บท
ตั้งค่า

บทที่ ๕ นาฬิกาพกโบราณ

[๕] นาฬิกาพกโบราณ

“ของแม่หญิงไหมงั้นเหรอ” ญาดาทำตาโตเมื่อฉันเล่าเรื่องของนาฬิกาพกโบราณเรือนนี้จบแล้วส่งรูปวาดของแม่หญิงไหมให้เธอดู เจ้าตัวมองรูปสลับกับฉันไปมา ดวงตาที่โตเหมือนไข่ไก่อยู่แล้วยิ่งเบิกกว้างเป็นไข่ไก่เบอร์ศูนย์ที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาไข่ไก่ไปอีก

“เหมือนแกมากเลยอ่ะ ถ้าไม่ติดตรงช่วงเวลา ฉันคงคิดว่ารูปนี้มันแกชัดๆ”

“แกคิดเหมือนฉันเลย มันจะบังเอิญได้ขนาดนี้เลยเหรอ” ฉันมองดวงตาที่โตของเพื่อนรัก เริ่มแอบทึ่งในความบังเอิญที่โลกสร้างขึ้น คนที่อยู่ต่างยุคต่างสมัยกัน กับเหมือนกันจนแยกไม่ออกอย่างไม่น่าเชื่อ

“มันก็อาจจะไม่แปลกก็ได้ ในเมื่อแม่หญิงไหมอะไรนี่เป็นญาติของแกนี่นา”

“แต่ฉันก็ยังไม่เคยเห็นญาติคนไหนที่เหมือนกันอย่างกับแกะ นอกจากฝาแฝดเลยนะ”

“แล้วนี้แกคิดว่าคนในรูปคือแฝดของแกที่พลัดหลงไปในยุคโบราณหรือไงล่ะ ไร้สาระน่า นอนเถอะพรุ่งนี้ต้องใส่บาตรแต่เช้าในวันเกิดแกนะ” พูดจบเจ้าหล่อนก็ปิดโคมไฟฝั่งตนแล้วล้มตัวลงนอนโดยไม่สนใจคำตอบ ญาดาล้มตัวนอนหันหลังหยุดเรื่องที่ชวนพิศวงไว้แค่นั้น แล้วฉันจะทำอะไรได้ล่ะ นอกจากปิดไฟตรงฝั่งของตนแล้วล้มตัวลงนอนบ้าง

“อายุวันโน สุขขัง พลัง”

คนทั้งหกประนมมือรับศีลรับพรจากพระสงฆ์สามรูปที่มาบิณฑบาตยามเช้าอย่างเช่นทุกที วันนี้เป็นวันที่ฉันอายุยี่สิบปีเต็มครั้งแรกและครั้งเดียวในชีวิต ตั้งแต่ตื่นเช้ามาทั้งฉัน คุณย่า คุณแม่ อาสาว ยัยดา และพี่นนท์ต่างช่วยกันจัดของใส่บาตร

ท่ามกลางเมืองใหญ่ที่ผู้คนคลาคล่ำ จะมีสักกี่ครั้งกันที่เราจะได้ทำบุญอย่างนี้ การทำทานผู้ที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ไม่อาจรู้ว่าเราทำเพื่ออะไร ถึงแม้เมื่อทำไปแล้วเราไม่ได้อะไรตอบแทนที่เป็นรูปธรรม แต่นามธรรมที่เราได้รับช่างอิ่มเอมใจ

ฉันและญาดาช่วยกันถือถาดและขันตักบาตรเดินตามผู้ใหญ่ทั้งสามขึ้นเรือน พี่นนท์เดินรั้งท้ายมือทั้งสองหอบหิ้วโต๊ะที่ใช้วางของเมื่อเช้ามาด้วย

ติ๊ก! ต๊อก! ติ๊ก! ต๊อก!

เสียงนาฬิกาดังขึ้น ฉันก้มลงมองนาฬิกาพกโบราณที่ตอนนี้ถูกห้อยอยู่ที่คอโดยสัญชาตญาณ แต่จะเป็นไปได้ยังไงในเมื่อนาฬิกาเรือนนี้ไม่เดินแล้ว อีกอย่างถึงจะเป็นเสียงของมันก็ไม่น่าจะดังขนาดนี้

ฉันเงยหน้ามองไปทางญาดาที่เดินคู่กันมา แต่เหมือนเจ้าหล่อนจะไม่ได้ยินเสียงที่ฉันได้ยินเลย เธอยังคงเดินมุ่งหน้าไปทางโรงครัวเพื่อเก็บอุปกรณ์ที่ถืออยู่ในมือ

หรือว่าฉันจะหูแว่วไปเอง...

หลังเก็บของทุกอย่างเรียบร้อยแล้วฉันจึงออกเดินสูดอากาศยามเช้าที่บ้านสวนซึ่งเป็นงานอดิเรกที่ฉันชอบมากที่สุดเวลามาที่นี่ โรงเรือนเพาะพันธุ์ไม้นานาชนิด ได้มองดูคนงานขะมักเขม้นในหน้าที่ของตน บ้างคุยกันด้วยเรื่องสนุกสนาน สองมือยังคงดูแลไม่ให้วัชพืชขึ้นแซมต้นไม้ที่ปลูก แต่เมื่อเห็นฉันเดินผ่าน คนงานเหล่านั้นก็จะหยุดงานและโบกมือยิ้มทักทายเหมือนเช่นทุกครั้งที่ได้มา และฉันก็จะยิ้มและโบกมือตอบเช่นกัน

แม้จะขึ้นชื่อว่าเจ้านายกับลูกน้อง แต่คนงานเหล่านั้นกับมีความเป็นกันเองเหมือนคนในครอบครัว คงจะเนื่องมาจากแนวทางในการปกครองคนของคุณปู่ที่ล่วงลับไปแล้วท่านเคยสอนว่า

การจะปกครองคนมิใช่ใช้อำนาจหรือสิทธิความเป็นนายเอาเปรียบเขาเหล่านั้น แต่เราจะต้องมีจิตเมตตาปฏิบัติต่อเขาเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง แต่ไม่ได้หมายความว่าลูกน้องเหล่านั้นจะตีตนเสมอเราได้ ควรให้อยู่ในขอบเขตที่พอดี ไม่ตึงหรือหย่อนจนเกินไป ดั่งคำโบราณที่ว่ามีพระเดชก็ต้องมีพระคุณเป็นของคู่กัน

ถามว่าฉันสามารถจำคำพูดของคุณปู่ที่พูดไว้ได้ทุกคำไม่มีขาดตกบกพร่องเลยน่ะหรือ คนอะไรจะความจำดีขนาดนั้น อันที่จริงคุณปู่มักจะพูดอยู่บ่อยๆ ตอนที่ท่านยังมีชีวิต เวลาที่ท่านพูดก็มักจะเป็นอะไรประมาณนี้ แล้วฉันก็ซึมซับมันมาก็เท่านั้นเอง

ติ๊ก! ต๊อก! ติ๊ก! ต๊อก!

อีกแล้ว...เสียงนาฬิกาดังอีกแล้ว...

ฉันก้มลงหยิบนาฬิกาที่แขวนคอไว้ขึ้นมาพิจารณาก่อนที่จะเปิดฝาพับเพื่อดูด้านใน

เอ๊ะ...ถ้าจำไม่ผิดนาฬิกาเรือนนี้เข็มสั้นและเข็มยาวมันหยุดที่เลขสิบสองไม่ใช่เหรอ แต่ตอนนี้แม้เข็มยาวจะยังคงชี้เลขสิบสอง แต่เข็มสั้นกลับเลื่อนมาหยุดที่เลขเก้า เหมือนว่ามันกำลังเดินถอยหลังอย่างงั้นแหละ

แต่มันคงเป็นไปไม่ได้หรอก ฉันอาจจะเดินแรงจนเข็มมันกระเทือนจนเลื่อนมาหยุดที่เลขเก้าก็ได้ ตัวยึดมันคงจะหลวม นาฬิกาที่หยุดเดินไปแล้วไหนเลยจะเดินถอยหลังได้ล่ะ

ฉันปล่อยให้นาฬิกาพกเรือนเงินตกลงห้อยไว้ที่คอเหมือนเดิม ก่อนจะเดินออกจากเรือนเพาะชำเพื่อขึ้นไปยังเรือนใหญ่

“เป็นไงเรา อาได้ข่าวว่าเรากำลังเรียนคณะโบราณคดีงั้นเหรอ”

ทันทีที่เดินขึ้นมาบนเรือน คุณอาสาวที่นั่งอยู่ในศาลากลางเรือนละสายตาจากหนังสือที่กำลังอ่านอยู่มองมายังฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและใจดีไม่เปลี่ยนแปลง

“ค่ะ คุณแม่เล่าให้ฟังสินะคะ” ฉันเดินไปนั่งลงข้างๆ

“ดูเหมือนพี่ดาวจะไม่ชอบสินะ ที่เราตัดสินใจแบบนี้” อาเอ่ยถึงคุณแม่พรางยิ้มน้อยๆ

“มากเลยล่ะค่ะ ต้องเกลี่ยกล่อมอยู่นานกว่าจะยอม”

“อาเข้าใจนะ แต่ไหมก็เหมือนพี่ชัยมากจริงๆ ทั้งนิสัยลุยๆ บางทีก็สบายๆ และบางทีก็ดูจริงจัง” อาสาวพูดมายังงี้ฉันก็เขินแย่ ทำได้เพียงหัวเราะกลบเกลื่อนอย่างไม่รู้จะตอบอะไรดี เธอเหลือบตาขึ้นมามองตอนฉันหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “แต่เราก็ยังได้ความอ่อนโยนของพี่ดาวมา ยังดีพอจะแก้นิสัยแก่นกะโหลกของเราได้บ้าง” ทีนี้เป็นอาสาวเสียเองที่พูดไปขำไป

ฉันเปล่าแก่นกะโหลกสักหน่อย ก็แค่รู้ในสิ่งที่ผู้หญิงไม่รู้ และทำในสิ่งที่ผู้หญิงเรียบร้อยๆ ไม่ทำ แต่ทุกวันนี้ผู้หญิงสมัยใหม่ก็ทำอะไรที่คล้ายๆ ผู้ชายมีเยอะแยะไป

“แหม...ผู้หญิงที่เป็นศิลปะป้องกันตัว ลุยๆ กล้าพูด กล้าคิด ไม่ได้มีแต่ไหมสักหน่อย อย่างน้อยก็มีดาคนหนึ่งล่ะที่เหมือนไหม”

“แต่อย่างน้อยหนูดาก็ยังมีความเป็นแม่ศรีเรือนมากกว่าเรา ทำไมนะทำไมไม่ลองหัดทำกับข้าวบ้าง” คุณอาสาวถามทีเล่นทีจริง

“โถ่...คุณอาก็ ไหมชอบทานมากกว่าชอบกินนี่นา ไม่เอาแล้วไหมไปหาคุณย่าดีกว่า” แค่ทำกับข้าวไม่เป็นก็ไม่ได้แปลว่าฉันไม่ได้เป็นแม่ศรีเรือนสักหน่อย อย่างน้อยฉันก็หุงข้าวกับทอดไข่ได้ล่ะน่า

“แล้วคุณย่าอยู่ที่ไหนคะ” อาสาวหัวเราะขำ ทุกทีที่พูดเรื่องแบบนี้ฉันก็มักจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเสมอ

“เห็นเตรียมอาหารเช้าให้หลานสาวคนโปรดต่อในโรงครัวกับหนูดาแล้วก็พ่อนนท์น่ะจ๊ะ”

“งั้นไหมไปช่วยคุณย่าดีกว่า คุณอาจะได้ไม่ว่าไหมไม่เป็นแม่ศรีเรือนอีก”

“งั้นก็อย่าไปทำอะไรแตกแล้วกัน” อาสาวตะโกนไล่หลังมาอย่างอารมณ์ดี

ฉันไม่ได้อยากทำแตกสักหน่อย แต่พวกจานชามพวกนั้นมันไม่ชอบให้ฉันถือนานๆ สักทีต้องลื่นหลุดตกแตกทำให้โดนไล่ออกจากครัวไปทุกครั้ง คุณย่ากับอาสาวรู้อย่างนั้นแต่ก็ยังชอบซื้อแต่พวกจานชามกระเบื้องเซรามิคมาให้ฉันทดสอบความแข็งแรงอยู่เรื่อย

และแล้วช่วงเวลาวุ่นวายในโรงครัวก็จบลง หลังจากฉันทำเครื่องชุดลายครามของคุณย่าแตกไปอีกชุด ทำให้เป็นอันต้องระเห็จออกมาจากห้องครัวแล้วมาจัดเตรียมสถานที่ช่วยคนงานแทน

ส่วนแขกในงานก็ไม่มีมากมายอะไรนอกจากทุกคนในเรือนใหญ่ และคนงานในสวนที่นานๆ จะมีงานรื่นเริงแบบนี้ ยิ่งสองปีที่ผ่านมาไม่ต้องพูดถึงงานอะไรทั้งนั้น เพราะที่นี่เงียบเหงาไปทันทีที่ไม่ได้จัดงานวันเกิดของฉัน ปีนี้คนงานเลยคึกคักเป็นพิเศษ ของขวัญเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเขาแม้จะไม่เลิศหรูเหมือนงานเลี้ยงไฮโซทั้งหลายแต่มันต่างออกมาจากใจพวกเขาก็เพียงพอแล้ว ต่อให้ไม่มีอะไรมาเลยแค่พวกเขามาร่วมงานก็เป็นของขวัญที่ดีมากแล้ว

“สุขสันต์วันเกิด(คุณ)เหมือนไหม”

ท่ามกลางความมืดที่โรยตัวบดบังแสงสว่างที่เคยมีในตอนกลางวัน บ้านสวนในเวลานี้ที่เคยเงียบสงัด ตอนนี้ทั้งคนบนเรือนใหญ่ และคนงานต่างร่วมร้องอวยพรฉลองวันที่ฉันเคยลืมตาดูโลกเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว

“มีความสุขมากๆ นะหลานย่า” คุณย่าหอมแก้มฉันเป็นการรับขวัญ ฉันเลยกอดท่านเป็นการขอบคุณ

“ลูกสาวแม่โตขึ้นอีกปีแล้ว มีความสุขมากๆ นะ อันนี้ของขวัญจากแม่จ๊ะ”

คุณแม่ส่งกล่องของขวัญที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่มากมาให้ กล่องถูกห่อหุ้มด้วยกระดาษสีแดงไม่มีลาย พาดด้วยริบบิ้นสีทอง ข้างในจะใส่อะไรไว้นะ อยากรู้จัง

“ไหมเปิดเลยนะคะ”

“เอาสิ” คุณแม่ยิ้มรับก่อนพูดต่อ “แม่คิดว่าไหมต้องชอบ”

ฉันแกะกล่องของขวัญอย่างระมัดระวัง ค่อยๆ แกะเพื่อให้ดูไม่รีบร้อนเกินไป แต่จริงๆ แล้วฉันตื่นเต้นมากเลย ทุกปีของขวัญที่คุณแม่ให้มักจะเป็นของสะสมที่ฉันอยากได้เสมอ ครั้งก่อนคุณแม่ให้ดาบซามูไรที่ทำเลียนแบบในสมัยเอโดะของญี่ปุ่น แล้วครั้งนี้จะเป็นอะไรกันนะ

“กำไลทอง” ฉันเงยหน้าขึ้นมามองคนเป็นแม่

“ใช่จ๊ะเป็นของที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น เป็นลักษณะที่คนระดับขุนนางถึงจะมี เห็นคนขายเขาว่าอย่างนั้น”

“มันเก่าเหมือนของจริงเลยนี่คะ” ฉันก้มมองกำไลในมือ พลางมองคุณแม่ไปด้วย

“ใช่จ๊ะ แม่ได้มาจากร้านขายของโบราณระหว่างที่เดินทางมาบ้านสวนน่ะจ๊ะ”

“สวยมากเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ” ฉันหอมแก้มคุณแม่เบาๆ เป็นการขอบคุณ

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรฉันจึงรู้สึกถูกใจกำไลทองอันนี้นัก มันให้ความรู้สึกเหมือนกำไลวงนี้เคยเป็นของของฉันมาก่อน แล้วก็มีความสำคัญสำหรับฉันมาก

สายลมพลัดเอากลิ่นหอมของดอกราตรีที่จะส่งกลิ่นหอมยามค่ำคืนให้ลอยมาปะทะเข้ากับจมูกของฉัน ก่อนถ้อยคำแผ่วเบาจะแว่วมากับสายลมเย็นนั้นด้วย

“พี่ให้เจ้า”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel