บทที่ ๗ บรรพบุรุษ
[๗] บรรพบุรุษ
พื้นสั่นไหวจนฉันไม่อาจจะยืนต่อไปได้อย่างมั่นคงอีก นั่นจึงทำให้ฉันล้มตัวลงบนพื้นที่ยังสั่นกราวไม่หยุด สองมือกำนาฬิกาพกไว้แน่น เข็มนาฬิกายังคงหมุนต่อไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเข็มยาวกลับมาชี้ที่เลขสิบสองอีกครั้ง แต่เข็มสั้นที่หมุนวนไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งกลับหยุดสนิทที่เลขแปด แสงที่เคยมืดสนิทบดบังทัศนียภาพค่อยๆ สว่างจนมองเห็นสิ่งรอบตัวได้เหมือนเดิม แสงสลัวสีเหลืองนวลวูบไหวไปมาเหมือนแสงที่ออกมาจากกองไฟ พื้นที่แต่เดิมเคยสั่นกราวจนเหมือนตัวเรือนจะถล่มลงไปให้รู้แล้วรู้รอดกลับสงบนิ่งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
สายตาที่เริ่มปรับจนชินหันมองไปรอบๆ ฉันยังคงอยู่ที่เดิมนั้นคือกลางเรือนของเจ้าคุณอินทรเทพ แต่เรือนไทยที่เคยผุพังกลับสมบูรณ์ดูงดงาม พื้นเรือนที่เคยมีแต่ฝุ่นดูสะอาดเอี่ยมอ่องสมเป็นบ้านคน
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกันเนี่ย ฉันกำลังหลับฝันหรือตกอยู่ในมนต์มายาของอะไรกันแน่ คนสมัยก่อนมักบอกว่าของโบราณมักมีมนต์บางอย่างที่ไม่เชื่อก็ห้ามลบหลู่ หรือฉันจะตกอยู่ในมนต์เหล่านั้นจริงๆ
พอลุกขึ้นยืนได้ ฉันก็ออกเดินสำรวจเรือนไทยหลังงามนี้ทันที ตั้งแต่ศาลากลางบ้านที่ฉันเคยนั่นอย่างหมดท่าเมื่อตอนพื้นสั่นไหว เรื่อยไปจนถึงระเบียงเพื่อมองออกจากตัวเรือน สิ่งที่เห็นทำให้ฉันอยากตบหน้าตัวเองแรงๆ สักร้อยทีถ้าไม่ติดว่าทำแล้วมันเจ็บ เรียกว่าไม่ตื่นให้มันรู้ไป
นี่ฉันกำลังหลุดมาอยู่ในนิยายเรื่องไหนกัน สิ่งที่ปรากฏต่อสายตาเหมือนดั่งฉากละครพื้นบ้าน ศาลาน้อยริมน้ำที่เคยตั้งเหมือนจะทรุดลงไปในกระแสน้ำ บัดนี้มีสีน้ำตาลอ่อนๆ ของเนื้อไม้สวยน่ารักน่านั่ง ไม่หลงเหลือเค้าที่ทรุดพังก่อนหน้านี้ ต้นหญ้าที่เคยขึ้นสูงถูกดูแลอย่างดีให้สูงกว่าพื้นเพียงเล็กน้อยอย่างที่มักจะเรียกว่าสนามหญ้า
“เอ็งเป็นใคร เหตุไฉนจึงมายืนลับๆ ล่อๆ เยี่ยงนี้”
เสียงที่ดังขึ้นจากด้านหลังทำให้ฉันสะดุ้งสุดตัว ก่อนจะหันหลังไปมองเจ้าของเสียงอย่างรวดเร็ว หญิงวัยกลางคนกำลังมองฉันด้วยสีหน้าสงสัยระคนตกใจ
“หรือว่าเอ็งจักเป็นโจร! ว้าย!! ตายแล้ว... มีใครอยู่แถวนี้บ้าง โจรมันขึ้นเรือนข้าแล้ว” โดยไม่ฟังคำตอบหล่อนร้องเรียกคนมาช่วยทันที
“ฉันไม่ใช่โจรนะคะ ฉันมาจากเรือนไทยฝั่งตรงข้ามค่ะ” ฉันรีบอธิบายทันทีก่อนที่เรื่องมันจะไปกันใหญ่
“เรือนคุณพระกระนั้นรึ” หล่อนหยุดโวยวายแต่ยังคงสีหน้าสงสัย
“คุณพระ? คุณพระไหนกัน ที่เรือนนั้นมีแต่คุณย่ากับอาสาวค่ะ” คุณพระ...พูดอย่างกลับว่าฉันอยู่ในยุคที่ยังถือยศถือศักดิ์อย่างนั้นล่ะ
“เอ็งมาจากเรือนนั้นจะไม่รู้ได้เยี่ยงใดว่าใครคือเจ้าของเรือน” หญิงกลางคนยังคงสงสัยไม่เลิก “หรือเอ็งกำลังโกหกข้าอยู่”
“ไหมไม่ได้โกหกนะคะ ไหมมาจากเรือนไทยฝั่งตรงข้ามจริงๆ” ฉันเปลี่ยนสรรพนามเรียกแทนตัวอย่างเคยชิน
“แล้วเอ็งมาที่เรือนข้าทำไม”
“ไหมได้ยินเสียงซอเลยตามเสียงมาค่ะ”
“เสียงซอ...คงจะเป็นซอพ่อเทพ เอาเถอะ...กลางค่ำกลางคืนเยี่ยงนี้มันอันตราย ข้าจักให้บ่าวไปส่งเอ็งแล้วกัน มีใครอยู่ข้างล่างบ้างขึ้นมานี่ซิ”
จะถามฉันเพื่อให้ได้อะไรกันหรือ ในเมื่อจัดการเองเสร็จสรรพ ช่วงนี้ทำไมถึงเจอคนแบบนี้บ่อย ก่อนหน้านี้ก็อาจารย์เกริกเกียรติคนหนึ่งแล้ว
เสียงวิ่งขึ้นเรือนดังขึ้นเรื่อยๆ ไม่ช้าชายคนหนึ่งก็มาหยุดหมอบตรงหน้าเราทั้งคู่
“ขอรับๆ บ่าวอยู่นี่แล้วขอรับ”
“เอ็งจงไปส่งแม่... เอ็งชื่อว่ากระไรนะ” หญิงเจ้าของเรือนหันหน้ามาถามฉันที่ยังทำหน้าเหวออยู่
“มะ...เหมือนไหมค่ะ”
“เอ็งจงไปส่งแม่เหมือนไหมอะไรนี้ที่เรือนคุณพระที” เมื่อได้คำตอบหล่อนก็หันไปสั่งลูกน้องต่อ ดูท่าจะต้องเป็นคนที่เข้มงวดมากแน่ๆ
“เหมือนไหมค่ะ หรือจะเรียกว่าไหมก็ได้” ฉันแก้ชื่อตัวเองใหม่
“นั้นแหละๆ เอ็งจงไปส่งแม่ไหมที่เรือนคุณพระ เข้าใจหรือไม่” หล่อนปัดมืออย่างไม่สนใจ แล้วสั่งงานลูกน้องต่อ
“ขอรับ”
ตลอดทางที่ฉันเดินตามนายคนนี้ เส้นทางที่เดินผ่านแม้จะเป็นทางเดิมแต่ก็รับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ศาลาริมน้ำที่ตกอยู่ภายใต้เงามืดของคืนเดือนดับ สองฝั่งทางเข้ามีคบเพลิงปักอยู่ คอยทำหน้าที่ให้แสงสว่าง กลิ่นดอกไม้ที่ตื่นนอนยามราตรีพากันส่งกลิ่นประชันความหอมให้ผู้คนที่สูดดมได้ลุ่มหลง
สะพานที่ก่อนนี้ผุพังจนแทบจะเดินผ่านไม่ได้ งดงามดั่งเดิมเหมือนตอนแรกสร้าง สองข้างทางปลูกประดับด้วยดอกเข็ม สะพานเป็นสีขาวนวลสะท้อนท่ามกลางความมืด
สวนผลไม้ของคุณย่ากลับกลายเป็นกลุ่มป่าแต่ไม่มืดทึบจนไม่เห็นเรือนที่อยู่ข้างหน้า สงสัยมันจะมืดเกินไปจนดูไม่ออกว่าเป็นไม้ผล
เรือนไทยหลังนี้ดูใหม่กว่าที่ฉันเคยอยู่อาศัย ไม่มีส่วนไหนที่ต่อเติมซ่อมแซม ตัวเรือนดูสว่างไสวด้วยแสงจากคบเพลิง มีผู้ชายนุ่งโจงกระเบนเดินผ่านไปกลุ่มใหญ่
จะว่าไปฉันไม่ทันสังเกตเลยนะเนี่ย มัวแต่ตกใจกลับสิ่งที่อยู่ๆ ก็เปลี่ยนไปปุ๊บปั๊บ ชายที่เดินถือคบไฟนำหน้าฉันก็ใส่โจงกระเบนสีน้ำตาลแดงไม่ใส่เสื้อ ผิวกำยำกร่ำแดดอย่างคนทำงานหนัก ส่วนหญิงกลางคนที่พบที่เรือนท่านเจ้าคุณอินทรเทพนุ่งโจงกระเบนสีแดงเข้ม คาดผ้าแถบสีขาวเหมือนเกาะอก ที่คอใส่สร้อยทองเม็ดโตท้าสายตาโจรอย่างไม่กลัวเกรง
อย่างกับว่าฉันหลุดเข้ามาในกองถ่ายละครย้อนยุคอย่างนั้นแหละ หรือว่านี้จะเป็นเซอร์ไพร์ของพวกคุณย่า คิดจะมาหลอกให้ตกใจกลัวล่ะสิ เล่นอะไรเป็นเด็กๆ สงสัยต้องหมดเงินจ้างคนพวกนี้มาเยอะแน่ๆ ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนงานในสวนซะด้วย
“นี่ นายน่ะ” ฉันร้องเรียกผู้ชายที่เดินนำอยู่ข้างหน้าขณะที่เรากำลังจะถึงเรือนของคุณย่า
“เรียกกระผมหรือขอรับ” นายคนเดินนำหยุดเดินแล้วหันมาทางฉัน
แหน่ะ…!! มีกระพมกระผม ขอรงขอรับด้วย เนียนจริงๆ เลยนะเนี่ย ถึงจะเป็นแค่ตัวประกอบก็เถอะ
“อืม...เรียกเอ็งนั้นแหละ” ในเมื่อเล่นมาฉันจะเล่นตอบก็ได้ น่าสนุกดีออก “คุณท่านเรือนนั้นจ้างนายมาเท่าไหร่”
“จ้าง? จ้างอันใดขอรับ กระผมเป็นทาสในเรือนเบี้ยของพระนายพิจิตรวรลักษณ์กับคุณหญิงจันทร์หอมขอรับ”
แหน่ะ...!! ยังจะเล่นต่ออีก สงสัยกลัวคุณย่าจะรู้ว่าฉันจับได้แล้วจะไม่จ่ายเงินให้ล่ะสิ หุหุ...งั้นเล่นตามน้ำไปก่อนก็ได้
“แล้วคุณหญิงบนเรือนล่ะ เอ็งรู้จักหรือเปล่า” ฉันกั้นยิ้มแล้วเชิดคอขึ้น
“คุณหญิงพิกุลหรือขอรับ ทราบอยู่ขอรับ”
“แล้วหล่อนได้ให้อัตเอ็งหรือเปล่า” ฉันพูดผสมกันมั่ว ไม่สนแล้วว่าคำพวกนี้ใช้ในยุคสมัยไหน
“คุณหญิงเป็นนายหญิงของเรือนคุณพระอัครมนตรี ส่วนกระผมเป็นทาสในเรือนพระนายพิจิตรวรลักษณ์ขอรับ”
“โอเคๆๆ ไม่ถามแล้วก็ได้ ขี้เกียจจะเล่นด้วยแล้วเนี่ย” ฉันเท้าเอวแล้วเดินขึ้นไปบนเรือนโดยไม่สนใจนายตัวประกอบที่ยังทำหน้างง
แต่เอ๊ะ...!!
เมื่อกี้นายตัวประกอบนั่นพูดถึงคุณพระอัครมนตรี นั้นมันบรรพบุรุษของฉันเลยนะนั้น ถึงกับเอาท่านมาเล่นกับเรื่องเหลวไหลอย่างนี้เลยหรือเนี่ย
เมื่อขึ้นมาบนเรือนฉันก็เดินไปยังห้องของคุณย่าทันที พวกท่านกำลังเล่นอะไรกันแน่นะ
ฉันเคาะประตูห้อง รอให้คนด้านในลุกขึ้นมาเปิดประตู ไม่นานเสียงดานประตูก็ดังก่อนจะเปิดออก แต่คนที่ออกมาไม่ใช่คุณย่า หรือคุณแม่ หรือคุณอา หรือยัยดา หรือแม้กระทั่งพี่นนท์ หญิงวัยกลางคนที่ยืนจ้องหน้าฉันอยู่สักพักเอ่ยทำลายความเงียบ
“มีอันใดถึงมาเคาะประตูยามวิกาลเยี่ยงนี้”
“คะ...คุณเป็นใครคะ ฉันมาหาคุณย่าค่ะ”
หญิงวัยกลางคนมองฉันด้วยสีหน้าฉงนอีกครั้ง หล่อนแต่งกายเหมือนผู้หญิงที่ฉันเห็นที่เรือนท่านเจ้าคุณ แต่หล่อนนุ่งน้ำตาลห่มขาว
“ใครเป็นคุณย่าของเอ็งกัน ที่นี่มิมีคุณย่าที่เอ็งว่าดอก”
“แต่ว่า...ฉันเป็นหลานของเจ้าของเรือนนี้นะคะ”
“เอ็งพูดเรื่องอันใดกัน หากเป็นหลานของคนเรือนนี้ เอ็งก็ต้องเป็นหลานข้าน่ะสิ”
“แล้วคุณเป็นใครคะ” ฉันเอ่ยถามอีกครั้ง เมื่อดูเหมือนเราจะเริ่มคุยกันไม่รู้เรื่อง
“ฉันคือคุณหญิงพิกุล เป็นนายหญิงของเรือนนี้”
“มีเรื่องอันใดรึ” เสียงชายวัยกลางคนดังขึ้นก่อนจะเดินมาทางด้านหลังของผู้หญิงที่ประกาศตนเป็นคุณหญิงพิกุลเจ้าของเรือนนี้
คุณหญิงพิกุล...ถ้าจำไม่ผิดคุณย่าเคยเล่าว่าคุณพระอัครมนตรีมีภริยาชื่อว่าคุณหญิงพิกุล มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน
ฉันเอามือขึ้นคลำบริเวณอกแต่กลับไม่พบสิ่งที่มันเคยอยู่ เมื่อก้มมองก็พบเพียงความว่างเปล่า นาฬิกาพกเรือนเงินของตกทอดจากบรรพบุรุษที่คุณย่าให้ไว้ ก่อนหน้านี้ยังห้อยอยู่เลยนี่ เสียงที่ดังแปลกๆ เข็มนาฬิกาที่เดินย้อนกลับ มันทำให้ฉันมาหยุดอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ
นาฬิกาที่เดินย้อนกลับ...!!! ฉันคงไม่ได้ย้อนกลับมาเหมือนนาฬิกานี้นะ!
“ขอโทษนะคะ ฉันอยากรู้ว่าที่นี่คือยุคสมัยรัชกาลที่เท่าไหร่” เมื่อเรื่องดูจะแปลกพิกลฉันจึงต้องถามเพื่อความแน่ใจ
“เอ็งจักไม่รู้ได้เยี่ยงใดว่านี้คือยุคสมัยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 3” ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังคุณหญิงพิกุลพูดด้วยน้ำเสียงดุๆ สองมือประนมไหว้ด้วยความภักดีขณะเอ่ยถึงเจ้าแผ่นดิน
“รัชกาลที่ 3” ฉันรำพึงเบาๆ กับตัวเอง...เป็นไปได้ยังไงกัน...หรือเวลาของฉันได้เดินย้อนพร้อมกับเข็มนาฬิกาเรือนนั้นแล้ว
“แล้วเอ็งเป็นใคร”
“ถ้าเรื่องที่ท่านว่าเป็นเรื่องจริง ท่านคงจะเป็นคุณพระอัครมนตรี บรรพบุรุษของดิฉัน ดิฉันชื่อเหมือนไหมค่ะ” แม้จะไม่อยากเชื่อ แต่ฉันคงปฏิเสธไม่ได้ หากเป็นการจัดฉากมันก็เป็นเรื่องที่น่ากลัวเกินไปที่จะกล่าวอ้างถึงเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดิน
“เอ็งพูดเรื่องอันใด ข้าไม่เข้าใจ”
