บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 7 ระหว่างทาง

ตอนที่ 4 

ระหว่างทาง

ในที่สุดวันนี้ที่ผมรอค่อยก็มาถึงสักที นั้นคืือวันที่ผมจะได้ออกจากโรงพยาบาล หลังจากที่ต้องนอนเป็นผักมาเป็นอาทิตย์แล้ว 

"เดี๋ยวผมไปส่งคุณที่บ้าน" ผู้กองที่ค่อยแวะเวียนมาหาผมเป็นอาทิตย์ แล้วจนเริ่มจะชินกับหน้าที่ไม่ค่อยจะยิ้มของเขาแล้ว 

"ไม่เป็นไรหรอกครับเดี๋ยวผมให้พี่ที่รู้จักกันไปส่งก็ได้ครับ" จริงๆผมตั้งใจจะให้พี่ธารมารับผมอยู่แล้ว เพราะยัยน้ำติดสอบ แล้วก็ห่วงน้องไม่อยากให้น้องขับรถมาคนเดียวอยู่ดี เลยคุยกับพี่ธารไว้ว่าผมจะให้เขามารับ 

"ไงผมก็ต้องไปดูบ้านคุณอยู่ดี ว่ารอบข้างบ้านคุณเป็นไงบ้าง" แล้วเขาไม่ได้ให้ลูกน้องไปซุ้มดูอยู่แล้วเหรอครับ

ผมมองหน้าเขาด้วยความสงสัย ว่าทำไม เขาไม่ถามจากลูกน้องเขาว่าบ้านผมอยู่ตรงไหน 

"ผมจะไปเอาข้อมูลรายงานการเฝ้าระวังบ้านพยานอยู่แล้ว" อ่ะ เดี๋ยวนี้ตำรวจระดับผู้กองจะต้องไปเอาจากลูกน้องเองเหรอครับเนี่ย 

"งั้นก็แล้วแต่คุณครับ"  ผมขี้เกียจเถียงเพราะจากลักษณะของเขาแล้วไม่น่าจะยอมให้ผมได้ง่ายๆ

"หรือคุณไม่สบายใจที่ผมจะไปบ้านคุณ" เขาถามพร้อมกับมองผมด้วยสายตา ที่ถ้าผมบอกว่าไม่อยากให้ไปผมคงโดนตำรวจตรงหน้าเอาปืนพกยิงเข้าแสกหน้าแน่ๆ

"เปล่าครับ ไปกันเถอะครับ เดี๋ยวผมหาข้าวเที่ยงให้คุณทานด้วยครับ" ผมทำอาหารเป็นทั้งอาหารคาว ทั้งอาหารหวาน รวมถึงเบเกอรี่ด้วยครับ เพราะตอนแม่มีชีวิต แม่อยากให้ลูกสืบทอดร้านอาหารของท่าน ท่านก็เลยสอนทำอาหาร ทั้งคาว ทั้งหวาน เบเกอรี่ อาหารฟาดฟู๊ด ผมทำเป็นหมด

"คุณทำอาหารเป็น" ตอนนี้รถจอดติดไฟแดง แล้วคุณผู้กองก็ทำลายบรรยากาศที่เงียบกว่าป่าช้าด้วยการถามว่าผมทำอาหารเป็นไหม 

"ใช่ครับ ผมทำอาหารเป็น แล้วก็เป็นเจ้าของคาเฟ่เล็กๆด้วยครับ" 

"ผมชื่อทิศเหนือ" 

"ห๊ะ ว่าไงนะครับ" 

"เรายังไม่รู้จักกันอย่างเป็นทางการเลย ผมกับคุณเราคงต้องเจอกันบ่อยขึ้น เพราะคดีที่คุณเป็นพยานเพียงคนเดียว ดันเป็นคดีใหญ่ที่ยังไม่สามารถหาผู้ต้องสงสัยได้ และที่สำคัญ" คุณทิศเหนือหยุดพูดเพียงเท่านั้นก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่เจือไปด้วยความน่ากลัว เอาจริงเอาจัง จนผมสังหรณ์ใจไม่ดีเลยครับ 

"นี่ไม่ใช่เหยื่อรายแรกของฆาตกรครับ ผู้หญิงคนนี้เป็นรายที่ห้าแล้วครับ" รายที่ห้างั้นเหรอ แล้วตำรวจก็ไม่มีหลักฐานอะไรเลยงั้นเหรอ ทำไมผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังแหย่ขาเข้าไปในความตายเลยล่ะครับ 

