บท
ตั้งค่า

ตอนที่สอง ความมั่นใจที่หมดลง

หทัยวดีตะลึงงันกับสิ่งที่หล่อนได้ยินจากปากของบิดามารดา หล่อนเพิ่งกลับมาจากทริปตะลุยยุโรปหนึ่งเดือนกับเกตุแก้วยังไม่ทันชินกับอากาศที่กรุงเทพๆ เลย แถมหล่อนยังแจกจ่ายของฝากให้บ่าวไพร่ในบ้านยังไม่เสร็จดีบิดามารดาหล่อนก็เรียกเข้าไปคุยเสียงเครียด...

“ทริปยุโรปเป็นทริปสุดท้ายที่พ่อแม่ให้ลูกได้ ต่อไปลูกอาจไม่ได้สบายเหมือนเดิมแล้ว บริษัทของเราประสบวิกฤติหนักโดนโกงจนแทบล้ม แต่ว่ารวบรวมความช่วยเหลือจากคนที่รู้จักสนิทสนมกันให้พอกู้หน้าได้ไปก่อนพอพยุงบริษัทไว้ได้”

“ก็แปลว่าไม่ได้มีปัญหาอะไรไม่ใช่หรือคะ” หญิงสาวคิดตามที่บิดาพูดแล้วก็สงสัย

“นั่นมันเป็นปัญหาที่พ่อแก้ไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่าปัญหาใหญ่ที่เกิดเพิ่งเกิดนี่พอยังรับมือไม่ทัน... หลังจากที่โดนโกงแล้วเรื่องมาผุดทีหลังว่าสินค้าที่เราจะส่งให้กับลูกค้าที่ต่างประเทศหายไปเยอะมากแถมสินค้าพวกนั้นยังเป็นอัญมณี สินค้าหายที่เราเสียชื่อยังไม่พอตอนนี่คู่ค้าฟ้องเรียกค่าเสียหายไปร้อยกว่าล้าน เราเพิ่งพยุงบริษัทไปและมีหนี้นอกระบบอีกหลายเจ้า เราเลยไม่มีจ่ายแล้วก็กำลังจะถูกฟ้องล้มละลาย เราเลยไม่มีสภาพคล่องด้านการเงินเหมือนเก่า เงินที่พ่อแม่มีทั้งหมดก็เอาเข้าพยุงบริษัท เหลือเป็นเงินสดหมุนเวียนไม่ถึงล้านแล้ว... เงินที่พ่อจะเตรียมไว้ให้ลูกตั้งบริษัทสถาปนิกสิบกว่าล้านพ่อก็คงไม่สามารถให้ลูกได้อีกแล้ว... พ่อกับแม่ขอโทษด้วยนะเพลิน”

“อะไรนะคะพ่อ ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะคะ...” หญิงสาวเบิกตากว้าง ไม่เคยคิดว่าจะได้ยินคำนี้จากปากคุณอุทัยผู้เป็นบิดา เห็นคุณวดีผู้เป็นมารดานั่งร้องไห้อยู่ข้างๆ บิดาก็รู้ว่านั่นไม่น่าจะใช่การล้อเล่น... หล่อนตกใจเป็นอย่างมากเพราะไม่มีวี่แววมาก่อนว่าครอบครัวของหล่อนจะประสบปัญหา ธุรกิจการส่งออกที่บิดาจับอยู่นั้นมีมูลค่ามากมายและเติบโตดีมาตลอด หล่อนเองเพิ่งเรียนจบปริญญาโทมาจากต่างประเทศและยังไม่ได้เข้าใจเกี่ยวกับงานของบิดานักแต่คิดว่ามันไม่น่าจะก้าวมาถึงจุดนี้

“เป็นพ่อที่ไว้ใจหุ้นส่วนมากเกินไป...หนูไม่ได้เรียนเกี่ยวกับเรื่องธุรกิจมาคงยากที่จะเข้าใจ พ่ออธิบายได้แค่ว่าตอนนี้พ่อหมดตัวแล้วและไม่หมดเปล่าอาจจะโดนฟ้องล้มละลายถ้าเคลียร์หนี้ก้อนสุดท้ายนี้ไม่ได้”

“มันแย่ขนาดนั้นเลยหรือคะ”

บิดาหล่อนพูดถูก หล่อนเรียนเกี่ยวกับด้านสถาปัตยกรรมซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานของครอบครัวเพราะไม่ได้คิดว่าจะเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัวและที่บ้านก็ตามใจหล่อนให้หล่อนทำในสิ่งที่ชอบมาตลอด ไม่นึกว่าเมื่อเกิดปัญหาแล้วหล่อนจะไม่รู้เรื่องและไม่สามารถช่วยได้เลย หนำซ้ำยังไม่เข้าใจมันดีพออีกต่างหาก...

“มันก็ไม่ได้เข้าขั้นแย่ที่สุด” บิดาหล่อนกุมหน้าผาก ถอนหายใจยาว ท่านคงหนักใจมาก จากที่จะโวยวายหทัยวดีกลับตั้งใจฟัง “มีคนที่อาจจะพอช่วยได้อยู่ เขาเป็นคู่ค้าคนที่จะฟ้องเราและเป็นเจ้าของเงินก้อนที่หุ้นส่วนของพ่อยักยอกไป พ่อพยายามเข้าไปคุยกับเขาหลายครั้งแล้วแต่เขาไม่ยอมให้พ่อคุยด้วย เขาคนเดียวที่จะช่วยเราได้ ถ้าเขาไม่ฟ้องเรา เราอาจยังพอมีเวลามาฟื้นฟูบริษัทและก็จัดการด้านการเงิน แต่มันต้องใช้เวลาซึ่งก็ไม่รู้ว่าเขาจะตกลงหรือเปล่า”

“แล้วเขาเป็นใครล่ะคะ พ่อคุยกับเขาไม่ได้แล้วทำไมต้องคิดว่าเขาจะช่วยเรา”

“เขาที่ว่านั้นคือคุณ ตรัย อรรถพลวณิช เขาเสนอกับพ่อมาว่าเขาจะคุยกับหนูคนเดียวเท่านั้น พ่อเลยอยากคุยกับหนูก่อนว่าหนูจะเลือกอะไรระหว่าง ช่วยครอบครัวเราด้วยการไปคุยกับเขาหรือว่าจะยอมล้มละลายแล้วก็ไปใช้ชีวิตสงบๆ อยู่กันสามคนพ่อแม่ลูกในที่ใดที่หนึ่ง ลูกคือคนเดียวที่พ่อเหลืออยู่ในตอนนี้พ่อเคารพการตัดสินใจของลูกทุกอย่างและไม่บังคับ อะไรที่หนูเลือกพ่อจะทำตามนั้น”

แม้ชื่อของคนที่พอจะช่วยเหลือบิดาของหล่อนได้จะทำให้หล่อนล้มทั้งยืนเมื่อรู้ว่าจะเป็นเขา... แต่หทัยวดีก็เหลือเรี่ยวแรงพอที่จะพูดกับบิดา...

“เพลินจะไปพูดกับเขาเองค่ะพ่อ... ถึงจะเคยมีเรื่องกันมาก่อนแต่เขาอาจจะช่วยเราก็ได้”

“เพลินคิดดูดีๆ นะลูก เราอาจจะเจ็บใจเปล่าถ้าเข้าไปคุยกับเขา พ่อคิดว่าอยากจะปิดบริษัทไปเลยและยอมโดนฟ้องเหมือนกันเพราะบริษัทก็จะล้มเพราะมีปัญหาภายใน ถึงตรัยไม่ฟ้องก็ไม่รู้ว่าพ่อจะมีเรี่ยวมีแรงแก้ปัญหาต่อไปได้หรือเปล่า...”

“พ่อต้องทำได้อยู่แล้วค่ะ ปัญหาแรกที่พ่อต้องแก้คือไม่ให้นายตรัยฟ้องแล้วค่อยแก้ไปทีละเปลาะนะคะ พ่อก่อตั้งบริษัทมาและมันก็เป็นชีวิตของพ่อ เพลินจะไม่ยอมปล่อยให้มันล่มลงไปหรอกค่ะ พ่อไม่ต้องห่วงนะคะ เพลินจะไปคุยกับเขาเอง เราแก้ปัญหาตรงนี้ให้ได้ก่อน ปัญหาอย่างอื่นเราค่อยมาว่ากันนะคะพ่อ พ่ออย่าเครียดนะคะ ถึงเพลินไม่ได้เก่งอะไรมาก แต่เพลินจะช่วยอยู่ข้างๆ พ่อกับแม่ไม่ไปไหนแน่ๆ ค่ะ เพลินจะไม่ยอมให้พ่อกับแม่ต้องเสียใจไปมากกว่านี้แล้วนะคะ”

หทัยวดีรับปากเสียงสั่น ไม่มั่นใจว่าเขาเองจะยอมให้หล่อนเข้าพบหรือเปล่า แต่หล่อนยอมให้ครอบครัวของหล่อนต้องประสบปัญหาที่เลวร้ายแบบนั้นไม่ได้ คุณอุทัยคุณวดีเป็นผู้ดีเก่ามีหน้ามีตาในสังคม และไม่ได้ทำร้ายใครมาตลอดอาจจะเป็นเพราะความใจดีของท่านทั้งคู่เลยทำให้ไม่รู้ทันหุ้นส่วน

แม้ได้ฟังปัญหาเกี่ยวกับระบบการบริหารของบริษัทที่เปิดช่องโหว่ให้หุ้นส่วนโกงแล้วหนีไปรวมทั้งกิจการของบริษัทย่ำแย่แต่หทัยวดีก็เข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างเพราะไม่เคยเรียนรู้เรื่องการบริหารธุรกิจใหญ่โตแบบนั้นมาก่อน พ่อแม่หล่อนไม่เหลือใครนอกจากหล่อนหญิงสาวจึงต้องยอมรับสภาพนั้นแม้ว่ายังช็อก อยู่กับเรื่องที่เกิดขึ้นแต่ว่าหล่อนก็พยายามเข้มแข็งเพื่อพวกท่านเพราะว่าหล่อนจะไม่ยอมให้ท่านเสียใจด้วยเรื่องใดอีกต่อไปแล้ว...

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel