บทที่ ๔ วันเกิด ของขวัญ คุณย่า(๒)
[๔] วันเกิด ของขวัญ คุณย่า(๒)
“สวัสดีค่ะ คุณย่าจิตรา ดาคิดถึงจังเลย”
ทันทีที่ก้าวลงจากรถตู้ที่พาเราทั้งหมดมาบ้านสวนที่เต็มไปด้วยพันธุ์ดอกไม้นานาชนิด ญาดาก็ลงไปสวมกอดหญิงชราที่ได้ชื่อว่าเป็นคุณย่าของฉัน และเพราะตำแหน่งที่ดานั่งมันได้เปรียบในการลงมาก่อน ก็เลยโดนเจ้าหล่อนตัดหน้าไปซะได้
“ย่าก็คิดถึงหนูดาจ๊ะ” คุณย่าลูบหัวญาดาอย่างรักใคร่ก่อนที่เจ้าหล่อนจะปล่อยท่านให้เป็นอิสระ
“แหมๆ เร็วกว่าหลานตัวจริงอย่างฉันอีกนะเนี่ย” ฉันพูดล้อยัยดาที่ยังมีสีหน้ายิ้มแป้น
“สวัสดีค่ะคุณย่า” ยกมือไหว้ด้วยมารยาทไทยๆ ก่อนจะเดินไปหอมแก้มคุณย่าทั้งสองข้างอย่างไม่ยอมน้อยหน้าหลานกำมะลอ
“ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ไว้เปียแล้วหรือหลานย่า” มือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาที่ร่วงเลยไปเอื้อมมาสัมผัสอย่างนึกถึงวันวาน
“ไหมไม่ได้ถักเปียมาตั้งนานแล้วนะคะคุณย่า” ฉันพูดยิ้มๆ ก่อนจะจับมือทั้งสองข้างมาประคองไว้
“อ่อๆ ใช่ๆ เหมือนเมื่อวานเองนะที่เรายังถักเปียวิ่งเล่นอยู่หลังบ้าน”
“ถ้าคุณย่าชอบ งั้นไหมจะถักเปียตลอดที่อยู่บ้านสวนเลยนะคะ” ฉันตอบอย่างเอาใจ ความสุขของคนวัยชราจะอยู่ที่ไหนได้ นอกจากความรัก ความเอาใจใส่จากลูกหลาน และห้วงเวลาของอดีตที่แสนสุขใจ
“ดีๆ งั้นเดี๋ยวย่าถักให้”
“สวัสดีครับ” พี่นนท์ยกมือไหว้หญิงชรา หลังจากช่วยขนของลงจากหลังรถ
“ไหว้พระเถอะพ่อหนุ่ม ว่าแต่เป็นใคร แฟนยัยไหมหรือ” พอคุณย่าพูดแบบนี้ฉันก็ร้อนวูบเลยน่ะสิ ที่ร้อนไม่ใช่เพราะเขินอาย แต่เป็นเพราะโดนสายตาอำมหิตที่ถูกส่งมาจากคนข้างๆ ต่างหาก
“ไม่ใช่ครับ ผมชื่อนนท์เป็นแฟนของดาครับ” ไม่ทันที่ฉันจะปฏิเสธแก้ต่าง พี่นนท์ก็รีบพูดขึ้นแก้สถานการณ์อย่างรวดเร็ว มือแกร่งกุมมือคนข้างๆ เพื่อเป็นการยืนยันคำพูด
“อ่อ...แฟนหนูดา”
“คุณแม่คะ เด็กๆ ขึ้นมาข้างบนเถอะค่ะ” เสียงอาสาวเอ่ยเรียกจากชานเรือนด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มไม่ต่างจากเมื่อสองปีก่อน
บ้านสวนของคุณย่าเป็นสวนไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายพืชหลากหลายชนิด ทั้งจากการเพาะเมล็ด ปักชำ ตอนกิ่ง รวมถึงการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อด้วย ชนิดพันธุ์ก็มีทั้งไทยและเทศ ไม่ว่าจะเป็นกุหลาบพันธุ์ต่างๆ จนถึงไม้ดอกไม้ประดับแต่งสวน หรือจะใช้ประดับตามห้องในบ้าน ต้นไม้เหล่านี้คือเพื่อนที่แสนดีของคุณย่า(เห็นท่านว่าอย่างนั้น) ท่านบอกว่ายามทุกข์เพียงมองกลีบดอกไม้ที่แย้มบานเผชิญต่อโลกภายนอกที่ไม่รู้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรแต่มันก็ยังคงบานรับเสมอ ไม่หวั่นเกรงต่อความเปลี่ยนแปลงใดๆ แล้วเหตุใดท่านต้องมาหวั่นใจเพียงเพราะเกิดความทุกข์ ในเมื่อดอกไม้ที่แสนบอบบางยังเผชิญอยู่ได้
ธุรกิจการทำสวนไม้ดอกไม้ประดับทำรายได้ให้บ้านสวนแห่งนี้มากมาย เรือนไม้สักทรงไทยหลังงามที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดี จนทำให้สภาพแทบเหมือนเมื่อครั้งแรกสร้างเมื่อสมัยบรรพบุรุษไม่เปลี่ยนหรือจะเปลี่ยนก็เพียงเล็กน้อย เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน คุณย่ารักที่นี่มาก ไม่แม้แต่คิดจะย้ายไปไหน
แต่ถ้าเป็นไปได้ฉันอยากอยู่ที่นี่เหมือนกัน ทุกครั้งที่มาที่นี่ฉันสัมผัสได้ถึงมนเสน่ห์แบบไทยๆ ที่ยากจะหาเจอท่ามกลางเมืองใหญ่ที่คลาคล่ำไปด้วยผู้คนและความสับสนวุ่นวายของโลกที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวัน เพื่อนบ้านที่นี่ยังคงอยู่กันด้วยไมตรีจิตไม่เสแสร้งแกล้งทำ บรรยากาศภายในบริเวณบ้านเงียบสงบ ไร้ความวุ่นวายชวนปวดหัว ร่มรื่นสมเป็นชีวิตของไทยแท้แต่โบราณ
เมื่อพวกเราทั้งหมดขึ้นมาบนเรือน ฉันก็พบกับคุณแม่ที่เดินทางล่วงหน้ามาก่อนกำลังเช็ดถ้วยชามลายไทยตรงขอบขลิบด้วยสีทอง
“สวัสดีค่ะ/ครับ คุณแม่/คุณอา” เราทั้งสามต่างยกมือไหว้พร้อมกัน
“จ๊ะ”
“เมื่อกี่ดาเห็นคุณอาสาว ไปไหนแล้วล่ะคะ” ญาดาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“ลงประตูหลังไปที่โรงครัว ตั้งแต่ตอนที่เรียกพวกเราแล้วล่ะจ๊ะ” คุณแม่หันมาตอบดา
“คงจะตื่นเต้นน่ะ ก็พวกเราเล่นไม่มากันตั้งสองปีสาวเลยเตรียมอาหารพิเศษที่เราทั้งคู่ชอบก็เลยยุ่งๆ อยู่” เมื่อฉันประคองให้คุณย่านั่งลงที่ศาลากลางเรือนใกล้ๆ กับที่คุณแม่กำลังเช็คถ้วยอยู่ ท่านจึงเอ่ยขึ้นขยายความ “เตรียมตั้งแต่ไก่โห่เลยนะนั้น” คุณย่ายิ้มขำๆ
“จริงเหรอคะ งั้นดาลงไปช่วยดีกว่า” ญาดาดี๊ด๊าขันอาสาลงไปช่วยโดยไม่รอคำอนุญาต ที่รีบร้อนอย่างนั้นคงไม่ได้ไปช่วยธรรมดาแล้วล่ะ คงจะไปช่วยกินแน่ๆ
“งั้นผมขอตัวเอาของไปเก็บก่อนนะครับ แล้วผมอยากจะขออนุญาตลงไปช่วยทำอาหารด้วยครับ”
แหมอิจฉาจริงเชียว จะห่างกันไม่ได้เลยหรือไงนะคู่นี้ แต่ก็น่ารักดี ผู้ชายแบบนี้จะมีสักกี่คนในโลกใบนี้
เหลือรอดมาให้ฉันอีกสักคนเถอะ...
“เราทำอาหารเป็นด้วยเหรอ”คุณย่าถามอย่างแปลกใจ สมัยนี้หรือสมัยไหนก็หายากเต็มทีผู้ชายที่ทำอาหารเป็น
“ครับ เคยเป็นลูกมือให้คุณแม่อยู่บ่อยๆ” พี่นนท์ยิ้มรับ
“อย่างนั้นเองเหรอ งั้นเดี๋ยวย่าให้อิ่มพาไปห้องรับรองก่อนแล้วกัน แล้วค่อยลงไปห้องครัว” คุณย่ายิ้มให้พี่นนท์ แล้วเห็นไปเรียกพี่อิ่ม คนรับใช้สาวที่ปัดฝุ่นอยู่ใกล้ๆ “พาคุณนนท์ไปห้องรับรอง แล้วก็พาไปห้องครัวนะ”
“ค่ะ คุณท่าน เชิญทางนี้ค่ะ” พี่อิ่มรับคำก่อนจะเดินนำไปห้องรับรอง
“งั้นไหมขอตัวไปเก็บของก่อนนะคะ แล้วจะออกมาช่วยค่ะ” ฉันบอกทั้งคุณย่าและคุณแม่ เมื่อเห็นพวกท่านพยักหน้ารับเป็นการอนุญาต ฉันก็เดินอ้อมศาลาไปทางห้องที่ฉันใช้ประจำทุกครั้งที่มาบ้านสวน โดยไม่ลืมหยิบกระเป๋ายัยดามาด้วย เพราะเราสองคนนอนห้องเดียวกันมาตั้งแต่เด็ก โดยไม่เคยคิดจะแยกห้องกันเลย ถึงแม้ห้องหับในเรือนก็ยังพอมีเหลืออยู่หลายห้อง
โชคดีนะที่เจ้าหล่อนขนของมาไม่มาก เพราะอันที่จริงเสื้อผ้าที่บ้านสวนก็มีอยู่แล้ว ถ้ายัยดายังขืนเอาของมาเยอะได้มีบ่นที่ทิ้งของให้ฉันต้องขนมาเก็บให้ แต่นี้รอดตัวไป
ภายในห้องมีเตียงไม้โบราณขนาดใหญ่ที่ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีตั้งอยู่กลางห้อง ทั้งสองข้างหัวเตียงมีโคมไฟทรงสูงสไตล์โมเดิลแต่ลงตัวกับเตียงใหญ่โบราณอย่างประหลาด ด้านขวามือใกล้หน้าต่างมีกระจกบานใหญ่ที่รอบๆ แกะสลักลวดลายไทยโดยช่างฝีมือสมัยอยุธยา ด้านข้างเป็นโต๊ะสำหรับวางของซึ่งถูกสร้างในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ทางด้านซ้ายมือของห้องมีหีบและตู้ใส่ผ้าสองใบวางอยู่ ซึ่งตู้ใบแรกเป็นของฉันส่วนใบที่สองก็เป็นของยัยดา ที่หน้าต่างทุกบานมีผ้าลูกไม้สีขาวเป็นม่าน ทุกอย่างที่อยู่ในห้องนี้ยังคงเหมือนเมื่อสองปีก่อนไม่เปลี่ยนแปลง
เมื่อจัดข้าวของเป็นที่เรียบร้อย ฉันก็ออกไปช่วยคุณแม่ตามที่สัญญาไว้ ตอนที่ออกมาคุณแม่เกือบจะเช็ดเสร็จแล้ว ฉันจึงเช็ดที่เหลือให้เรียบร้อยแล้วขนไปเก็บเข้าตู้เหมือนเคย
อีกสิ่งที่ฉันต้องทำ คือสิ่งที่ฉันชอบทำทุกครั้งที่มาบ้านสวน นั้นคือการได้นวดเฟ้นคุณย่าที่นอนรออยู่ที่ศาลาริมระเบียงเสมอตั้งแต่เล็กจนโต
“พรุ่งนี้หลานก็จะมีอายุครบยี่สิบปีแล้ว ย่ามีอะไรจะให้” เมื่อนั่งลงเตรียมที่จะนวดเหมือนเช่นเคย คุณย่าก็เปิดกล่องไม้ที่วางอยู่ตรงหน้าแล้วหยิบนาฬิกาพกสีเงินออกมาก่อนส่งให้ฉัน
เมื่อพิจารณาใกล้ๆ นาฬิกาพกเรือนนี้น่าจะมีอายุประมาณรัตนโกสินทร์ตอนต้น คงจะเป็นช่วงสมัยรัชกาลที่สามถึงรัชกาลที่ห้า ซึ่งเป็นช่วงที่ประเทศเราเริ่มเปิดประเทศมากขึ้น
นาฬิกาพกโบราณเรือนนี้เป็นสีเงิน ซึ่งดูแล้วก็น่าจะเป็นเงินแท้ ด้านหน้าประดับด้วยลวดลายเถาไอวี่ล้อมกรอบ ตรงกลางถูกสลักคำว่าแม่หญิงไหม ด้านในหน้าปัดเป็นเลขโรมันพื้นสีขาว
แม่หญิงไหม... อาจจะแค่บังเอิญ
“สวยจังเลยค่ะ”
“ย่าก็ว่าสวย ของสิ่งนี้เป็นสิ่งตกทอดมานาน ว่ากันว่าเป็นของที่ท่านเจ้าคุณอินทรเทพซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งหลวงเทพวรางค์ท่านได้มอบให้กับแม่หญิงไหม เจ้าของชื่อที่ถูกสลักบนนาฬิกา แต่น่าแปลกที่ไม่นานหลังจากท่านมอบให้เธอ กลับหายตัวไปโดยไม่มีใครตามหาพบ คุณพระอัครมนตรีบรรพบุรุษของเราจึงได้สั่งกำชับให้ลูกหลานส่งต่อนาฬิกาเรือนนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะพบกับหญิงในรูปนี้” คุณย่าหยิบรูปวาดขาวดำมาใบหนึ่ง รูปดูเลือนรางไปมาก แต่ก็ยังพอให้มองเห็นได้ว่าคนๆ นั้นมีหน้าตาอย่างไร
“แม่หญิงไหม” คุณย่ากล่าวนามของผู้หญิงในรูป
ฉันหยิบรูปวาดจากคุณย่ามาดูใกล้ๆ อย่างสงสัย แปลก...แปลกมากจริงๆ แม้หญิงในรูปจะแต่งกายด้วยชุดในสมัยอยุธยาตอนปลายถึงรัชกาลที่สาม แต่ผมที่ไว้ยาวตีปีกที่ด้านหน้าไม่เหมือนผู้หญิงสมัยนั้นที่นิยมผมสั้น ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยอย่างงามสง่า แต่ที่แปลกเพราะหล่อนมีใบหน้าที่เหมือนกับฉันไม่มีผิด เหมือนกับว่าฉันคือหล่อน หล่อนคือฉัน ถ้าไม่เพราะช่วงเวลาที่ต่างกัน ฉันคงคิดว่ารูปวาดใบนี้เป็นฉันเอง
“หน้าเหมือนไหมเลยนะคะ แถมชื่อก็คล้ายกันอีก”
“ใช่จ๊ะ ย่าก็ว่าเหมือน ตอนแรกย่าเกือบจะลืมไปแล้วเสียอีก แต่พอได้เห็นหลานสาวที่โตเต็มวัยคนนี้ก็ทำให้ย่านึกได้ แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้”
“คุณย่าแปลกใจอะไรคะ” ฉันละสายตาจากรูปแล้วมองไปทางท่าน
“เหมือนกับว่าคุณพระท่านรู้ล่วงหน้าว่าจะมีคนที่หน้าตาเหมือนแม่หญิงไหมเกิดขึ้นมาอีกครั้ง”
นั้นสินะ...เหมือนคุณพระท่านแน่ใจจริงๆ แล้วยังมั่นใจอีกว่าเป็นคนในตระกูลของท่าน
ฉันละความสนใจจากอดีตที่ดูคลุมเครือ แม้จะเป็นเรื่องในวงศ์ตระกูลของตัวเองแท้ๆ แต่เรื่องราวยังไม่อาจระบุชัดเจน แล้วจะนับประสาอะไรกับเรื่องราวความเป็นมาของประวัติศาสตร์ที่เป็นภาพใหญ่ ใครคนไหนในยุคปัจจุบันจะล่วงรู้เรื่องพวกนั้นได้ชัด นอกจากพวกเขาเหล่านั้นเอง
นาฬิกาพกที่คุณย่าให้มองดูก็รู้ว่าเป็นของที่พ่อค้าต่างชาตินำเข้ามาขาย ลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์ไม่ใช่ลายไทยประดิษฐ์อย่างที่ช่างไทยสมัยก่อนนิยม ตัวหนังสือก็ยังเป็นตัวเลขโรมัน และงานแบบนี้ก็มีแต่ของนอกเท่านั้นในยุคสมัยนั้น
“นาฬิกาพกโบราณเรือนนี้สวยมากเลยค่ะ ไหมจะเก็บรักษาอย่างดี ขอบคุณนะคะ” ฉันกอดเอวคุณย่าอย่างหลวมๆ
“ดีแล้วที่ไหมชอบ นาฬิกาพกเรือนนี้มันหยุดเดินไปนานแล้วอย่างที่ไหมเห็น แถมอะไหล่รุ่นนี้ก็ไม่มีให้เปลี่ยนอีก แต่ย่าก็อยากให้ไหมเก็บไว้นะลูก”
“ค่ะ คุณย่า ถึงแม้จะดูเวลาไม่ได้ แต่ก็เป็นเครื่องประดับได้นี่นา” พูดจบฉันก็เอาสายสร้อยนาฬิกาคล้องคอแล้วจัดให้นาฬิกาอยู่ตรงกลางพอดี
“เหมาะกับไหมมากเลยจ๊ะ” คุณย่ามองสำรวจ
“จริงเหรอคะ ไหมจะใส่ติดตัวไว้ตลอดเวลาเลยค่ะ”
ฉันก้มมองนาฬิกาพกโบราณสไตล์ยุโรป ก่อนจะเปิดฝานาฬิกาออกอีกครั้งเพื่อสำรวจภายในอีกรอบ เข็มนาฬิกาทั้งสามที่หยุดสนิท บ่งบอกช่วงเวลาที่หยุดนิ่งของมัน ณ ยามเที่ยงวันหรือไม่ก็เที่ยงคืน
