะครับผู้พัน ถ้าคุณอยากได้ผู้หญิงคนไหน ใส่เครื่องแบบนายทหารอิตาเลี่ยนเข้าไปเป็นสำเร็จ เพราะผู้หญิงพวกนั้นมักคิดว่าตัวเองได้นอนกับอิล ดุช ทุกคน...!”

ขณะที่คิดมาถึงตอนนี้เอง ที่ซีซาเร่ได้มองเห็นผู้หญิงคนหนึ่งเดินออกมาจากทางหลังบ้านของแกนดอฟโฟ ที่จริงเขาก็เคยเห็นเธอมาก่อนเหมือนกัน แต่เลือดหนุ่มมันไม่แล่นพล่านเหมือนคืนนี้

ผู้หญิงคนนั้นมีรูปร่างค่อนข้างสูง ท่าทางแข็งแรง อกเต็ม เขาเพิ่งสังเกตเห็นเดี๋ยวนั้นองว่าแกนดอฟโฟ เจ้าของไร่องุ่นเลื่องชื่อมีลูกสาวสวย ตอนนั้นเธอกำลังทูนเหยือกเหล้าไวน์ไว้บนบ่าและเดินไปทางลำธาร เขาได้ยินเสียงเธอหอบหายใจแรงๆ ตอนที่เดินผ่านกัน

เขาหยุดมองดูเธอ ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่กำลังลามไหลลงจากหน้าผาก ได้ยินเสียงเธอถามเบาๆ ว่า

“บางทีซินยอร์อาจจะอยากดื่มไวน์เย็นๆ แก้ร้อนสักหน่อยละมังคะ?”

เขาพยักหน้ารับทันที เดินตรงเข้าไปหาเธอรับเหยือกเหล้าไวน์ขึ้นกรอกใส่ปาก หยาดน้ำอมฤตไหลอาบลงมาเปื้อนคาง ความเย็นชื่นไหลหลั่งพรั่งพรูเข้าไปในร่างกาย และแล้วเขาก็คืนเหยือกให้เธอและต่างจ้องมองกันเงียบๆ อยู่อย่างนั้น

เลือกฉีดซ่านขึ้นทันที แก้มของสาวน้อยดูเป็นสีชมพูสดใสน่ารัก ทั้งช่วงลำคอระเหิดระหงไปจนถึงเนินทรวง เธอหลบตาต่ำ สะท้อนสะท้านไปทั่ว สายตาเขาจับจ้องอยู่กลางเนินทรวงของเธอที่ปิดบังไว้ด้วยเสื้อผ้าเนื้อบางเบา

และโดยไม่พูดจา เขาหันหลังให้เธอเดินย้อนเข้าไปในราวป่า พลังอำนาจบางอย่างที่ได้รับสืบทอดกันมาแต่ครั้งบรรพบุรุษที่รู้จักแต่การออกคำสั่ง ทำให้เขาหันไปบอกเธอเพียงว่า

“ตามมา...!”

ซึ่งเธอก็ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นอย่างว่าง่าย ประหนึ่งร่างกายเป็นเพียงเครื่องจักรอะไรสักอย่างหนึ่ง เธอเดินตามเขาไปเรื่อยๆ จนเข้าไปในป่าลึก ที่ซึ่ง...แม้แต่แสงแดดก็ยังไม่อาจส่องลอดลงมาได้

และ ณ ที่นั้น เธอได้ทอดร่างลงเคียงข้างเขา...ไม่มีแม้แต่จะปริปากพูดอะไรออกมาสักคำ ยามที่เขาถือสิทธิ์เปลื้องเสื้อผ้าออกจากร่างกายเธอ

เขาคุกเข่าลงเบื้องหน้าร่างที่เปล่าเปลือยนั้น พินิจพิจารณารูปร่างที่ที่ประกอบด้วยกล้ามเนื้ออ่อนละมุนทุกสัดส่วน ระเรื่อยลงไปจนถึงต้นขาที่แข็งแรงของเธอ...และแล้วเขาก็โถมร่างลงไปบนตัวเธอ...

เขารู้สึกปวดร้าวไปทั่วทุกขุมขน แต่เธอกลับปวดร้าวยิ่งกว่า ร่างกายของเธอเหมือนกำลังถูกฉีกให้แหลกสลายออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เสียงร้องของเธอบอกความตระหนกตกใจมากว่าความตื่นเต้นสุขสม

ดวงตาของเธอแทบแหลกลาญ ฉายแววสะพรึงกลัวอย่างเห็นได้ชัด ยามที่เขาใช้ฝ่ามือทั้งสองข้างประคองใบหน้านั้นขึ้น ก่อนจะร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างที่สุด เมื่อเขาเอื้อมมือลงไปถึงทรวงอกทั้งสองข้างอย่างไม่อาจอาจสกัดกั้นอารมณ์รุนแรงช่วงสุดท้ายไว้ได้

พละกำลังบางอย่างกำลังแทรกเข้ามาในร่างกายของเขา เป็นพลังประหลาดที่เขาไม่เคยรู้จักมาก่อน เป็นพลังอันโหดร้าย อาการที่เขารวบกระชับทรวงอกทั้งสองข้างของเธอนั้น เป็นสัญญาณที่เตือนให้หญิงสาวรู้ว่า เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายอันร้ายแรง เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดรวดร้าวดูจะโหยหวนยิ่งขึ้น และแล้ว...เขาก็ผละจากร่างของเธอทันที...