บทที่ 13 แอบใช้กำลังส่วนตัว
อานอ๋องวิ่งไปถึงตำหนักหลงซินก็เปิดปากพูดขึ้นว่า “เฟิ่งหมิงชี เจ้าวางยาพิษใส่เยว่เอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าต้องไปขอโทษนางที่จวนเสิ่น แล้วข้าจะไม่ถือโทษโกรธเจ้าเรื่องนี้อีก”
เฟิ่งหมิงชีเพิ่งกลับมาจากห้องยา กำลังรู้สึกเหนื่อยล้ามาก
อานอ๋องมาถึงก็พูดจาหยิ่งยโส เสียงดังเอะอะโวยวายใส่นาง
เฟิ่งหมิงชีสีหน้าเคร่งขรึมลงแล้วเหล่ตามาเขาทีหนึ่ง “ขอโทษเรื่องอันใดกัน?”
“เมื่อวานที่เจ้าวางยาใส่เยว่เอ๋อร์ เยว่เอ๋อร์เป็นคนจิตใจดีจึงไม่เอาเรื่องกับเจ้า แต่ข้าไม่ได้เป็นคนพูดง่ายขนาดนั้น วันนี้เจ้าต้องไปขอโทษนางให้ได้ มิฉะนั้นอย่ามาโทษข้าว่าไม่เกรงใจเจ้านะ!” อานอ๋องสวมใส่ชุดคลุมสีเขียวอ่อนทั้งตัว บนศีรษะประดับด้วยรัดเกล้าสีเงินลายดอกบัว เสริมให้บุคลิกที่หยิ่งยโสของเขาดูข่มผู้คนมากยิ่งขึ้น
เฟิ่งหมิงชีมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าไปทีหนึ่ง ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเย็นขึ้นมา และไม่อยากเสวนากับคนโง่แบบเขาอีก
อานอ๋องโกรธจนถลึงตาโตขึ้นมา “เจ้าหัวเราะอันใด?”
เขาไม่ได้โง่ แน่นอนว่าดูออกอยู่แล้วว่าเฟิ่งหมิงชีกำลังเยาะเย้ยเขาอยู่
“อานอ๋องข้าว่าท่านน่าจะไปตรวจสายตาดูสักหน่อยนะ หรือไปก็กลับไปทานวอลนัทเยอะ ๆ บำรุงสมองสักหน่อยก็ดี” เฟิ่งหมิงชีเอี้ยวตัวเดินผ่านเขาไป และแอบส่ายหน้าเล็กน้อย
“เฟิ่งหมิงชีเจ้ากล้าด่าข้าว่าไม่มีสมองหรือ!” อานอ๋องโกรธมากกระโดดขึ้นมาก็จะลงมือเลย
ร่างกายเฟิ่งหมิงชีรีบถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว ขณะที่ดีดนิ้วก็มีเข็มเงินเล่มหนึ่งบินไปปักอยู่บนตัวอานอ๋อง เขาขยับเขยื้อนไม่ได้ทันที
“เฟิ่งหมิงชีเจ้าทำอันใดกับข้า?” อานอ๋องเบิกตากว้าง โมโหขึ้นมาเหมือนหมีกริซลีอารมณ์ร้ายตัวหนึ่ง
ดวงตาทั้งคู่ของเฟิ่งหมิงชีเย็นชาลง แล้วยิ้มเย็นออกมาคำหนึ่ง “อยากให้ข้าไปขอโทษเสิ่นชิวเยว่งั้นหรือ?”
“เจ้า……เจ้า……เจ้าจะทำอันใด!”
อานอ๋องถูกท่าทางที่แสยะยิ้มแบบนั้นของนางทำให้ตกใจจนสะดุ้ง แล้วรู้เหมือนจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแล้ว จากนั้นก็เห็นอยู่ ๆ ในมือนางหยิบหนูที่ร้องจี๊ด ๆ ออกมา พอเขาเห็นแล้วก็กลืนน้ำลายอัตโนมัติ และอดไม่ได้ที่จะกรีกร้องออกมา “ว้าย……อย่าเข้ามานะ……”
เฟิ่งหมิงชียิ้มแฉ่งแล้วถือหนูตัวเล็กแกว่งไปมาต่อหน้าเขา “ดูท่าอานอ๋องจะเป็นคนขี้กลัวมากเลยนะ ข้ารู้สึกสงสัยแล้วซิว่าท่านไปเอาความกล้าจากไหนมาหาเรื่องข้าได้?”
