บทที่ ๑ : รายงานพิเศษ (๑)
[๑] รายงานพิเศษ
ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย เมื่อได้ก้าวเท้าออกมานอกห้องเรียน มาอยู่ท่ามกลางความวุ่นวาย(แม้จะเป็นสังคมในมหาวิทยาลัยก็เถอะ) หากย้อนกลับไปเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้าในห้องเรียนวิชาประจำคณะกำลังบอกเล่าเรื่องราวความเป็นมาของผู้คนในสมัยโบราณ ความบริสุทธิ์ของจิตใจ ธรรมชาติ และวัฒนธรรมของผู้คน ทำให้ฉันไม่อยากจะเชื่อว่าฉันยังยืนอยู่บนโลกใบเดียวกับผู้คนที่อยู่ในตำราเรียนที่กลายเป็นประวัติศาสตร์เหล่านั้น
เมื่อสมัยที่ฉันยังเรียนอยู่มัธยมปลาย ณ จุดแยกของชีวิต ฉันเลือกที่จะเรียนคณะโบราณคดี เพื่อเดินตามรอยเท้าคุณพ่อที่ล่วงลับไปแล้ว ท่านเป็นนักโบราณคดีที่เก่งมาก แต่การค้นพบครั้งใหม่ของความลึกลับแห่งกาลเวลาเมื่อสองปีก่อน ได้พรากท่านไปจากฉันและแม่ตลอดกาล
"ไหมไปกินข้าวกันเถอะ ฉันสูญเสียพลังงานไปเยอะมากเลยนะเนี่ย"
ฉันเงยหน้าขึ้นจากบรรดากองกระดาษมากมายที่ได้รวบรวมเนื้อหาประกอบการเรียนในชั่วโมงที่พึ่งจบไป ทั้งเนื้อหาที่จดโน้ตไว้เพื่อความเข้าใจส่วนตัวและข้าวของที่ยังเก็บไม่เรียบร้อยดี เพื่อนสาวที่พึ่งตื่นจากนิทรารมย์อันแสนสุขที่บนโต๊ะแทบไม่มีอะไรต้องเก็บ หันมาสะกิดและเร่งฉันยิกๆ
"แน่ใจเหรอ ฉันเห็นแกนั่งหลับตั้งแต่อาจารย์พึ่งเริ่มบรรยายด้วยซ้ำ" ฉันพูดด้วยความขบขันในท่าทีของเพื่อนสนิท
ญาดาหรือที่ฉันมักเรียกว่าดาเป็นเพื่อนที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็ก เราสองคนเรียนที่เดียวกันมาตลอด แม้กระทั่งความฝันเราก็มีเหมือนกัน ตอนนี้เราทั้งคู่อยู่ปีสองแล้ว และก็ยังตัดสินใจเลือกศึกษาในคณะโบราณคดีเหมือนกันด้วย
"ฉันเสียแรงในการหาทางขึ้นไปเฝ้าพระอินทร์ต่างหาก คิวยาวมาก"
แล้วเจ้าหล่อนก็ยังจะอุตส่าห์ต่อ ราวกับว่าการนอนหลับพักผ่อนในห้องที่อาจารย์กำลังบรรยายอยู่มันน่าภูมิใจมากมาย แถมยังไม่วายเร่งฉันที่ทั้งหนังสือและสมุดจดเต็มโต๊ะ
"ไปเถอะแก ฉันหิ๊ว...หิว"
"จ้า...คุณหนูญาดา"
เวลาพักเที่ยงแบบนี้ นักศึกษาที่เสร็จจากการเรียนวิชาต่างๆ บ้างก็กลับที่พักเมื่อไม่มีเรียนวิชาต่อไป บ้างก็รวมตัวเพื่อทานข้าว โรงอาหารที่ทั้งฉันและญาดาเลือกมาต่างแน่นขนัดไปด้วยผู้คน แต่ในกลุ่มคนก็ยังมีคนสังเกตเห็นถึงการมาของเราแล้วโบกมือเป็นเชิงเรียก คนๆ นั้นก็คือพี่นนท์แฟนหนุ่มสุดเฟอร์เฟ็คของยัยดา
"ฉันว่าไม่ใช่แค่หิวแล้วล่ะมั้ง" ฉันเอาไหล่กระแทกไหล่ยัยดาเบาๆ อย่างหยอกล้อ แต่เจ้าหล่อนกลับไม่เสียเวลาแม้แต่จะเขิน มือซ้ายยกขึ้นโบกตอบหน้าบานไม่ต่างจากกระด้ง
แฟนมาแล้วไม่สนใจเพื่อนเลยนะ ความเป็นเพื่อนตั้งแต่ยังเดินไม่ได้เทียบไม่ได้กับแฟนหมอสุดเพอร์เฟ็คเลยจริงๆ
"สวัสดีค่ะพี่นนท์" ฉันเอ่ยทักชายหนุ่มว่าที่คุณหมอในอีกสามปีข้างหน้า ฉันล่ะอิจฉายัยเพื่อนรักจริงๆ ได้แฟนทั้งเก่ง เล่นกีฬาเท่ห์ อัธยาศัยดี บ้านรวย หน้าตาดี คนอะไรจะเฟอร์เฟ็คขนาดนั้น
"สวัสดีครับน้องไหม" พี่นนท์เอ่ยทักตอบ ก่อนหันไปหยอดคำหวานกับแฟนสาวโดยไม่สนใจใครอีก เหมือนโลกทั้งใบเป็นของทั้งคู่
"เรียนวันนี้เหนื่อยไหมครับ"
"แค่ได้เห็นหน้าพี่นนท์ ดาก็หายเหนื่อยแล้วล่ะค่ะ"
สองคนนี้พึ่งคบกันเมื่อเดือนที่แล้ว หลังจากทำความรู้จักกันมาหนึ่งปี กว่า ยัยดาอยู่คณะโบราณคดี พี่นนท์อยู่คณะแพทยศาสตร์ มันเป็นอะไรที่ทั้งสองคนไม่น่าจะมาพบกันได้ แต่ใครจะรู้ล่ะว่าพรหมลิขิตของเราอยู่ที่ไหน เมื่อถึงเวลาต่อให้ไกลแค่ไหน ต่างกันเพียงใดก็ต้องได้เจอ
คนโสดไร้คู่อย่างฉัน ไม่อยากจะมองความรักของชาวบ้านที่ทุกวินาทีมดจะยิ่งไต่ตามตัวของทั้งคู่มากขึ้น ไปหาข้าวทานดีกว่า เห็นร้านข้าวแล้วมันหิว
ขณะที่เราทั้งสามกำลังดื่มด่ำไปกับรสชาติอาหารแสนอร่อยที่ทานมาหนึ่งปีกว่า แต่ก็ยังไม่รู้เบื่อ แป้งเพื่อนร่วมสาขาวิ่งกระหืดกระหอบมายังที่ที่พวกเรานั่งอยู่ เปียสองหางตกลู่มาด้านหน้า ขณะที่มือซ้ายดันแว่นหนา ส่วนมือขวาค้ำยันร่างกายที่เหนื่อยหอบบนเข่าข้างเดียวกัน
"แฮ่กๆๆ มะ...ไหม อ..อาจารย์ แฮ่กๆ"
"ค่อยๆ พูดก็ได้ ฉันไม่ได้เดินหนีไปไหนเสียหน่อย" ฉันพูดขัดขึ้นก่อน พลางมองไปยังเจ้าหล่อนที่ยังเหนื่อยหอบไม่หาย ในใจอดกลัวว่าร่างสาวเจ้าจะลงไปกองกับพื้นไม่นาทีใดก็นาทีหนึ่งเสียก่อน
"อาจารย์เกริกเกียรติเรียกหาอยู่น่ะ" แป้งพูดหลังจากเริ่มหายใจคล่องขึ้น
"งั้นเหรอ แล้วตอนนี้อาจารย์อยู่ที่ไหนล่ะ"
"ห้องพักครู"
"อืม..เข้าใจแล้ว ขอบใจมากนะ"
"หมดธุระแล้ว ฉันขอตัวล่ะ ป่านนี้ร้านข้าวป้าจิ้มหมดแล้วหรือยังก็ไม่รู้"
พอเจ้าหล่อนพูดมางั้น ฉันก็เข้าใจทันทีว่าเหตุไฉนต้องรีบร้อนมาด้วย ที่แท้ก็กลัวว่าจะไม่ได้ทานข้าวร้านป้าจิ้มที่ความอร่อยเป็นตำนานแห่งนี้นี่เอง
ร้านป้าจิ้มนี้แหละที่ฉันทานมาตลอดหนึ่งปี(แอบทานร้านอื่นบ้าง แต่ไม่บ่อย) กับข้าวร้านป้าแกอร่อยยกนิ้วให้เลย ฉันว่าถ้าหมึกดำผ่านมาแถวนี้ก็ต้องขอเป็นศิษย์ป้าแกทีเดียว แล้วอีกอย่างนอกจากความอร่อยเป็นประเด็นหลักแล้ว อาหารแต่ละอย่างก็มีให้เลือกเยอะแยะ ทั้งเหนือ ใต้ กลาง แล้วก็อิสาน ฉันพึ่งมารู้ประวัติป้าแกเมื่อเร็วๆ นี้เอง ป้าแกเป็นคนอิสานไปแต่งงานกับคนเชียงใหม่ อยู่ที่นั้นสิบเก้าปีก่อนจะย้ายตามลูกชายที่สอบติดมหาวิทยาลัยอยู่ทางภาคใต้(เขาว่าลูกชายแกหล่อมาก ก็เลยตามไปคุม) สุดท้ายมาได้ลูกสะใภ้เป็นคนภาคกลาง แล้วก็เลยลงหลักที่ภาคนี้ เพราะล่องไปทั่วทำให้แกได้ฝึกการทำอาหารของแต่ละภาคไปด้วย
พอเรื่องร้านป้าจิ้มไว้แค่นี้ก่อนแล้วกัน ชักจะนอกเรื่องไปไกล ตอนนี้ฉันควรจะไปหาอาจารย์เกริกเกียรติได้แล้วล่ะ เดี๋ยวแกจะรอนาน
"ฉันไปก่อนนะ" หลังจากตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก ฉันก็บอกลาเพื่อนรัก แล้วลุกขึ้นจะเอาจานไปเก็บ
"แล้วหนังที่เราจะไปดูกันล่ะ" ยัยดาทวงถามถึงเรื่องที่เราคุยกันก่อนที่แป้งจะมาขัดจังหวะ
"ไว้วันหลังแล้วกัน แกไปกันสองคนกับพี่นนท์เถอะ"
"อะไรเนี่ย ทิ้งกันอย่างนี้เลยหรอ" ยัยดาพูดอย่าง(แกล้ง)งอนๆ
"ไม่ต้องมาทำงอนไปหรอกย่ะ ฉันรู้ว่าแกชอบที่ไม่มีก้างอย่างฉัน จริงไหมคะพี่นนท์" ฉันพูดหยอกล้อเพื่อนสาว ก่อนจะหันไปถามพี่นนท์ด้วยสีหน้ารู้ทัน
"ครับ" พี่นนท์ตอบไปหัวเราะไป
"แหม...ไม่ต้องตรงขนาดนั้นก็ได้ค่ะ งั้นไหมขอตัวนะคะ" ฉันขยับตัวลุกขึ้นเดินถือชามข้าวตัวเองไปไว้ยังบริเวณที่จัดไว้สำหรับวางจานชามและแก้วน้ำที่ทานแล้ว
เมื่อออกจากโรงอาหาร ฉันก็เดินมุ่งตรงไปยังอาคารพักของเหล่าบรรดาอาจารย์ในมหาวิทยาลัย นี่ก็พึ่งจะต้นเทอมแท้ๆ อาจารย์เกริกเกียรติมีเรื่องอะไรกันนะ
ก็อกๆๆ
"เชิญ" น้ำเสียงนิ่งเรียบแฝงความอาวุโสของคนในห้องดังตอบรับ
พอเปิดประตูเดินเข้ามาด้านใน ฉันก็เห็นอาจารย์นั่งวางฟอร์มเหมือนตัวละครในทีวีหลังข่าวที่ชอบนั่งหันหลังให้จอก่อนจะค่อยๆ หันหน้าออกมาให้คนดูได้รู้ว่าใครแสดง แต่จะว่าไปแค่มองข้างหลังก็รู้แล้วนะว่าใครแสดง ในเมื่อดาราคนเดิมแสดงหนังแสดงละครมาไม่รู้กี่เรื่องต่อกี่เรื่องจนคนดูแค่เห็นเงาก็รู้แล้วมั้งว่าเป็นใคร
"อาจารย์ให้แป้งไปตามไหมมา มีอะไรหรือเปล่าค่ะ"
อาจารย์เกริกเกียรติหันเก้าอี้มาช้าๆ เหมือนตัวละครในทีวีเป๊ะ ก่อนจะบอกให้ฉันนั่งลง แล้วจึงตอบคำถาม
"ก็ไม่มีอะไรเป็นพิเศษหรอก ผมแค่มีรายงานพิเศษอยากให้คุณทำ"
ฉันใช้ดวงตาโตๆ ของตัวเองมองอาจารย์ที่เคารพรักอย่างยิ่ง ซึ่งบัดนี้กำลังมองตอบฉันมาด้วยรอยยิ้มกริ่ม นี่เหรอคะที่อาจารย์บอกว่าไม่มีอะไรเป็นพิเศษ แต่แค่มีรายงานพิเศษจะให้ทำ! ไม่มีอะไรพิเศษเล๊ย!!!
"ผมคิดว่าคุณก็คงอยากทำ หลังจากผมได้ดูผลการเรียนที่ผ่านมาเมื่อปีที่แล้ว มันก็เลยทำให้ผมมั่นใจว่าคุณต้องทำได้" อาจารย์เกริกเกียรติวางสมุดใบลานที่ถืออยู่ในมือลงบนโต๊ะ ซึ่งตอนแรกฉันยังไม่ทันสังเกต แล้วเลื่อนมาให้ฉันได้ดูใกล้ๆ
เมื่อถูกเลื่อนมาตรงหน้า จากสภาพที่เห็นบ่งบอกว่าเจ้าสมุดใบลานเล่มนี้น่าจะมีอายุอยู่ประมาณสามถึงสี่ร้อยปีโดยประมาณ น่าจะเป็นช่วงอยุธยาตอนต้น ถ้าจะให้แน่ใจคงต้องตรวจสอบก่อน
การที่คุณพ่อของฉันเป็นนักโบราณคดีทำให้ฉันสนใจมันก่อนที่จะฝึกเรียกว่าพ่อแม่อีก(พ่อเคยเล่าให้ฟัง ฉันเคยทำท่าอ่านบันทึกโบราณเหมือนอ่านมันออกด้วย) แล้วฉันก็รักงานที่คุณพ่อทำมาก ฉันมักจะไปช่วยงานท่านอยู่เสมอตั้งแต่เด็กๆ คลุกคลีจับนู่นช่วยนี่อยู่บ่อยจนเริ่มสังเกตและจดจำเวลาพ่ออธิบายมา
"สมุดโบราณนี้เป็นหนึ่งในโบราณวัตถุที่ด็อกเตอร์ธวัชชัยและคณะค้นพบสองปีก่อนจะประสบอุบัติเหตุระหว่างการขุดค้น แล้วมันก็เป็นหนึ่งในหลายๆ อย่างที่คณะขุดค้นที่รอดชีวิตนำกลับมา" อาจารย์เกริกเกียรติพูดต่อเมื่อเห็นฉันนั่งจ้องมันด้วยความสงสัย แต่เมื่อรู้ว่ามันคือหนึ่งในสิ่งของที่ได้พรากชีวิตคุณพ่อของฉันไป ฉันกลับไม่รู้สึกรังเกียจมัน แต่ยิ่งอยากจะทำรายงานนี้ เพราะถึงยังไงเจ้าสิ่งนี้คืออีกหน้าของประวัติศาสตร์ที่คุณพ่อยอมลำบากเพื่อให้ได้มันมา เพื่อคนรุ่นหลังได้ศึกษาแม้ต้องแลกด้วยค่าตอบแทนที่สูงค่าก็ตาม
"อาจารย์ต้องการให้ไหมทำอะไรหรอคะ"
"ผมอยากให้คุณแปลภาษาโบราณนี้ออกมา แล้วตรวจสอบอายุของมัน เขียนเป็นรายงานมาส่ง ผมไม่กำหนดเวลา แต่เร็วๆ หน่อยก็ดี ผมจะได้ส่งมันไปที่พิพิธภัณฑ์เพื่อจัดแสดงและเก็บรักษา"
ฉันมองหน้าอาจารย์ที่ยังยิ้มเหมือนมันเป็นเรื่องหมูๆ หลับตาทำก็เสร็จ นี้ขนาดบอกว่าไม่กำหนดเวลานะเนี่ย ถ้ากำหนดเวลาฉันไม่ต้องส่งเดี๋ยวนี้เลยหรือไง
"ค่ะ" ฉันเก็บสมุดใบลานลงกระเป๋าอย่างระมัดระวัง เนื่องด้วยสภาพที่เก่าของมัน
เมื่อออกมาจากห้องพักอาจารย์เกริกเกียรติและนั่งอยู่ในรถคันหรู เปิดแอร์ขับไล่ความร้อนที่ตามติดฉันมาจากอากาศนอกรถ ฉันเหลือบมองไปทางกระเป๋ากระพายข้างที่ใส่สมุดใบลานโบราณนั้นก่อนจะหยิบออกมา
สมุดใบลานฉบับนี้เก่ามากแต่กลับอยู่ในสภาพที่ดีจนไม่น่าเชื่อ ร่องรอยของการผุพังแทบไม่มีให้เห็นเลยสักนิด จนฉันเริ่มไม่แน่ใจอายุที่แท้จริงของมัน และจากการเฝ้าติดตามพ่อไปดูงานโบราณพวกนี้บ่อยๆ มันทำให้ฉันสามารถกะช่วงอายุได้ค่อนข้างใกล้เคียง แต่ของโบราณในมือฉันด้วยสีและเอกลักษณ์ของตัวอักษรที่จางบ้างชัดบ้างมันไม่น่าจะผิดจากที่คาดไว้ตอนแรก แต่จะเป็นไปได้หรือของที่เก่าขนาดนั้นแต่กลับมีการบุบสลายน้อยมาก
ฉันก้มอ่านตัวอักษรโบราณที่สลักอยู่บนใบลานใบแรก และไม่ใช่เพราะฉันเก่งจนจำตัวอักษรโบราณได้ทุกตัว แต่ไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงคิดว่าใบลานใบแรกที่สลักกลุ่มคำประโยคเดียวน่าจะต้องเป็นประโยคแบบนี้แน่นอน
'ตำนานแม่หญิงศรีนวล'
ตำนานแม่หญิงศรีนวล... ทำไมฉันไม่เคยคุ้นตากับชื่อนี้ในประวัติศาสตร์มาก่อน และเธอเป็นคนสำคัญขนาดไหนถึงได้มีการบันทึกชื่อของเธอไว้เป็นตำนาน
ฉันเก็บสมุดใบลานกลับไว้ที่เดิมต่อให้มานั่งสงสัย หรืออยากอ่านอยากรู้เรื่องราวของเธอมากแค่ไหนฉันก็คงไม่มีทางทำได้แน่นอน ในเมื่อเครื่องไม้เครื่องมืออะไรก็ไม่มีเลยสักอย่าง กลับถึงบ้านแล้วค่อยว่ากันแล้วกัน บางทีเรื่องของเธออาจจะเป็นแค่ตำนานพื้นบ้านธรรมดาทั่วไปก็ได้
