บทที่ ๓ วันเกิด ของขวัญ คุณย่า(๑)
[๓] วันเกิด ของขวัญ คุณย่า(๑)
“พี่เทพ!!”
ดวงตาที่เคยปิดสนิทลืมขึ้นอย่างรวดเร็ว ฉันค่อยๆ ยันกายที่ยังสั่นเทาไม่หายแล้วมองไปรอบๆ ห้องที่มืดสลัว มีเพียงแสงจากดวงจันทร์ที่ลอดเข้ามาจากม่านที่ปิดไม่สนิทดี
“ฝันหรอกเหรอเนี่ย” มือยกขึ้นเสยผมที่ตกลงมาปรกหน้าก่อนจะค่อยๆ ลูบหน้าตัวเอง แต่ทว่ามันกลับ...
เปียกน้ำตา...
ก๊อกๆๆ
“ไหมเป็นอะไรหรือเปล่าลูก”
เสียงเคาะห้องท่ามกลางความเงียบสงบทำให้ฉันตกใจ เสียงคนข้างนอกที่ถามอย่างร้อนรนทำให้ฉันได้สติจากภาพในฝันร้ายที่ใบหน้าซีดขาวและเต็มไปด้วยคราบเลือดที่แห้งเกาะกังตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย
“เป็นอะไรไปลูก ร้องตะโกนซะเสียงดังเลย” ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมากับสัมผัสอ่อนโยน ทำให้จิตใจของฉันสงบลง ขับไล่ความหนาวเหน็บและหวั่นผวาในความฝันแสนประหลาด
“ไหมฝันร้ายน่ะค่ะ ไม่มีอะไรหรอก” ฉันยิ้มน้อยๆ ให้คุณแม่ได้อุ่นใจ
“งั้นเหรอ ไม่มีอะไรก็ดีแล้ว นอนต่อเถอะจ๊ะ พรุ่งนี้ต้องไปเรียนเช้าไม่ใช่เหรอ”
“ค่ะ”
เมื่อเดินไปส่งคุณแม่ที่ห้องแล้ว ฉันจึงเดินกลับมานั่งครุ่นคิดถึงฝันประหลาดนั่นอีกครั้ง ทำไมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครึ่งหนึ่งมันถึงเหมือนเรื่องที่อาจารย์เกริกเกียรติให้มาทำเป็นรายงานพิเศษ ซึ่งฉันแปลไปเพียงครึ่งหนึ่ง แล้วอีกครึ่งล่ะ มันจะเหมือนกับความฝันของฉันไหม และที่สำคัญ...
ทำไมฉันถึงกลายเป็นแม่หญิงศรีนวล...
“ก็เพราะแกคิดมากเกินไปไง” ญาดาพูดทันทีเมื่อฟังฉันเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับความฝันประหลาดให้หล่อนฟัง
“แต่ฉันว่ามันแปลก ในเมื่อฉันยังแปลยังไม่หมด แต่ทำไมเหตุการณ์ในฝันถึงได้ตรงกับสมุดใบลานทุกอย่าง แถมยังละเอียดกว่าด้วยซ้ำ”
“แล้วแกรู้ได้ไงว่าตรงกับสมุดใบลานนั้น”
“ก็หลังจากที่ตื่นขึ้นมาฉันก็นั่งแปลต่อจนจบ ถ้าฉันคิดไปเอง ทำไมฉันถึงรู้ในสิ่งที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อนล่ะ”
“บังเอิญน่ะ แกก็แค่ผูกเรื่องไปเองเท่านั้นแหละ และมันก็บังเอิญที่แกดันผูกถูก”
ไม่ว่าจะพูดยังไง ญาดาก็คิดว่ามันเป็นได้แค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น แต่ฉันว่าสมุดใบลานเล่มนี้มีบางสิ่งบางอย่างที่ฉันเองก็บอกไม่ถูก มันเหมือนกับว่าการรอคอยที่ไร้จุดหมายมาแสนนาน บัดนี้ได้พบกับจุดหมายที่ฉันเฝ้ารอแล้ว แต่ฉันจะเดินไปยังจุดหมายนั้นได้ยังไงกัน
ขุนศึกเทพ คนๆ นั้นแม้จะจำหน้าไม่ได้ แต่กลับให้ความรู้สึกผูกพันและคุ้นเคยอย่างประหลาด ทั้งอบอุ่น วางใจ แต่ในขณะเดียวกันมันหนาวยะเยือก และเศร้าจับใจ
“แม่คะ วันนี้มีอะไรทานบ้างเอ่ย”
พอกลับมาฉันก็เดินเข้าไปในห้องครัวอย่างรู้ดีว่าเวลานี้คุณแม่จะอยู่ที่ไหน ในเมื่อท่านรักการทำอาหารจะตาย แถมทำอร่อยไม่มีใครเกินด้วย
“เย็นนี้มีพัดกระเพรา ยำถั่วพู แล้วก็แกงเขียวหวานของโปรดไหมทั้งนั้นเลยจ๊ะ”
“ว้าว...ดีจังเลยคะ ขอบคุณนะคะ” คุณแม่นี้น่ารักจังขอหอมสักฟอด ว่าแล้วก็จัดไปทั้งสองข้างอย่าให้ช้า ไม่งั้นเดี๋ยวแก้มคุณแม่จะไม่เท่ากัน
“วันนี้คุณไหมกลับเร็วจังนะคะ” ป้านวลที่กำลังจัดเครื่องยำอยู่หันมาทักทาย
ป้านวลเป็นแม่บ้านที่อยู่กับครอบครัวเรามาตั้งแต่สมัยคุณพ่อยังหนุ่ม เรียกได้ว่าเป็นคนเก่าคนแก่ของบ้าน อีกอย่างป้านวลเป็นคนเลี้ยงดูฉันมาตั้งแต่ยังเด็ก ฉันจึงเคารพป้านวลเหมือนแม่คนที่สอง
“วันนี้ไหมมีเรียนไม่กี่วิชาค่ะ เลยกลับเร็ว”
“แล้วคุณดาไม่มาด้วยเหรอคะ”
“ปล่อยให้เขามีความสุขกันสองคนเถอะคะ ยิ่งช่วงนี้หวานกันจนมดไม่กล้าไต่ กลัวจะเป็นเบาหวานตายซะก่อน” ฉันเอ่ยแซวเพื่อนซี้ที่ตอนนี้คงกำลังดูหนังฟังเพลงตามประสาคู่รักป้ายแดงที่ไหนสักแห่ง ซึ่งเรื่องของทั้งสองก็เป็นที่รู้กันดีในเมื่อญาดาเคยนำมาเปิดตัวที่นี่แล้ว
“ดูสิลูกคนนี้ ดูทำพูดเข้า” คุณแม่เอ็ดเบาๆ แต่ก็ลอบอมยิ้มเหมือนกัน คงจะแอบเห็นด้วยกับฉันแน่ๆ แต่ทำฟอร์มไปงั้น
“ถ้าเป็นป้า มีแฟนอย่างคุณนนท์ป้าไม่ยอมให้หลุดมือไปหรอกค่ะ” ป้านวลคลุกยำไปพรางพูดไปพราง
“นั้นสิคะ เสียดายพี่นนท์เขาไม่ยอมแลไหมเลย” ฉันพูดขำๆ แต่ก็ไม่วายโดยสายตาดุๆ ที่ส่งมาจากคุณแม่
“ทำเป็นพูดไป คุณไหมแอบไปมีใครไม่บอกป้าบอกคุณนายหรือเปล่าคะเนี่ย”
“โถ่...ไหมจะมีใครได้ล่ะคะ ไหมก็มีแต่คุณแม่ ป้านวล แล้วก็คุณย่าเท่านั้นแหละค่ะ” ฉันพูดเอาใจสองสาวที่แม้วัยจะไม่เรียกว่าสาวแล้วก็เถอะ พรางเดินไปกอดเอวป้านวลไว้หลวมๆ
“จะว่าไป เห็นคุณยายบ่นคิดถึงไหม วันเกิดไหมปีนี้เราไปบ้านคุณย่ากันนะลูก”
อีกเพียงแค่สามวันฉันก็จะมีอายุครบยี่สิบปีแล้วสิ วันเกิดทุกปีของฉัน คุณพ่อ คุณแม่ และยัยดา เราต่างก็ร่วมสังสรรค์เล็กๆ กันที่บ้านสวน ซึ่งคุณย่าและอาสาวอยู่ที่นั่น แต่สองปีมานี้ ตั้งแต่คุณพ่อจากไปฉันก็ไม่ได้จัดงานวันเกิดหรืองานรื่นเริงอะไรอีก เนื่องจากฉันเองไม่สามารถจัดงานโดยไม่คิดถึงคุณพ่อได้
“ไหมก็คิดถึงคุณย่าเหมือนกัน ไม่ได้ไปหาตั้งสองปี” ฉันเลี่ยงที่จะไม่พูดถึงคุณพ่อ แต่ฉันก็รู้ว่าในใจของเราสองแม่ลูก ไม่มีใครที่จะลืมคุณพ่อได้ ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ใด ฉันก็อยากให้ท่านมองมาที่ฉันและแม่ แล้วเห็นว่าพวกเรามีความสุขดี
“ปีนี้แกจะจัดงานวันเกิดงั้นเหรอ”
ในวันต่อมาฉันออกปากชวนญาดาไปงานวันเกิดที่บ้านสวนของคุณย่า ยังไงซะทุกปีก็ต้องมียัยคนนี้ไปเป็นตัวเก็บกวาดอาหารทุกปีตั้งแต่เล็กจนโต
“สองปีแล้วสินะที่ไม่ได้ไปบ้านสวน”
“อืม...แต่จะเรียกว่างานก็ไม่ถูกหรอก ก็แค่อวยพรวันเกิด แล้วก็ทานอาหารร่วมกัน แต่ของขวัญฉันแกห้ามลืมเด็ดขาด” แม้จะพูดสบายๆ แต่ก็อดแกล้งยัยเพื่อนสาวโดยเน้นประโยคหลังไม่ได้
“แกจะชวนพี่นนท์ไปด้วยก็ได้นะ”
“ของมันแน่อยู่แล้ว จะได้ไปแนะนำให้คุณย่าจิตรู้จัก”
“สรุปย่าแกหรือย่าฉันกันแน่เนี่ย”
“ย่าแกก็เหมือนย่าฉัน ย่าฉันก็เหมือนย่าแกนั้นแหละ” ญาดาตอบพรางทำสีหน้าทะเล้น จนฉันอดหมั่นไส้ไม่ได้
“ถ้างั้นแฟนแกก็เหมือนแฟนฉันด้วยล่ะสิ”
“เฮ้ย!!...อันนี้สงสัยจะไม่ใช่แล้ว” ญาดาร้องเสียงหลง ก่อนใบหน้าที่เคยยิ้มแย้มจะบึ่งตึงอย่างไม่จริงจัง
“โถ่...ทำเป็นหวง”
“ก็ต้องหวงสิ ผู้ชายดีๆ อย่างนั้นต่อให้ตายฉันก็ไม่ให้ใครหรอก”
“ให้ใครกับใครเหรอครับสาวๆ” พี่นนท์เดินเข้ามาทางด้านหลังยัยดา แล้วเอาไหล่สะกิดเบาๆ ให้แฟนสาวรู้ตัว
“ก็ยัยดานะสิค่ะ บอกว่าต่อให้ต้องตายก็ไม่มีทางปล่อยพี่นนท์ไปให้ผู้หญิงหน้าไหนเด็ดขาด”
ดูสิหน้ายัยดาแดงเป็นลูกตำลึงสุกไปซะแล้ว แต่มือของเจ้าหล่อนกับไม่อยู่เฉยๆ มันพุ่งเป้ามาที่แขนฉันเต็มแรง ยัยเพื่อนบ้าแกล้งเล่นแค่นี้ต้องทำร้ายร่างกายกันด้วย ก็พูดเองนี่นา
“จริงเหรอคะ” พี่นนท์หันไปถามญาดา “ไม่ต้องห่วงหรอก ต่อให้ตายชาตินี้พี่ก็ไม่ไปไหนแล้วล่ะ” มือแกร่งเอื้อมจับมือน้อยๆ ของเพื่อนสาวที่ยืนบิดไปบิดมามากุมไว้อย่างอ่อนโยน และให้ความมั่นใจ ดวงตามองสบกันหวานฉ่ำ จนมดแถวๆ นั้นสำลักความหวานของคนทั้งคู่ตายกันหมดรัง
“แหมๆๆ เอาน้ำตาลมาเททิ้งไม่เกรงใจคนไม่มีแฟนแถวนี้เลยนะคะ”
“น้องไหมก็รีบหาใครสักคนสิครับ” ทั้งคู่ละสายตาจากกัน ก่อนพี่นนท์จะหันมาเย้าแหย่อย่างเป็นกันเอง แต่มือแกร่งยังไม่ปล่อยมือที่กุมไว้
“แหม...สงสัยคนๆ นั้นของไหมจะอยู่คนละภพล่ะมั้ง ป่านนี้ถึงไม่ปรากฏตัวให้เห็นเสียที” ฉันหัวเราะให้กับคำตอบที่เหมือนสะกิดใจตัวเองแปลกๆ แต่สุดท้ายก็สลัดมันทิ้งอย่างรวดเร็ว
“อ่อ...ไหมพึ่งนึกได้ว่าต้องเอารายงานไปส่งอาจารย์ ถ้างั้นขอตัวนะคะพี่นนท์”
“ครับ”
“ไปก่อนนะดา เจอกันในห้อง”
“อืม” ญาดาพยักหน้าแดงๆ สองที ก่อนฉันจะออกเดินไปยังทางที่นำไปยังอาคารที่พักของบรรดาอาจารย์
พอมาถึงห้องพักของอาจารย์เกริกเกียรติ เคาะประตูอยู่หลายทีแต่ไม่มีเสียงตอบกลับ ฉันจึงถือวิสาสะเปิดประตูเข้าไป แล้วพบเพียงความว่างเปล่า แกคงจะมีสอน งั้นฉันวางรายงานกับสมุดใบลานไว้บนโต๊ะแล้วกัน
เมื่อเสร็จธุระฉันก็หันตัวกลับ เพื่อเตรียมตัวที่จะเรียนต่อในตอนบ่าย
“แม่ศรีนวล”
ลมวูบใหญ่พัดมาทางด้านหลัง พร้อมกับเสียงของใครบางคนที่แสนคุ้นเคย เสียงที่ได้ยินในคืนเดียวกันกับที่ฝันประหลาด
“พี่เทพใช่ไหมคะ”
ฉันหันกลับไปทางโต๊ะอาจารย์ แต่น่าแปลกที่เอกสารและข้าวของทุกอย่างยังอยู่ที่เดิม ทั้งๆ ที่เมื่อไม่กี่นาทีพึ่งมีลมวูบใหญ่พัดเข้ามา
และสิ่งที่ฉันแปลกใจยิ่งกว่า คือคำถามที่หลุดออกจากปากของฉันเอง
ความเงียบเข้าครอบงำอีกครั้ง ไร้เสียงใดๆ ตอบรับ สงสัยฉันจะยึดติดกับรายงานเรื่องนี้มากเกินไปเหมือนที่ยัยดาว่าไว้
แม่หญิงศรีนวล ขุนศึกเทพ บุคคลทั้งสองคือตำนานที่ถูกจดบันทึกลงในสมุดใบลานที่คุณพ่อค้นพบเท่านั้น ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริง หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้มีตัวตนอยู่ในยุคปัจจุบันนี้