อานอ๋องตกใจจนสีหน้าขาวซีด สายตาจ้องมองไปที่หนูตัวนั้นที่ร้องจี๊ด ๆ อยู่อย่างหวาดกลัว ผ่านไปครู่หนึ่งหนูก็ตัวแข็งทื่อตายไปต่อหน้าต่อตาเขาเลย ทำให้เขารู้สึกขนลุกไปทั้งตัวเลย
“เฟิ่ง……เฟิ่งหมิงชี……เจ้า……”
เฟิ่งหมิงชีจับหางหนูไว้แล้วมองดูทีหนึ่ง น้ำเสียงดูตื่นตกใจ “นี่แค่ครู่เดียวเอง ก็ตายแล้วหรือ ดูท่าพิษแมงป่องนี่จะรุนแรงมากเลยนะ”
พูดแล้วก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มแฉ่งให้อานอ๋อง แล้วเอาหนูที่ตายแล้วตัวนั้นวางลงบนฝ่ามือเขา “ข้ายังต้องไปต้มยาให้เสด็จปู่อีก รบกวนอานอ๋องช่วยเอาไปฝังให้หน่อยนะ!”
อานอ๋องร่างกายแข็งทื่อไปไม่กล้าขยับเขยื้อน ลูกตาเลื่อนมองต่ำลงทีหนึ่ง แล้วตาทั้งคู่ก็กรอกขึ้นไป และล้มหยางหลังไปเลย
เฟิ่งหมิงชีฮัมเพลงเบา ๆ ไปเดินเข้าห้องไปกะว่าจะไปนอนหลับให้สบายสักตื่น
……
“สามหาว นางสามหาวเทานไปแล้วจริง ๆ!”
อานอ๋องถูกคนหามไปที่ตำหนักของซูเฟย พอซูเฟยเห็นลูกชายถูกเฟิ่งหมิงชีกลั่นแกล้งจนหมดสติไปก็โมโหจนตบโต๊ะและก่นด่าเสียงดังขึ้นมาทันที “ทหาร ไปจับตัวเลี่ยหวางเฟยมาให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
“เหนียงเหนียง เลี่ยหวางเฟยอยู่ที่ตำหนักหลงซิน มีไท่ว่างหวงคอยหนุนหลังอยู่ ไปจับตัวคนมาแบบนี้คงจะไม่ดีเท่าไหร่” มามาคนสนิทที่อยู่ด้านข้างขัดขวางไว้ทันที
ซูเฟยเองก็โกรธจนเสียสติไปแล้ว พอสงบสติลงแล้วมาลองคิดดูก็รู้สึกว่ามีเหตุผล นางพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชาและเคร่งขรึมว่า “เจ้าส่งคนไปที่ตำหนักหลงซินแล้วบอกว่าข้าไม่สบาย จึงขอเชิญเลี่ยหวางเฟยมาดูสักหน่อย”
มามาแววตาสั่นไหวครู่หนึ่ง “บ่าวเข้าใจแล้ว เหนียงเหนียงใจเย็น ๆ ก่อน เดี๋ยวบ่าวจะรีบไปเชิญเลี่ยหวางเฟยมาเดี๋ยวนี้เลย”
“เฟิ่งหมิงชีเจ้าคนชั้นต่ำคนนั้น จวนเฟิ่งอ๋องไม่อยู่แล้ว ยังใจกล้ามากลั่นแกล้งลูกชายข้าอีก ข้าไม่มีทางปล่อยนางไปแน่” ซูเฟยนั่งลงไป แล้วลูบใบหน้าอานอ๋องเล็กน้อย รู้สึกสงสารจับใจ เงยหน้าขึ้นมาดวงตามีประกายความโหดเหี้ยมพาดผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง
เฟิ่งหมิงชีกำลังนอนกอดหมอนหลับสบายอยู่ ในขณะนั้นเองก็ถูกสาวใช้เขย่าตัวจนตื่น “จวิ้นจู่รีบตื่นเร็ว ซูเฟยเหนียงเหนียงมาเชิญให้ไปเข้าเฝ้าแล้ว”
เฟิ่งหมิงชีตื่นขึ้นมาแล้วขยี้ตาเล็กน้อย “ซูเฟยหรือ? ซูเฟยเชิญข้าไปด้วยเรื่องอันใดกัน?”
ซวงสี่รีบร้อนพูดขึ้นว่า “ซูเฟยเหนียงเหนียงเป็นมารดาของอานอ๋อง แล้วจวิ้นจู่ใช้หนูตายไปทำให้อานอ๋องตกใจจนหมดสติไป ซูเฟยเชิญท่านไปคงต้องการถามหาความรับผิดชอบแน่”
คิ้วเรียวของเฟิ่งหมิงชียักขึ้นเล็กน้อย แล้วหาวขึ้นมาทีหนึ่ง “เจ้าไปบอกว่าข้าต้องอยู่ดูแลให้ไท่ว่างหวงทานยา ไม่ว่าง”
“บ่าวพูดไปแล้วเจ้าค่ะ แต่คนที่มาคือจินมามาคนสนิทที่อยู่ข้างกายซูเฟยเหนียงเหนียง นางบอกว่าซูเฟยเหนียงเหนียงไม่สบาย แถมยังตั้งใจไปพบไท่ว่างหวงมา และไปขออนุญาตไท่ว่างหวงให้ท่านไปที่ตำหนักหมิงเยว่”
“หึ อานอ๋องดูโง่และหลอกได้ง่าย แต่ซูเฟยคนนี้กลับเจ้าเล่ห์และชั่วร้าย” เฟิ่งหมิงชีหึเสียงเบาขึ้นมาคำหนึ่ง
ซวงสี่พยักหน้าขึ้นอย่างเป็นกังวล “ซูเฟยค่อนข้างได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ อาศัยความที่ฮ่องเต้โปรดปรานมากจึงโอหังและเจ้ากี้เจ้าการมาก ได้ยินมาว่ายังสามารถข่มฮองเฮาได้ด้วย จวิ้นจู่ต้องระวังตัวให้ดี ๆ นะ”
เฟิ่งหมิงชีลูบคางเล็กน้อย แล้วครุ่นคิดครู่หนึ่ง “เดี๋ยวข้าจะไปซูเฟยคนนั้นที่ตำหนักหมิงเยว่ตัวคนเดียว เจ้าอยู่ที่ตำหนักหลงซินไป ถ้าข้าไม่กลับมาสักที เจ้าก็บอกกับกุ้ยกงกง ให้เขามารับข้านะ”
“บอกกับกุ้ยกงกงก็พอ เรื่องนี้ไม่ต้องให้รู้ไปถึงหูไท่ว่างหวงหรอก”
ซวงสี่พยักหน้าเล็กน้อย “จวิ้นจู่ระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ”
เฟิ่งหมิงชีเดินออกไป สายตาของจินมามาเคร่งขรึมลงเล็กน้อย จากนั้นก็ทำความเคารพอย่างนอบน้อม “ต้องรบกวนเลี่ยหวางเฟยไปกับบ่าวสักเที่ยวแล้ว”
“อืม”
“ซูเฟยเหนียงเหนียงมีอาการอย่างไรบ้าง?” เฟิ่งหมิงชีสงบนิ่ง เหล่ตามองนางทีหนึ่งแล้วถามขึ้นอย่างเรียบเฉย
จินมามาหรี่ตาลงต่ำ “บ่าวเองก็ไม่ทราบ หวางเฟยไปดูก็จะทราบเอง ได้ยินมาว่าหวางเฟยมีวิชาการแพทย์สูงส่ง คงต้องรบกวนหวางเฟยช่วยตรวจดูให้เหนียงเหนียงอย่างละเอียดแล้ว”
มุมปากของเฟิ่งหมิงชีคลี่ยิ้มขึ้นเล็กน้อย หัวเราะเบา ๆ ออกมาคำหนึ่งแล้วไม่พูดอันใดก็ออกก้าวเดินไปเลย
……
ที่ตำหนักหมิงเยว่ อานอ๋องยังไม่ฟื้น
ซูเฟยนั่งอยู่บนเก้าอี้นอน จ้องมองเฟิ่งหมิงชีที่อยู่ตรงหน้า แล้วก็ตำหนิออกมาด้วยความโกรธ “คุกเข่าลง!”
เฟิ่งหมิงชียืนตัวตรงอยู่ตรงหน้าศาลา มือทั้งคู่กอดอกไว้ “ซูเฟยเหนียงเหนียง ท่านไม่สบายไม่ใช่หรือ? ไหนว่าตามข้ามารักษาอาการ ทำไมพอมาถึงก็ให้ข้าคุกเข่าเลยล่ะ นี่คือวิธีที่ซูเฟยเหนียงเหนียงใช้รับแขกหรือ?”
“เฟิ่งหมิงชีอย่ามาทำไขสือกับข้าซะให้ยาก เจ้าทำให้ลูกชายข้าตกใจ ข้าจะไม่มีทางปล่อยเจ้าไปแน่ ทหาร มาจับตัวนางไว้!”
สิ้นเสียง ก็มีทหารเข้ามาสองคน
สายตาของเฟิ่งหมิงชีค่อย ๆ เคร่งขรึมลง นี่ไม่ไถ่ถามเหตุผลกับนางก็มาด่าทอตบตีตามใจชอบเลย มันรังแกคนมากเทานไปแล้ว?
“ถ้าอานอ๋องมีความคับข้องใจก็ไปฟ้องเสด็จพ่อ ใครผิดใครถูก เสด็จพ่อจะเป็นคนตัดสินเอง”
“ซูเฟยเหนียงเหนียงหลอกลวงข้ามาแล้วใช้กำลังส่วนตัว ไม่เกรงกลัวพวกเสด็จปู่รู้เรื่องเข้า พอถึงตอนนั้นจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมาหรือ?”
สายตาของซูเฟยโหดเหี้ยมขึ้นมา “หึ เจ้าใจกล้าไม่เกรงกลัวใครกล้าเอาหนูตายมาหลอกอานอ๋องจนหมดสติไป เป็นโทษที่ไม่มีทางให้อภัยได้ วันนี้ข้าจะลงโทษโบยเจ้าห้าสิบไม้ ถึงไท่ว่างหวงกับฮ่องเต้จะรู้เรื่องเข้า ก็ไม่มีทางว่าอันใดข้าแน่”
“ซูเฟยเหนียงเหนียงช่างมีความมั่นใจจริง ๆ นะ! หรือไม่ก็ไปตำหนักหลงซินกับข้าตอนนี้ ไปให้เสด็จปู่ตัดสินดูสักหน่อย?” เฟิ่งหมิงชีจ้องมองไปที่ผู้หญิงอย่างเย็นชา รู้สึกว่านางแค่กำลังเขียนเสือให้วัวกลัว เสแสร้งแกล้งทำไปเท่านั้น ถ้าไม่กลัวพวกไท่ว่างหวงจริง ๆ นางก็คงจะไม่หาเหตุผลตามนางมาหรอก
ซูเฟยกล้าทำถึงขนาดนี้ กล้าใช้อำนาจส่วนตัวมาสั่งโบยเลี่ยหวางเฟยอย่างนาง ก็เพราะคิดว่าเป็นคนโปรดของฮ่องเต้นั่นแหละ
แต่ตอนนี้เฟิ่งหมิงชีมีไท่ว่างหวงหนุนหลังอยู่
แน่นอนว่าซูเฟยก็ต้องเกรงกลัวไท่ว่างหวง จึงไม่มีทางไปตำหนักหลงซินกับนางแบบโง่อย่างนี้หรอก ดวงตาทั้งคู่ของนางหรี่ลงเล็กน้อย ลูบคลำสีทาเล็บสีสันสดใสที่ทางอยู่บนนิ้วเล็กน้อย ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่ามีผลงานที่ช่วยชีวิตไท่ว่างหวงเอาไว้ได้ ก็มีความกล้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินแล้วหรือ?”
“ข้าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอย่างไร? อานอ๋องเป็นชายชาตรีทั้งคนแต่กลับมากลัวหนู แล้วถูกหนูทำให้ตกใจจนหมดสติไปมันเกี่ยวอันใดกับข้าด้วย?”
“ถ้าจะพูดว่าไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน คนนั้นน่าจะเป็นซูเฟยเหนียงเหนียงมากกว่า”
ซูเฟยคิดไม่ถึงเลยว่าเฟิ่งหมิงชีจะปากคอเราะรายเช่นนี้ แต่ก็ไม่ได้โกรธเคืองมาก แต่กลับนั่งอยู่บนเก้าอี้นอนด้วยท่าทีเหนือกว่าผู้อื่นชั้นหนึ่งอย่างสง่างาม บนใบหน้ามีรอยยิ้มชั่วร้ายปรากฏอยู่“เฟิ่งหมิงชี เข้ามาในตำหนักหมิงเยว่ของข้าแล้ว เจ้าก็อย่าคิดว่าจะมีชีวิตรอดออกอีกเลยไป”
“ทหาร ฆ่านางให้ข้าเดี๋ยวนี้!” พูดแล้วสายตาของผู้หญิงก็มีรอยยิ้มอาฆาตอย่างเยือกเย็นปรากฏขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
สิ้นเสียง ประตูตำหนักก็สั่นสะท้าน ทหารองครักษ์สิบคนก็โผล่ออกมาจากที่ลับ มาห้อมล้อมเฟิ่งหมิงชีเอาไว้
