บทที่2:คืนต้องห้ามในคฤหาสน์ที่จำได้
เสียงนาฬิกาดัง ก๊อก… ก๊อก…
เวลาตีสามตรง เวลาที่คนตื่นไม่ควรตื่น
และคนตาย…ไม่ควรเคลื่อนไหว
พาขวัญสะดุ้งตื่นจากฝัน ร่างกายเปียกเหงื่อ ฝันนั้นเร่าร้อนและเจ็บปวด เธอกำลังจูบกับชายปริศนาในชุดนักรบโบราณ ริมฝีปากของเขาเย็นเยียบ…แต่กลับทำให้ร่างกายเธอร้อนราวถูกจุดไฟ
ก่อนจะถูกมีดแทงกลางหลัง พร้อมเสียงกระซิบแผ่วแห้งว่า
“เพราะเจ้าทรยศ… ข้าจึงไม่มีวันหลุดพ้น”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นหน้าห้อง...
ตึก...ตึก...ตึก...ช้า ๆ หนักแน่น…แต่ไม่ใช่ฝีเท้าของคนปกติ เสียงมันคล้ายกว่าน่าจะลากอะไรบางอย่างไปด้วย เหมือนโซ่เหล็กถูไปกับพื้นไม้
พาขวัญหยิบไฟฉายจากโต๊ะข้างเตียง เปิดประตูอย่างระวัง โถงทางเดินมืดสนิท ไฟไม่ติด ราวกับถูกตัด เธอเห็น 'เงา'
เงาของผู้ชายสูงใหญ่…ยืนอยู่ปลายทางเดินห่างไปไม่ถึงสิบเมตร เขาไม่ขยับ…แต่สายตาของเขาจ้องเธออยู่แน่นอน
“คุณณรัณย์?” เธอร้องเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา
"..." ไม่มีคำตอบ
ทว่าจู่ ๆ เงานั้นก็เคลื่อนเข้าหาเธอด้วยความเร็วผิดธรรมชาติ พาขวัญร้องกรี๊ด พุ่งกลับเข้าห้องและปิดประตูดัง ปัง!
เคาะ… เคาะ… เคาะ…เสียงเคาะประตูตามมา…ช้า ๆ ประหนึ่งไม่มีอะไรรีบร้อน แต่เคาะด้วยแรงที่ทำให้กลอนสั่น เสียงนั้นแหบแห้ง…เหมือนมาจากลำคอที่ไม่มีลมหายใจ
“เปิดสิ...เจ้าจำข้าไม่ได้จริงหรือ...การะเกด…”
น้ำเสียงนั้น…ไม่ใช่ณรัณย์ มันเก่า…แตก…และมีความเศร้าเคลือบความแค้นลึกสุดใจ
ภาพนิมิตผุดขึ้นในหัว เธอกำลังอยู่ในห้องเดียวกันนี้เมื่อร้อยกว่าปีก่อน ในร่างของหญิงสาวคนหนึ่ง…ที่ใส่ชุดไทยโบราณกำลังร้องไห้หน้ากระจกและมีรอยเลือดที่ต้นคอ...
ใครบางคนแทงเธอจากด้านหลัง…แล้วจูบลาจนเลือดหยดสุดท้ายหายไป
พาขวัญสะดุ้งสุดตัวเมื่อได้ยินเสียงกระซิบจากข้างหลังตัวเอง ทั้งที่ประตูยังถูกปิดอยู่แน่นหนา
“เจ้าไม่เคยหนีได้…การะเกด…แม้แต่ความตายก็พาเจ้ากลับมาหาข้าอีกครั้ง”
เธอหันขวับ แต่ในห้องว่างเปล่า ไม่มีใคร… มีเพียงภาพเงาบนกระจก ที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเธอ ชายคนเดิม แต่ในเงานั้น…ไม่มีดวงตา มีเพียงความว่างเปล่าดำมืด
พาขวัญสะดุ้งตื่นอีกครั้ง หอบหายใจถี่ ร่างเปียกโชกไปด้วยเหงื่อจนเสื้อแนบชิดกับผิวกาย แสงไฟบนเพดานกระพริบวูบวาบ ก่อนจะดับสนิทไปอีกครั้ง ทิ้งเธอไว้ในความมืดมิดที่เงียบงัน…อย่างผิดปกติ
เธอนั่งนิ่งในความเงียบอยู่นาน ไม่รู้ว่าเป็นความกลัว หรือแรงบางอย่างที่ดึงเธอไว้ไม่ให้ลุกจากเตียง
เสียงนาฬิกาโบราณในโถงกลางดังขึ้นอีกครั้ง ก๊อก… ก๊อก…
ตีสี่ตรง เวลาที่ความฝันกับความจริง…เริ่มซ้อนทับกันโดยไม่มีเส้นแบ่ง
เธอยกมือขึ้นลูบลำคอ ยังรู้สึกได้ถึงความเย็นเฉียบ…คล้ายริมฝีปากใครบางคนเคยแตะตรงนั้น พร้อมคำสาปที่ฝังแน่นลงในเลือดเนื้อ
“การะเกด…”
เสียงนั้นก้องขึ้นในหัวของเธออีกครั้ง แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้หวาดกลัว เธอรู้…ว่าชื่อเรียกนั้น คือของเธอและความทรงจำ…กำลังไหลกลับมาเหมือนกระแสน้ำป่าที่ทลายเขื่อนแห่งความลืม
อีกด้านหนึ่งของคฤหาสน์
ในห้องที่ปิดทึบ มืดสนิท แม้แสงจันทร์ยังไม่อาจลอดผ่านม่านหนาทึบ
ร่างของชายหนุ่มผู้หนึ่งนอนนิ่งอยู่บนเตียงไม้สลักอักขระโบราณ ทั่วทั้งห้องมีกลิ่นหอมของไม้จันทน์เจือกลิ่นโลหิตจางๆ ที่ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด
ทันใดนั้น... ดวงตาคมกริบคู่นั้น ลืมขึ้นช้า ๆ แสงเรืองวาบในตาคู่นั้นเหมือนประกายไฟจากหินเหล็ก เขาหลับตาแน่นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงกดต่ำ…แทบจะไม่เป็นมนุษย์
“เจ้าเริ่มจำได้แล้ว…” ริมฝีปากของเขาแย้มรอยยิ้มเพียงนิดเดียว แต่แฝงความเจ็บปวด และการรอคอยที่ยาวนานเกินกว่าชีวิตคนคนหนึ่งจะรับได้
เขาพลิกกายลุกขึ้น เสียงโซ่เหล็กบางอย่างกระทบพื้นเบาๆ โซ่ที่พันตรึงข้อเท้าของเขาไว้กับเสาหินกลางห้อง แต่อักขระที่เคยเรืองแสงบนโซ่นั้น…ตอนนี้เริ่มจางลงอย่างช้า ๆ เหมือนคำสาปที่ร้อยรัดเขากำลังคลายตัว เพราะกุญแจแห่งอดีต…ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว
เขาหันไปยังผนังห้องด้านหนึ่ง ซึ่งแขวนภาพสีน้ำมันซีเปียของหญิงสาวในชุดไทยโบราณ ผมยาวดำขลับ ดวงตาโศกเศร้า “คราวนี้…จะไม่มีใครพรากเจ้าไปได้อีก”
ภาพวาดนั้น... ยิ้มตอบกลับมาเบาๆ ก่อนที่เทียนเล่มหนึ่งในห้องจะลุกเป็นเปลวไฟขึ้นมาเองโดยไม่มีใครจุด