"คุณ แล้วตำรวจไม่มีเบาะแสของคนร้ายเลยเหรอครับ" 

"ใช่ เราแทบจะหาหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับฆาตกรไม่ได้เลย หรือร่องรอยอะไรที่เกี่ยวข้องกับคนร้ายได้เลย" 

"คุณจะมองว่าตำรวจไทยไร้ความสามารถก็ได้น่ะ" เขาพูดด้วยน้ำเสียงน้อยใจจนน่าเห็นใจเพราะตำรวจไทยมักจะโดนสบประมาทด้วยคำพูดแบบนี้เสมอ 

"ก็ไม่ขนาดนั้น หรอกคุณแต่การที่คนร้ายจะซ้อนตัวจากตำรวจได้ดีขนาดนี้ก็คงมีความสามารถไม่น้อย หรือพวกคุณอาจมองข้ามจุดน่าสงสัยเล็ก หรือไม่ก็อาจจะมีคนในองค์กรคุณเป็นสายให้กับคนร้าย" เออ...นี่ผมพูดมากไปรึเปล่าน่ะ เขาถึงได้มองผมอึ้งๆแบบนั้น 

ปี๊ปปปปปป.... เสียงแตรรถคันข้างหลังทำให้เรารู้ว่าสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นเขียวแล้ว ผู้กองส่ายหน้าให้กับตัวเองก่อนจะหันไปให้ความสนใจกับการขับรถอีกสักครั้ง 

"ผมแค่แสดงความคิดเห็น" ผมพูดเสียงเบาไปเพื่อทำลายบรรยากาศน่าอึดอัดในรถ 

"ผมก็ยังไม่ได้ว่าอะไร"

"ครับไม่ว่า แต่หน้านี้โคตรดุเลย" ผมพูดเบากับแอร์ในรถ 

"หน้าก็เป็นแบบนี้มาตลอดน่ะ" แต่ดันเข้าหูคน หูดีจริงๆ 

"นอกจากน้องสาวที่บ้านยังมีครอบครัวอีกไหม" 

"ห๊ะ" อะไรของเขานึกจะถามไรก็ถามออกมาเลย

"ผมถามว่าที่บ้านนอกจากน้องสาวแล้ว คุณยังมีครอบครัวคนอื่นอยู่ด้วยไหม" 

"ไม่มีครับ" ผมตอบคำถามเบาๆ 

"พ่อแม่ล่ะ" 

"ผมไม่ได้เป็นคนร้ายน่ะครับต้องสอบสวนผมด้วยเหรอ" ผมถามเค้าด้วยความสงสัย ตำรวจต้องรู้ประวัติของพยานด้วยเหรอ

"ทำความรู้จักกันไว้ไงคุณ แต่ถ้าคุณไม่สะดวกใจที่จะตอบก็ไม่เป็นไรนะ" แล้วไอ้อาการเหมือนกำลังงน้อยใจนี่คือไรกันแน่ หรือว่าผมจะกำลังฝันอยู่

"เปล่าหรอกครับ ผมไม่ได้ไม่สะดวกใจที่จะตอบคุณ เพียงแต่ว่าพ่อแม่ผมพวกท่านเสียไปนานแล้วครับ ส่วนญาติคนอื่นพวกเราไม่ค่อยได้ติดต่อกัน" 

"เสียใจด้วยแล้วก็ต้องขอโทษด้วย" ผมส่ายหน้าให้กับคำขอโทษของเค้า 

"เดี๋ยวเลี้ยวข้างหน้าก็ใกล้ถึงบ้านผมแล้วครับ" 

"แล้วคุณล่ะครับ อยู่บ้านกับใคร" 

"ผมเป็นตำรวจต้องถูกสอบสวนด้วยเหรอครับ" ย้อนกันอีก 

"คุณจะรู้จักผมอยู่ฝ่ายเดียวได้ไงล่ะครับ"

"รู้เค้ารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งน่ะคุณ" หึ ยิ้มงั้นเหรอ เหมือนผมจะเห็นรอยยิ้มบนหน้าผู้กองเลย

"ผมกับคุณไม่ได้จะรบกันซะหน่อย" 

"สุภาษิตไงคุณ" 

"ผมมีพี่ชายหนึ่งคน เป็นหมอชันสูตรศพ ส่วนพ่อแม่อาศัยอยู่กับพี่ชาย ผมอยู่บ้านคนเดียวใกล้สน." คนหนึ่งเป็นตำรวจส่วนอีกคนก็เป็นหมอชันสูตรช่างเป็นครอบครัวที่น่ากลัวจริงๆ

"ข้างหน้าแล้วเลี้ยวขวาครับ" 

ผมบอกทางไปบ้านให้กับคนที่คิดว่าเขาน่าจะไม่เคยมาบ้านผมสักเท่าไหร่ 

"เดี๋ยวเจอคาเฟ่ข้างหน้าแล้วจอดก่อนนะครับ ผมขอเข้าร้านไปดูหน่อย" เขาไม่ได้ตอบอะไรทำเพียงพยักหน้าเล็ก

"Anilka คาเฟ่ยินดีต้อนรับค่ะ" เสียงใสๆของสาวน้อยเพยเพย บริการต้อนรับลูกค้าที่กำลังเดินเข้าร้าน

"อ่าว พี่คลื่นออกจากโรงพยาบาลแล้วเหรอคะ" เพยเพยที่เห็นผมเดินเข้ามาในร้านพร้อมกับใครอีกคนเอยขึ้น 

"พี่คลื่น!!!!" หมับ!!! แรงกอดจากเด็กหนุ่มต่างจังหวัดที่ผมรับเข้ามาทำงานที่ร้าน แล้วก็ช่วยหาที่เรียนที่พักให้ กอดผมด้วยแรงทั้งหมดที่มี 

"ทะเล พี่หายใจไม่ออก"

"ขอโทษทีพี่ผมดีใจน่ะ" 

แล้วทำไมวันนี้คนเยอะจัง" 

"อ้อ พี่ทิวเขาคิดเมนูใหม่แล้วเปิดขายวันนี้วันแรกน่ะพี่" 

"ใช่ค่ะ แล้วพี่ธารจัดโปรด้วย ลูกค้าก็เลยมีเยอะอย่างที่พี่เห็นเลยค่ะ" พี่ธารจัดโปรให้ลูกค้างั้นเหรอ 

"พวกเราอยากช่วยพี่น่ะ เดือนนี้เพยเพยเอาค่าแรงแค่ครึ่งเดียวก็ได้นะ" 

"พี่จะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงหาเงินมาจ่ายเงินเดือนพวกเรา เพราะร้านขาดทุน" 

"พี่ธารบอกเหรอ" ผมถามเพยเพยที่ตอนนี้ก้มหน้ามองพื้นอยู่ 

"ครับ พี่เขาเล่าให้พวกเราฟังคราวๆเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพี่น่ะ" 

"พวกเราเลยอยากช่วยพี่บ้าง พี่ช่วยพวกเรามาเยอะแล้ว" 

"ไม่เป็นไรหรอก พี่เต็มใจทะเลเองพึ่งเคยมาอยู่กรุงเทพพี่ก็อยากช่วยให้เรามีงาน ถ้าวันไหนหางานที่ดีกว่าที่นึ่ได้มาลาออกได้เลยน่ะ" ผมบอกเด็กผู้ชายที่อายุพึ่งจะบรรลุนิติภาวะมาได้ไม่นาน ทะเลเป็นเด็กใต้เลือดร้อนคนหนึ่ง น้องเดินเข้ามาสมัครงานที่ร้านด้วยวุติการศึกษาแค่ม.สามผมเลยยื่นข้อเสนอให้ทะเลเรียนต่อกศน. แล้วจะรับเข้าทำงาน ทะเลเลยตกลง 

"ทำไมไม่โทรตามพี่ครับ" พี่ธารเดินออกมาจากเคาน์เตอร์ทันทีที่ลูกค้าน้อยลง 

"พอดีผู้กองอาสามาส่ง คลื่นเลยไม่ได้โทรหาพี่ธารน่ะครับ" ผมส่งยิ้มหวานให้กับพี่ธาร เราสองคนสนิทกันมาตั้งแต่ผมเด็ก 

"ทิวเขาอยู่ในครัวไหมครับ พอดีผมกับผู้กองนังไม่ได้ทานอะไรมาเลยครับ" 

"งั้นเดี๋ยวพี่ให้ทิวเขาทำให้" 

"ไม่เป็นไรครับ คลื่นทำเอง"

"หื้อออ คลื่นไม่ค่อยชอบทำอาหารให้ใครกินนิ" ไม่ผิดครับผมไม่ชอบทำอาหารให้ใครกิน จะบอกว่าผมเป็นคนแปลกๆก็ได้อาหารที่ผมทำมีแค่คนในครอบครัวเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ได้กิน อาจจะห่วงสูตรของแม่ล่ะมั้งครับ 

"พอดีคลื่นอยากขอบคุณผู้กอง ที่ค่อยช่วยแล้วก็มาส่งคลื่นแหละ เออ พี่ธารพาผู้กองไปนั่งโต๊ะที่ว่างก่อนน่ะครับ" 

ผมไม่รู้ว่าจะตอบพี่ธารยังไงกับการอยากทำอาหารของตัวเองในครั้งนี้เลยเลือกที่จะให้พี่ธารดูแลผู้กองทิศเหนือ แล้วตัวเองหนีมาหาทิวเขาในครัว 

"อ่าว พี่คลื่นกลับมาสักที พี่ธารจะกินหัวผมแล้วทุกวันนี้" 

"เวอร์นะ" ผมตอบออกไปแค่นั้น ก่อนจะเดินไปดูวัตถุดิบว่าพอจะทำอาหารอะไรได้บ้าง 

"นี่พี่จะทำอาหารเหรอ"

"ใช่" 

"พี่ธารคงดีใจตาย" 

"เปล่า ไม่ได้ทำให้พี่ธาร จะว่าไปถ้าพี่ทำอาหารทำไมพี่ธารต้องดีใจด้วย" ผมหันไปถามทิวเข้าเพราะไม่เข้าในสิ่งที่ทิวเขาจะสื่อถึง ถึงบางทีพี่ธารจะอยากให้ผมทำอาหารให้กินแต่ผมก็ปฏิเสธพี่เขาจนเป็นความเคยชินแล้วมั้ง

"เปล่าพี่ๆ พี่จะทำอะไรเดี๋ยวผมช่วย" 

"อื้ออ เอาอะไรง่ายที่กินแล้วไม่ยุ่งยากดีไหม" ผมเริีมพูดกับตัวเองก่อนที่จะหาวัตถุดิบ 

"แล้วพี่จะทำอะไรล่ะครับ" 

"เอาเป็นข้าวผัดหมูแล้วกัน" 

"ง่ายเกิน" 

"ทิวเขา" 

ผ่านไปครึ่งชั่วโมงผมก็นำข้าวผัดหมูสองจาน พร้อมกับน้ำอัญชันมะนาวสองแล้วมาเสิร์ฟให้กับผู้ชายมาดขรึมที่กำลังเล่นเกมอยู่ ทำเอาผมแปลกใจด้วยอายุ อาชีพ ในระหว่างรออาหารผมคิดว่าเขาน่าจะอ่านหนังสือ หรือไม่ก็คงคุยกับลูกน้อง หรือไม่ก็คงหาข่าวสาร ไม่คิดว่าจะนั่งเล่นเกมรอ 

"มองอะไรคุณ ผมทำงานหนักก็ต้องอะไรทำแก้เครียด" 

"แน่ใจนะครับว่าแก้เครียดไม่ได้ทำให้เครียดกว่าเดิม" เพราะอยากที่เห็นเหมือนเค้ากำลังหัวเสียซะมากกว่า

"แล้วนี่"

"อาหารของคุณกับผม ลองชิมสิครับผมทำเองเลยนะครับ" 

"เป็นไงบ้าง" 

"ยังไม่ทันเข้าปากเลยคุณ" 

"หยอกนะครับ หน้าคุณหงุดหงิดตลอดเวลา พอเห็นคุณหน้าอื่นบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ" 

"ฝีมือดีน่ะเนี่ย" ผู้กองทิศเหนือชมหลังจากเคี้ยวข้าวคำแรกหมด หลังจากคำชมนั้นเราสองคนไม่ได้คุยอะไรกันอีก ต่างคนต่างกินอาหารของตัวเอง.

......................................................

โปรดติดตามตอนต่อไป

ขอบคุณที่ติดตามไรต์น่า

ช่องทางการติดต่อไรต์ นะคะ

Facebook : เยว่ทู่

Twitter : เยว่ทู่

Tiktok : เยว่ทู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel