บทที่ ๒ : รายงานพิเศษ (๒)
[๒] ความฝัน
'ฮือๆๆ ชาตินี้ข้ากับพี่เทพบุญน้อยนัก มิอาจอยู่คู่เคียงกันได้ ข้าขอตั้งคำสัตย์สัญญา ให้องค์เทวาเป็นพยาน พญามัจจุราชให้ประจัก หากแม้นภพหน้ามีจริง ไม่ว่าจะเกิด ณ ที่ใด ข้าจะขอตามรักพี่เทพทุกชาติไป ฮือๆๆ'
...ทุกชาติไป!!
เฮือก!!
ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นมาจากโต๊ะในห้องทำงานของคุณพ่อ ที่ถูกปิดไว้มานานตั้งแต่ท่านเสีย กว่าจะขอให้คุณแม่ซึ่งเป็นคนเก็บกุญแจไว้ยอมมาเปิดห้องให้ ต้องชักแม่น้ำเป็นสิบสาย ถ้าไม่บอกว่ารายงานที่อาจารย์เกริกเกียรติสั่งให้ทำนี้อยากให้ส่งเร็วๆ แล้วล่ะก็ มีหวังคุณแม่คงไม่ยอมเปิดให้แน่ๆ ยิ่งรู้ว่านี้คือของที่คุณพ่อค้นพบก่อนเสียชีวิต แทบจะเอาไปเผาเลยทีเดียว
แม้เวลาจะผ่านมาถึงสองปีแล้วแต่คุณแม่ก็ยังไม่อาจลืมคุณพ่อได้ ก็ท่านรักคุณพ่อมากนี่นา ถ้ามีใครสักคนรักฉันมาก แม้แต่ความตายมาแยกก็ยังไม่อาจทำให้ความรักจบลงได้ เหมือนความรักที่คุณแม่มอบให้คุณพ่อก็ดีสินะ
ฟิ้ว...ววว
จู่ๆ ลมจากไหนก็ไม่รู้พัดเข้ามาปะทะกับใบหน้าของฉันเต็มๆ ส่งผลให้เอกสารที่วางอยู่บนโต๊ะปลิวว่อน รวมถึงรายงานอาจารย์เกริกเกียรติที่ฉันแปลไว้ได้เกือบครึ่ง
"แม่ศรีนวล พี่รักเจ้า รอพี่ก่อนนะ"
ขณะที่ก้มเก็บเอกสาร เสียงของผู้ชายคนหนึ่งก็ดังขึ้น มันเป็นน้ำเสียงที่เปี่ยมด้วยความรัก และต้องการให้ใครสักคนเฝ้ารอการกลับมาของเขา
ฉันลุกขึ้นจากเอกสารที่กระจายบนพื้นก่อนจะมองไปรอบๆ เพื่อหาที่มาของเสียง แต่พอมองไปรอบๆ ก็ไม่พบใคร แล้วมันจะพบใครได้ล่ะในเมื่อฉันอยู่คนเดียวในห้องนี้ บ้านใหญ่เวลานี้ก็ดึกมากทั้งบ้านคงมีแค่ฉันกับแม่ พวกคนใช้ก็อยู่ที่บ้านพักของตัวเอง อีกอย่างพวกคนใช้ผู้ชายไม่กล้าขึ้นบ้านใหญ่เวลาดึกๆ อย่างนี้แน่ สงสัยหูจะแว่วไปเอง
ฉันรวบรวมเอกสารที่อยู่บนพื้นขึ้นมาทั้งหมด แล้วเดินไปหยิบสมุดใบลานซึ่งเป็นต้นเรื่องของการทำรายงานครั้งนี้ พร้อมกับหนังสือที่คุณพ่อรวบรวมตัวอักษรสมัยอยุธยาตอนต้นที่ฉันเอามาเทียบกับตัวอักษรในสมุดโบราณก็พบว่ามันตรงกัน จึงใช้มันเป็นพจนานุกรมช่วยแปล
เมื่อของที่ต้องการทั้งหมดอยู่ในมือที่ถือไว้แนบอก เนื่องจากปริมาณที่มากและกลัวมันจะหล่น ฉันเดินไปปิดสวิตซ์ไฟ ทำให้ห้องทำงานของคุณพ่อจะตกอยู่ในความมืดเหมือนเดิม
วันนี้เหนื่อยมากแล้ว พอแค่นี้ก่อนดีกว่า พอหันไปมองนาฬิกาแขวนในห้องนอนก็พบว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะเที่ยงคืน ดึกขนาดนี้แล้วเหรอ ฉันควรจะไปอาบน้ำนอนดีกว่า พรุ่งนี้ยิ่งมีเรียนเช้าอยู่
ยี่สิบนาทีต่อมาฉันก็เข้ามาอยู่ใต้ผ้าห่มที่แสนจะอบอุ่นสักที ก่อนหน้านี้ฉันเผลอหลับไปนานแค่ไหนก็ไม่รู้ แต่แบบนั้นตอนนี้และเวลานี้ฉันก็ยังคงง่วงเหมือนเดิม
เปลือกตาที่เริ่มจะต้านทานแรงโน้มถ่วงของโลกไม่ไหวค่อยๆ ปิดลงช้าๆ สติเริ่มจมสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง...
"อ้าว พ่อเทพใช่หรือไม่ มาหาพ่อยอดรึ" เสียงหญิงวัยกลางคนที่เปี่ยมด้วยอำนาจดังออกมาจากชานเรือน เมื่อเจ้าหล่อนมองเห็นแขกผู้มาเยือน
"ขอรับ สวัสดีขอรับ ไม่ทราบว่าพ่อยอดอยู่หรือไม่" เสียงเข้มของชายผู้เป็นแขกตอบรับอย่างนอบน้อม สองมือประนมไหว้
"ไหว้พระเถอะ พ่อยอดออกไปสำนักดาบกับท่านเจ้าคุณป่านนี้ยังไม่กลับเลย มีอันใดรึ" หญิงวัยกลางคนรับไหว้พ่อเทพอย่างคนรู้จักมักคุ้นกันมาก่อน
"ที่จริงกระผมอยากจะมาลาแม่ศรีนวลขอรับ"
"ก็พูดกันตรงๆ ตั้งแต่แรกสิ จะมัวโยกโย้ไปใย" คุณหญิงยิ้มให้ชายหนุ่มอย่างเข้าใจ อีกเพียงสองวันเท่านั้น ทัพอโยธยาก็จะเคลื่อนพลเพื่อไปต่อตีกับข้าศึกที่เข้ามารุกรานแผ่นดินสยามถึงสิบห้าปี
"อีแม้น เอ็งไปตามนายเอ็งมา บอกว่าพ่อเทพมาหา"
"เจ้าค่ะ"
"นั่งรอสักครู่เถิด อยู่ทานข้าวเย็นด้วยกันนะ"
"ขอรับ"
"ดี งั้นข้าคงต้องขอตัวไปเข้าครัวก่อน"
"ขอรับ"
คุณหญิงเดินลงจากเรือนมุ่งตรงไปทางโรงครัว ส่วนพ่อเทพนั่งรออยู่ที่ศาลากลางบ้านไม่นาน สตรีที่เฝ้ารอก็ย่างกายมาหยุดตรงหน้า ก่อนจะนั่งลงในฝั่งตรงข้ามกันอย่างรักษามารยาท
"สวัสดีเจ้าค่ะ" ความงามที่มัดตรึงชายมิเสื่อมคลาย พ่อเทพจ้องมองเหมือนตกอยู่ภายใต้มนต์สะกด สองมือรับไหว้อย่างไม่รู้สึกตน ส่งผลให้แก้มนวลเริ่มขึ้นสี
"พี่มีเรื่องจะคุยกับเจ้า"
"เรื่องที่พี่จักออกรบใช่หรือไม่" เสียงหวานเอ่ยออกมาเศร้าจับใจ
"เจ้ารู้ได้เยี่ยงใด"
"พี่เทพคงลืมไปแล้วกระมัง เรือนนี้มีชายที่ต้องกร่ำศึกเช่นกัน อีกอย่างแม้นจักเป็นหญิงก็สนใจข่าวบ้านข่าวเมืองได้" น้ำเสียงตัดพ้อ แต่แววตาของหญิงสาววัยแรกรุ่นแสนเศร้าเหลือคณานับ หากการศึกครั้งนี้ต้องพรากชายอันเป็นที่รักไปจะทำเยี่ยงใด ยิ่งคิดก็ยิ่งทุกข์ระทม
"พี่รู้ว่าเจ้าคิดเยี่ยงใด พี่สัญญาว่าจะกลับมาหาเจ้าแน่นอน" ชายชาติทหารแม้จะทะนงเก่งกล้าไม่หวั่นศึก ทว่าใจนั้นกลับอ่อนแรงยามเห็นหญิงคนรักเศร้าเสียใจ อยากจะเข้าไปกอดปลอบให้คลายเศร้า ติดตรงที่ว่าประเพณีแต่โบราณ ชายหญิงมิอาจต้องตัวกันได้หากมิใช่สามีภรรยา
"พี่เทพสัญญาแล้วนะเจ้าคะ" น้ำใสๆ มิอาจห้ามได้อีกต่อไป สายตาทวงถามสัญญาจากชายคนรัก
เห็นเยี่ยงนั้น ขุนศึกเทพก็มิอาจห้ามปรามใจตนได้อีกต่อไป มือแกร่งเอื้อมไปปัดสายน้ำบนหน้านวลอย่างแผ่วเบา
"มีอีกเรื่องที่พี่จะสัญญากับเจ้า"
"เรื่องอันใดรึเจ้าคะ"
"แม่ศรีนวล เจ้าก็รู้มิใช่รึว่าพี่รักเจ้า"
สองแก้มนวลแดงระเรื่อ สายน้ำสองสายหยุดไหลริน พาให้คนมองใจชื้น ร่างเล็กพยักหน้ารับเบาๆ ยิ่งเป็นที่ถูกใจแก่ชายหนุ่มคนรัก
"การศึกครั้งนี้เราจะต้องชำนะ พี่จะขอเจ้าจากสมเด็จท่าน เราจักอยู่ร่วมกัน" ชายหนุ่มพูดด้วยสีหน้าแลน้ำเสียงที่มั่นใจ หญิงสาวแทบจะกั้นน้ำตาแห่งความปีติไว้ไม่อยู่ เรียวปากงามเอื้อนเอ่ยสิ่งที่กุลสตรีมิควรถาม
"จริงรึเจ้าคะ"
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจในกิริยาของหญิงคนรัก
"นี่สิถึงจะเป็นแม่ศรีนวลตัวจริง"
"อะไรกันเจ้าคะ แม่หญิงศรีนวลมีเพียงหนึ่งมิมีสอง จักมีตัวจริงตัวปลอมได้เยี่ยงใด" เรียวปากบางเชิดขึ้นอย่างแสนงอนอีกครา แต่ครานี้มิได้แฝงไปด้วยความเศร้า แต่เต็มไปด้วยความขบขัน
"นั้นสินะ พี่ก็รักแม่หญิงศรีนวลที่มีเพียงหนึ่งมิมีสองนางนี้เช่นกัน"
"พูดมิอายปากหรือกระไรนะ น้องอายบ่าวไพร่มัน" ใบหน้างามขึ้นสีแดงกร่ำเป็นครั้งที่เท่าไรของวันนี้แล้วมิรู้เลย หันมองไปรอบๆ ก็เห็นบ่าวไพร่ต่างหัวเราะชอบใจระคนยินดีไปกับนายหญิงน้อย
"หัวเราะอันใดกัน งานการมิมีหรือกระไร เดี๋ยวก็บอกให้คุณแม่ลงหวายเสียให้หมด" ดั่งคำประกาศิต บ่าวไพร่ทั้งหลายต่างกลับไปทำงานของตนอีกครั้ง แต่สีหน้ายังไม่หมดแววขบขัน
"จะไปดุพวกบ่าวมันทำไม มันก็แค่ดีใจกับความรักของเรา"
"คนอะไรพูดว่ารักไม่อายปากหรือกระไรเจ้าคะ"
"จักให้อายอันใดเล่า พี่รักก็บอกว่ารัก มิมีผิดดอก" ยิ่งพูดก็ยิ่งชอบใจที่เห็นใบหน้างามแดงเป็นลูกตำลึงสุก
"พอเถอะเจ้าค่ะ น้องมิอยากเถียง" เมื่อปรามมิได้ เจ้าหล่อนจึงสะบัดหน้างามเชิดขึ้นอย่างรู้ว่าเป็นจุดอ่อนของบุรุษชาตินักรบตรงหน้า ฆ่าศึกยังไม่หวั่นเกรงเท่าใบหน้าแสนงอนของหญิงคนรัก
"แม่ศรีนวล เจ้าจักรอพี่ได้หรือไม่" น้ำเสียงมั่นคงจริงจังเรียกเรียวหน้างามหันมาสบอีกครั้ง หญิงสาวมองสำรวจใบหน้าคมเข้มก่อนจะเอื้อนเอ่ยวาจาที่เธอต้องรักษาอีกนานแสนนาน
"เจ้าค่ะ น้องจักรอ"
"คุยอันใดกันอยู่รึ" คุณหญิงเดินขึ้นมาบนเรือนพร้อมท่านเจ้าคุณ และพ่อยอดพี่ชายของแม่ศรีนวล "ดูท่าจะสนุกนักเชียว เสียงหัวเราะของพ่อเทพจึงได้ยินไปถึงโรงครัว"
"มิมีอันใดสำคัญหรอกเจ้าค่ะ"
"หามิได้ขอรับ กระผมบอกแม่ศรีนวลว่าหากเสร็จศึกคราใดจะขอให้สมเด็จพระราชทานพิธีแต่งงานกับแม่ศรีนวลขอรับ"
"บ๊ะ!! เหตุใดมิคุยกับผู้ใหญ่ก่อน" ท่านเจ้าคุณที่ได้ฟังก็พูดด้วยเสียงเปี่ยมอำนาจแต่เต็มไปด้วยความขบขันระคนเอ็นดู อย่างไรเสียเขาก็รู้จักพ่อเทพคนนี้มาแต่อ้อนแต่ออก
"กระผมจึงได้เรียนให้ท่านเจ้าคุณทราบอยู่นี้กระไรขอรับ"
"บ๊ะ!! แล้วเยี่ยงนี้ยังจะเรียกท่านเจ้าคุณอยู่อีก เรียกข้าว่าเจ้าคุณพ่อตาได้แล้วกระมังพ่อเทพ" ว่าที่พ่อตาพูดหยอกล้อว่าที่ลูกเขยอย่างนึกชอบใจ
"ขอรับเจ้าคุณพ่อตา" ชายหนุ่มตอบรับด้วยน้ำเสียงกะล่อน ยิ่งทำให้ท่านเจ้าคุณหัวเราะชอบใจ
"ไม่น่าเชื่อนะขอรับ แก่นกะลาเยี่ยงแม่ศรีนวลจะมีคนมาขอ" ขุนศึกยอดหยอกล้อน้องสาวที่เปลี่ยนจากท่าทีเอียงอายมาเป็นค้อนวงใหญ่ใส่พี่ชาย
"แล้วแม่จำปาเล่า เห็นเทียวไปเทียวมาสำนักดาบมิหยุดหย่อน น้องรู้นะว่าเพราะเหตุใด"
"เหตุใดพูดจาไม่งามเยี่ยงนั้นเล่าแม่ศรีนวล" ผู้เป็นแม่ดุว่าลูกสาวตัวแสบอย่างไม่จริงจังอะไรนัก ในเมื่อทั้งดุทั้งส่งไปอบรมในรั้วในวังก็หาประโยชน์อันใดมิได้เลย
"มิต้องห่วงไปดอก วันนี้พ่อไปขอให้พี่ชายเจ้าแล้ว เห็นทีเสร็จศึกครานี้คงมีงานมงคลสองคู่" ท่านเจ้าคุณหัวเราะชอบใจอีกครั้งที่ลูกชายปากดีเงียบไปอีกที นึกแปลกใจในตนเองเหตุไฉนมีลูกสาวกับกล้าต่อปากต่อคำเยี่ยงชาย แต่กับลูกชายกลับเงียบดุจกุลสตรี ยิ่งนึกยิ่งขำในตัวเองยิ่งนัก
"พอเรื่องมงคลไว้แค่นี้ก่อนเถอะเจ้าค่ะ เดี๋ยวสำรับจะเย็นหมด น้องได้ให้บ่าวจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว" คุณหญิงปรามสามีที่เหมือนจะมีความสุขจนลืมเรื่องอื่นเสียสิ้น ก่อนเอ่ยปากชวนพ่อเทพอีกครั้ง "มาๆ พ่อเทพ ลงไปที่ศาลาด้านล่างเถิด"
"สมเด็จเจ้ามีชัยชำนะเหนือหงสาแล้ว"
กาลเวลาผันผ่าน ทั่วทั้งพระนครต่างได้รับข่าวอันน่ายินดียิ่ง เมื่อข่าวการปราชัยจากการทำยุทธหัตถีขององค์อุปราชแห่งหงสาแพร่สะพัด ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีที่ไม่มีมานาน ตั้งแต่เมื่อครั้งเสียกรุงเมื่อครานั้น ผู้คนชาวอโยธยาต่างก็อยู่ด้วยความคับแค้นใจ แต่มาครานี้ด้วยพระบารมีขององค์สมเด็จเจ้า และความกล้าหาญของพี่น้องชาวอโยธยาที่มีใจหวังจะกอบกู้ชาติคืนมา บัดนี้ชาว อโยธยาได้กินอิ่มนอนหลับกันเสียที
"แม่นมข่าวที่ชาวเมืองลือกันเป็นเรื่องจริงหรือจ๊ะ" เสียงหวานของสาวแรกแย้มเอื้อนออกมาจากเรียวปากบางอมชมพูได้รูป มือน้อยๆ ทั้งสองจับแขนแม่นมแน่นอย่างดีใจ
"จริงเจ้าค่ะ เห็นเขาว่าวันพรุ่งกองทัพแห่งอโยธยาก็จะกลับเข้าพระนครแล้ว" แม่นมตอบกลับด้วยน้ำเสียงยินดีไม่แพ้ผู้เป็นนาย
"ช่างน่ายินดีเหลือเกิน เพราะพระบารมีแห่งองค์สมเด็จเจ้าแท้ๆ" มือเรียวยาวได้รูป ผิวนวลเปล่งปลั่งอย่างลูกขุนนางยกขึ้นประนมระดับอกอย่างซาบซึ้งในพระบารมี
"เจ้าค่ะ ครานี้อโยธยาก็มิต้องเป็นข้าใคร"
"งั้นวันพรุ่งพี่เทพก็จะกลับมาแล้วสินะ"
"พูดเยี่ยงนั้นมิงามนะเจ้าค่ะ" แม่นมได้ฟังก็นิ่วหน้า ก่อนจะเอ็ดนายสาวที่ยังนั่งยิ้มหน้าบาน มิสนใจคำบ่นว่าของแม่นม
หวนนึกถึงวันก่อนที่ทัพอโยธยาจะออกไปกร่ำศึกกับหงสาวดี ชายผู้เป็นดั่งยอดดวงใจพร่ำให้คำมั่น หากเสร็จศึกคราใด จะมาขอเจ้าหล่อนให้อยู่คู่เคียงกาย คิดไปถึงวันนั้นใบหน้านวลก็ขึ้นสีระเรื่อเอียงอาย เฉกเช่นเมื่อครั้งวันวาน
"แม่หญิงเป็นอันใดไปฤๅ เหตุไฉนหน้าจึงขึ้นสีเยี่ยงนั้น" แม่นมที่สังเกตอากัปกิริยาที่เปลี่ยนไปของนายสาวก็อดแปลกใจไม่ได้
"มิมีอันใดดอก ข้าแค่ร้อนนิดหน่อย"
แม่หญิงน้อยยังคงนั่งเอียงอายต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมาอย่างมีความสุข แต่หารู้ไม่ อสูรร้ายที่จะกระชากใจดวงน้อยๆ ให้หลุดออกจากร่างได้รอคอยเธออยู่ในวันพรุ่งแล้ว
วันรุ่งขึ้นทั้งนายและบ่าวต่างออกมายืนชะเงื้อมองไปยังด้านนอก หวังว่าบุคคลอันเป็นที่รักทั้งสองจะเข้ามาให้หายหวั่นใจ
ไม่ช้าบุรุษที่เฝ้ารอมานานก็ปรากฏกายให้เห็น ทั้งสองต่างอยู่ในสภาพไม่สู้ดีนัก ซึ่งเป็นผลมาจากการกร่ำศึกหนัก แต่ไม่ว่าจะอยู่ในสภาพใดทั้งสองก็มีชีวิตรอดกลับมา แค่นั้นก็น่ายินดียิ่งนัก
ทั้งคุณหญิงและลูกสาวต่างวิ่งลงจากเรือนแล้วโผกอดบุรุษอันเป็นที่รักยิ่งทั้งสองไว้ โดยไม่แคร์สายตาบ่าวไพร่ที่จักว่ามิงาม แต่ใครจะไปสนเล่า ในเมื่อวันคืนแห่งการหวั่นผวาได้จบสิ้นลงเสียที
"ดีใจเหลือเกินเจ้าค่ะ" คุณหญิงพูดได้เท่านั้นก็กอดท่านเจ้าคุณไว้อีกครั้ง ท่านเจ้าคุณที่แม้จะเหนื่อยล้า แต่เมื่อได้เห็นหน้ายอดดวงใจทั้งสอง ความล้าใดๆ ก็มลายหายไปสิ้น มีเพียงความสุขใจที่ล้นปรี่ สองมือกอดภรรยารักและบุตรสาวไว้แน่นอย่างคิดถึง
"ยินดีต้อนรับเจ้าค่ะ ลูกสวดมนต์ภาวนาให้เจ้าคุณพ่อ พี่ยอด และพี่เทพทุกคืนเลยนะเจ้าค่ะ"
เมื่อสองบุรุษได้ฟังดังนั้นก็ทั้งดีใจและเศร้าใจในคราเดียวกัน แม่หญิงศรีนวลที่มองคนทั้งคู่อยู่ให้นึกหวั่นในใจ
"มีอันใดเกิดขึ้นรึเจ้าค่ะ"
"น้องรัก เจ้าฟังพี่ให้ดีนะ พ่อเทพเขามิได้กลับมาอีกแล้ว" ขุนศึกยอดกำมือน้องสาวอย่างปลอบประโลม
"พี่ยอดพูดเยี่ยงนี้หมายความว่ากระไร" น้ำเสียงของคนเป็นน้องสั่นพร่าอย่างเริ่มหวาดหวั่น
"พ่อเทพตายกลางสมรภูมิอย่างองอาจ สมเป็นนักรบผู้กล้าหาญในพระองค์ดำ"
"พี่ยอดว่าอันใดนะเจ้าคะ" เสียงใสสั่นพร่า เมื่อคำที่ออกจากปากพี่ชายแท้ๆ แทบจะเฉือนหัวใจเจ้าหล่อนให้แตกเป็นเสี่ยงๆ
"ข้ามิเชื่อดอก" พูดจบสองขาก็พาร่างระหงส์มุ่งไปกอบกู้ดวงใจที่กำลังจะแตกสลาย
ภาพที่ปรากฏต่อสายตา ดั่งพญามัจจุราชมากระชากเอาดวงวิญญาณให้หลุดจากร่างอย่างไม่มีวันหวนกลับมาอีก ร่างน้อยๆ สั่นอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่ สองขาทรุดอย่างไม่อาจจะต้านทานร่างที่สั่นเทาได้ไหว
"ไม่จริง...ข้าไม่เชื่อ...ไม่จริง..." สองมือเอื้อมไปยังใบหน้าที่ซีดเซียวของคนที่ไม่มีดวงวิญญาณอาศัยอยู่ในกายหยาบนั้นแล้ว
"ฮือๆๆ พี่เทพ พี่บอกจะมาขอข้าแต่งงานไงเล่า เหตุไฉนจึงได้ผิดคำพูดเยี่ยงนี้" ใบหน้างามซีดขาวซบลงกับอกของชายคนรักอย่างไม่นึกรังเกียจเดียดฉันท์
"หักห้ามใจเถิดแม่ศรีนวล พ่อเทพเขาไปสบายแล้ว" มารดาของขุนศึกเทพปลอบประโลมอย่างนึกสงสารหญิงสาวจับใจ
ไม่เพียงแต่เศร้าโศกาน้ำตานองดวงหน้า แม่หญิงที่เคยช่างพูดช่างหัวเราะสดใส กลับมีสภาพน่าเวทนาเสียยิ่งกว่าคนที่จากไป มือขาวพนมมั่นกลางอก ก่อนกล่าววาจาที่ทำให้ทั้งเรือนนิ่งสนิทและสุดแสนจะสะเทือนใจ
"ฮือๆๆ ชาตินี้ข้ากับพี่เทพบุญน้อยนัก มิอาจอยู่คู่เคียงกันได้ ข้าขอตั้งคำสัตย์สัญญา ให้องค์เทวาเป็นพยาน พญามัจจุราชให้ประจัก หากแม้นภพหน้ามีจริง ไม่ว่าจะเกิด ณ ที่ใด ข้าจะขอตามรักพี่เทพ... ทุกชาติไป ฮือๆๆ"
