บท
ตั้งค่า

บทที่ ๖ เรือนไทยร้าง

[๖] เรือนไทยร้าง

“พี่ให้เจ้า”

เสียง! เสียงนี้อีกแล้ว เสียงเดียวกับขุนศึกเทพที่เหมือนจะหูแว่ว แต่ก็บ่อยครั้งเหลือเกิน

ให้...เขาให้อะไร

ฉันก้มมองกำไลทองในกล่องไม้ที่เปิดออก เหมือนกับว่าต้นต่อมาจากกำไลน้อยในกล่องนี้เอง แต่แล้วเมื่อเงยหน้าขึ้นมา ฉันก็แทบไม่อยากเชื่อสายตา เขาคนนั้นกำลังมีตัวตนอยู่ตั้งหน้าของฉัน

...ขุนศึกเทพ

“พี่ให้เจ้า เจ้าชอบไหม” ฉันเฝ้ามองคนตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ นี่ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า

ชุดที่ชายคนนี้แต่งเป็นเสื้อผ้าที่นิยมใส่ในสมัยอยุธยาตอนต้น โจงกระเบนเรียบง่ายแต่ดูดีมีสง่า ท่อนบนไม่สวมเสื้อ เผยอกแกร่งกำยำสมเป็นนักรบ

ผู้ชายที่ฉันเห็นในความฝัน คนที่มีชื่อเดียวกับผู้ชายที่บรรยายไว้ในใบลานที่คุณพ่อพบ ผู้ชายที่เป็นคนรักของแม่หญิงศรีนวล

ทั้งแม่หญิงศรีนวลและแม่หญิงไหมต่างเป็นบุคคลที่มีใบหน้าเหมือนฉันทั้งสิ้น ใบหน้าของฉันมันโหล หรือสมัยก่อนเขามีการทำศัลยกรรม(?)

“ไหม..ไหม...เหมือนไหม” เงาวับๆ โบกสะบัดไปมาตรงหน้า ทำให้ผู้ชายตรงหน้าหายไป ก่อนที่ใบหน้าเรียวยาวของเพื่อนรักจะชัดเข้ามาในสายตา พร้อมดวงตาโตๆ ที่กวาดมองสำรวจฉันไปทั่ว

“เป็นอะไร ยืนเหม่อเชียว” ญาดาลดมือที่โบกอยู่ตรงหน้าฉันลงแล้วถามอย่างเป็นห่วง

“ปะ...เปล่า ไม่มีอะไร” ถ้าฉันบอกไปว่าฉันเห็นชายในห้วงฝันมายืนส่งกำไลทองนี้ให้ ยัยดาได้ขำฉันแย่ เรื่องอะไรจะบอกล่ะ

“จริงนะ” แต่เจ้าหล่อนก็ยังไม่วายจะสงสัย ฉันจึงพยักหน้าแรงๆ เป็นการยืนยัน

“จริงสิ แกละ ปีนี้ให้อะไรฉัน” ฉันแบมือตรงหน้ายัยเพื่อนรักเพื่อนเลิฟที่ค้อนให้ฉันทีนึงก่อนส่งกล่องใบน้อยสีฟ้าให้

เมื่อเปิดออกก็พบกับต่างหูไข่มุกสีขาวนวลเม็ดเล็กหนึ่งคู่ ประกายมุกหยอกล้อกับแสงไฟสีนวลตามเสาที่ประดับไว้ในงานวันเกิดฉัน ช่างให้ความรู้สึกสูงสง่าหากได้สวมใส่มัน

“ปีนี้ซื้อของแพงเลยแฮะ” ใจนึงก็อยากจะขอบคุณ แต่ปากก็อดที่จะล้อเลียนไม่ได้

“ก็แกชอบบ่นนักบ่นหนาว่าของขวัญทุกปีที่ฉันให้มันไม่คุ้มกับค่าข้าวบ้านแก ปีนี้ฉันก็เลยลงทุนหน่อย อีกอย่างมีคนช่วยหารน่ะ” ญาดาร่ายยาวก่อนจะส่งสายตาหวานฉ่ำให้คนข้างกายที่ยิ้มตอบอย่างน่ารักน่าหลงเช่นเดิม ถ้าพี่นนท์ไม่ติดใจยัยดาก่อนล่ะก็ฉันจะจีบให้มาเป็นแฟนฉันเองให้ดู

“โถ่...ไอ้เราก็นึกว่าเพื่อนตั้งใจหาของขวัญสวยๆ อย่างนี้เพื่อเรา”

“ฉันก็หามาเพื่อแกแหละ แต่จะให้ฉันออกคนเดียวได้อดอยากปากแห้งกันพอดี แกก็รู้ว่าบ้านฉันให้เงินเป็นเดือน แถมห้ามขอเพิ่มอีกต่างหาก”

มันใช้เรื่องน่าบ่นไหมละเนี่ยในเมื่อป๊ากับม๊าของเจ้าหล่อนให้เงินใช้เดือนละห้าหมื่น บ้านก็ไม่ต้องเช่า ข้าวบางมื้อก็ไม่ต้องซื้อ เป็นฉันเก็บเงินถมบ้านได้มิดแล้ว จะเค็มไปไหน บอกหน่อยเธอคนนี้เพื่อนใคร

ฉันปล่อยให้ญาดาทำหน้างอนไปสักพัก เดี๋ยวเจ้าหล่อนก็เลิกเอง เออ...เกือบลืมเจ้าของของขวัญอีกคนเลย

“ขอบคุณนะคะพี่นนท์” ฉันยิ้มให้พี่นนท์เพื่อแสดงความขอบคุณ

“ทีกับเพื่อนอ่ะ ไม่เห็นขอบจงขอบใจเลย ไอ้เราอุตส่าห์ไปเลือกหาอยู่ตั้งนาน”

“ย่ะ!! ขอบใจมากจ้า ชอบมากเลย” ฉันลากเสียงยาวก่อนใช้มือข้างที่ว่างหยิกแก้มญาดาอย่างนึกหมั่นไส้ แล้วหยิบต่างหูคู่น้อยใส่เอาใจ จนคนให้หลุดยิ้มขำออกมา

วันนี้เป็นวันที่มีความสุขจัง ฉันมองกลับเข้าไปภายในบริเวณงาน ลมเอื่อยๆ พัดมาเย็นสบาย เสียงหัวเราะสนุกสนานเฮฮายังดังแว่วมาไม่ขาดสาย ภาพที่ฉันไม่ได้เห็นมาถึงสองปี มันคงจะดีกว่านี้ถ้าคุณพ่อยังอยู่

ไม่เอาน่าเหมือนไหม ยังไงซะคุณพ่อก็ต้องมองและร่วมอวยพรให้ฉันจากฟากฟ้าแน่นอน

ฉันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าที่มีดาวเม็ดเล็กๆ มากมายกำลังส่องแสงวับแวมภายใต้ผืนฟ้าสีดำสนิท คุณพ่อจะต้องอวยพรให้ฉันจากตรงไหนสักแห่งบนนั้นแน่ๆ

“ไหมคิดถึงและก็รักคุณพ่อมากๆ เลยนะคะ ไหมจะทำให้คุณพ่อภูมิใจในตัวลูกสาวคนนี้ ไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอนค่ะ” ฉันส่งยิ้มให้ท้องฟ้าที่ดูเหมือนกำลังยิ้มตอบให้ฉันอยู่

เสียงซอแว่วมาตามสายลม ทำนองเก่าที่หาฟังได้ยาก เสียงที่ดังแว่วมาส่งผ่านความอบอุ่นที่โอบกอดรอบกาย พอเหลียวไปรอบๆ กลับไม่พบเจ้าของผู้บรรเลง เมื่อตั้งใจฟังเพื่อจับทิศทางของเสียงก็พบว่ามันดังมาจากด้านหลัง ซึ่งเป็นสวนผลไม้ที่คุณปู่กับคุณย่าช่วยกันปลูกไว้เพื่อทานภายใน แต่ถ้ามีมากก็อาจจะแบ่งขายบ้าง แจกบ้างตามเรื่องตามราว

ในสวนมืดสนิทจนแทบมองอะไรไม่เห็น แถมคืนนี้ยังเป็นคืนเดือนดับซะด้วย ด้านหลังสวนเป็นบ้านเรือนไทยอีกหลังที่ลูกหลานปล่อยให้เก่าทรุดโทรม และยังมีคลองสายหลักของชุมชนกั้นระหว่างสองฟากฝั่งไว้ คุณย่าเคยบอกว่าเรือนไทยหลังนั้นเป็นของเจ้าคุณอินทรเทพหรือก็คือคนๆ เดียวกับคนที่ให้นาฬิกาเรือนนี้กับบรรพบุรุษของฉันนั้นเอง

ตอนนั้นคุณย่าเล่าว่าท่านเจ้าคุณเรือนนั้นไม่มีบุตรสืบสกุลเพราะท่านไม่ได้แต่งงาน ไม่รู้ว่าทำไม คุณย่าเองก็ไม่ได้เล่าให้ฟัง หรือว่า...ท่านเจ้าคุณจะเป็นเกย์ สมัยก่อนเขามีเกย์กันงั้นเหรอเนี่ย แต่ก็นะในโลกใบนี้มีอะไรเกิดขึ้นได้เสมอ เมื่อท่านสิ้นบุญหลานที่เกิดจากน้องสาวของท่านก็ไม่ได้สนใจที่จะมาอยู่ที่เรือนนี้ เพราะเหตุนี้เรือนไทยจึงได้ถูกปล่อยทิ้งร้าง

ในที่สุดความอยากรู้อยากเห็นก็สั่งให้ฉันลุกขึ้น โดยไม่วายลืมหยิบสวมของขวัญที่คุณแม่ให้ไว้ด้วยซะเลย จะได้ไม่ลืมไปวางทิ้งไว้ที่ไหนแล้วเดินตามเสียงเพลงที่แว่วมา ยิ่งเดินก็ยิ่งลึก แล้วก็กลับมาโปร่งโล่งอีกครั้งเมื่อเดินมาถึงสะพานไม้ที่ค่อนข้างผุพังตามกาลเวลาที่ผันผ่าน เมื่อไม่มีใครสัญจรมาเนิ่นนานก็ไร้การบำรุงดูแล

เสียงไม้ลั่นเอี๊ยดอ๊าดทุกย่างก้าวที่สองขายาวๆ ของฉันเหยียบลงบนไม้กระดานที่เรียงเป็นสะพานโค้ง ราวจับทั้งสองข้างบางส่วนผุพังสลายหายไปแล้ว ไม้กระดานที่เรียงให้เหยียบบ้างเป็นรูบ้างถูกปลวกกัดกิน หากเดินไม่ระวังหลงเหยียบไปคงตกลงไปแน่ๆ

ฉันพยายามประคองแสงไฟน้อยๆ ที่ส่องจากมือถือให้ส่องใกล้พื้นมากที่สุด เพื่อให้แน่ใจว่าไม้ที่ฉันกำลังจะเหยียบลงไปนั้นจะไม่ทำให้ฉันตกลงไปยังสายน้ำเบื้องล่าง

และความระมัดระวังของฉันก็เป็นผล เมื่อฉันสามารถส่งตัวข้ามสะพานกลับลงมาอยู่บนพื้นที่มั่นคงอีกครั้งจนได้ จะบอกว่าไม่กลัวก็คงไม่ใช่ในเมื่อฉันว่ายน้ำไม่เป็น ทั้งๆ ที่รู้อย่างนั้นฉันก็ยังก้าวข้ามมาจนได้ ไม่รู้ว่าทำไมแต่เสียงเพลงนั้นเหมือนส่งพลังและบอกให้ฉันไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น

ยิ่งเดินเข้ามาใกล้ตัวบ้านเรือนไทยก็ยิ่งเด่นชัด ตัวเรือนทรุดพังแทบไม่หลงเหลือความงามเมื่อกาลก่อน ศาลาหลังน้อยริมน้ำแผ่นกระเบื้องหลุดร่วงแตกกระจายเต็มพื้น ตัวเสาที่ตั้งแบกรับน้ำหนักของหลังคาทำท่าว่าจะหักพังได้ทุกเมื่อหากใครแตะเพียงเบาๆ

มองย้อนกลับมาที่ตัวเรือน บันไดบางขั้นหลุดหายแต่ยังพอให้เดินขึ้นมาได้ บนเรือนมีศาลากลางเรือนที่กระเบื้องบนหลังคาหลุดหายไปมากจนแทบไม่เหลือ ฝุ่นจับหนาทุกตารางนิ้วทั้งฝาผนัง พื้น และเครื่องเรือนที่ยังพอเหลืออยู่บ้าง ผนังบางห้องหับหายไปเกือบหมดเผยให้เห็นของที่อยู่ภายในห้อง ทั้งเตียงนอน ตู้ กระจก ผ้าลายลูกไม้ขาดวิ่น แม้จะเป็นคืนเดือนดับ แต่สายตาที่ปรับให้ชินกับความมืดทำให้เห็นของเหล่านั้นอย่างลางเลือนแต่จับรูปทรงได้อยู่

พอมานึกๆ ดู ฉันมาที่นี่ทำไมกันนะ ลำพังตอนกลางวันเรือนหลังนี้ก็ดูน่ากลัวอยู่แล้ว แต่ตอนนี้และเดี๋ยวนี้ฉันกลับมายืนอยู่กลางเรือนไทยร้างหลังนี้ยามกลางคืนแถมเป็นเดือนดับซะอีก

เสียงซอที่เคยแว่วดัง ตอนนี้ทุกอย่างกลับเงียบกริบ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน ในตอนที่ฉันกำลังจะกลับหลังหันเพื่อเดินออกจากเรือนนี้เสียงที่ฉันคิดว่าหูแว่วไปเองกลับดังขึ้นอีกครั้ง ครั้งนี้มันชัดเจนและเนิ่นนาน เสียงของนาฬิกาที่ตายแล้ว

ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก! ติ๊กต๊อก!

ฉันเปิดฝาพับของนาฬิกาออกดูทันที สิ่งที่ปรากฏเป็นเหมือนอย่างที่คิด เข็มยาวหมุนควงรอบหน้าปัดอย่างรวดเร็ว เข็มสั้นก็หมุนย้อนกลับตามรอบที่เข็มยาวบรรจบ ฉับพลันรอบด้านมืดสนิทมองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น พื้นเรือนที่ก่อนนี้ก็ไม่มั่นคงอยู่แล้วยิ่งสั่นกราวเหมือนจะแยกเป็นเสี่ยงๆ นี้มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่เนี่ย!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel