บทที่ 11 จะหย่ากันอยู่แล้ว ใครจะไปมีลูกกับเจ้า
ที่ตำหนักหลงซิน
ไท่ว่างหวงถูกวางยาพิษ หมอหลวงหลายคนมาดูแล้วก็ทำอันใดไม่ได้
พอฮ่องเต้เห็นเฟิ่งหมิงชี ก็รู้สึกสงสัยนางขึ้นมาทันที แล้วพูดอย่างโกรธเกรี้ยวขึ้นว่า “ทหาร มาจับตัวนางไว้”
“เสด็จพ่อ เมื่อวานข้าแค่ฝังเข็มให้เสด็จปู่เท่านั้น ยังไม่ได้จัดยาให้เลย”
“บะหมี่อายุยืนที่รับทานก็ผ่านการตรวจสอบจากหมอหลวงแล้ว และทานพร้อมกับไทเฮา แต่ไทเฮากลับไม่ถูกพิษ ก็แสดงว่าบะหมี่อายุยืนไม่ได้มีปัญหาอันใด” เฟิ่งหมิงชีมองไปที่มู่หรงเซียวแล้วพูดขึ้นมาขณะที่คุกเข่าอยู่
เมื่อวานนางอยากจัดยาให้ไท่ว่างหวง เพียงแต่ยาที่เอาออกมาจากห้วงเวลามีแต่ยาเม็ดยุคปัจจุบัน ถ้าเอายาเม็ดให้ไท่ว่างหวงทานไปทั้งแบบนั้น นางกลัวว่าจะทำให้เกิดความสงสัยจากคนอื่น ก็เลยกะว่าจะเอากลับไปปรับเปลี่ยนให้เป็นยาเม็ดสมุนไพรจีน หรือว่าเปลี่ยนขวดสักหน่อยแล้วค่อยเอามาให้ไท่ว่างหวงทาน
เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนมาวางยาพิษไท่ว่างหวงได้
ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะต่อต้านนาง หรือต่อต้านไท่ว่างหวงกันแน่
ในขณะเดียวกัน มู่หรงเซียวก็เดินเข้ามาแล้วยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย เสด็จปู่เป็นที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเฟิ่งหมิงชี นางไม่มีทางวางยาพิษแน่พ่ะย่ะค่ะ”
ดูจากงานเลี้ยงเมื่อวาน ที่เฟิ่งหมิงชีฝ่าเข้าไปในตำหนักไปช่วยไท่ว่างหวงอย่างไม่เกรงกลัวใครก็สามารถรู้ได้แล้ว
ตอนนี้เฟิ่งหมิงชียังเป็นสนมของเขาอยู่ ถ้าถูกตัดสินว่าวางยาพิษจริง ๆ พอถึงตอนนั้นจะต้องทำให้จวนเลี่ยอ๋องซวยกันไปทั้งจวนแน่
ดวงตาดำสนิทของมู่หรงเซียวมองไปที่เฟิ่งหมิงชี ตักเตือนนางว่าห้ามพูดอันใดอีก
แน่นอนว่าในใจฮ่องเต้นั้นเข้าใจดี แต่อย่างไรก็สืบไม่พบว่าใครคือคนร้าย แบบนี้มันทำให้คนอารมณ์หงุดหงิดมากจริง ๆ เขาจ้องมองไปที่เฟิ่งหมิงชีด้วยสายตาแหลมคมและเคร่งขรึม “เข้าไปดูซิว่าจะสามารถถอนพิษได้หรือเปล่า ถ้าไท่ว่างหวงเป็นอันใดไป ถึงเจ้ามีหัวสิบหัวก็ไม่พอขาดหรอก”
เฟิ่งหมิงชีรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ยากลำบากมากจริง ๆ ถ้ารักษาหายก็จะเป็นผลงานครั้งใหญ่ แต่ถ้ารักษาไม่หาย แล้วไท่ว่างหวงตายไป งั้นนางก็ต้องเป็นโดนฝังเป็นเพื่อนไปด้วยแน่
แต่นางก็ไม่มีทางเลือก จึงเข้าไปจับชีพจร แล้วตรวจเลือดดู
เพื่อความสะดวกและรวดเร็ว เฟิ่งหมิงชีจึงแอบท่องชื่อกระดาษวัดสารพิษ ใช้แค่เลือดหยดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นพิษที่มาจากอันใด
คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีของแบบนั้นอยู่จริง ๆ กำไลห้วงเวลาในข้อมือส่งของออกมาให้นาง
นางควานหาในกล่องยาครู่เดียว ของก็มาปรากฏอยู่ในฝ่ามือแล้ว
ดวงตาเฟิ่งหมิงชีเป็นประกายสั่นไหวด้วยความดีใจ แล้วรีบเจาะเลือดเอามาตรวจสอบ
บนกระดาษวัดสามารถปรากฏขึ้นมาอัตโนมัติว่าเป็นพิษจากอันใด
เฟิ่งหมิงชีดูตัวหนังสือที่ปรากฏบนนั้นทีหนึ่ง หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา แล้วแอบทำลายกระดาษวัดทิ้งไปอย่างลับ ๆ “เป็นพิษจากแมงป่องพิษ ไม่ใช่ปัญหาทางด้านอาหารการทาน แต่น่าจะถูกแมงป่องพิษต่อยมาทีหนึ่ง”
พอได้ยินแบบนี้ พวกหมอหลวงก็เข้าใจกันขึ้นมาทันที แล้วรีบพูดขึ้นว่า “เลี่ยหวางเฟยพูดถูกแล้ว พวกข้าก็พบว่าเป็นพิษจากแมงป่องพิษเช่นกัน แต่ในวังจะมีแมงป่องพิษได้อย่างไร ก็เลยไม่ได้ข้อสรุปสักที”
“ตอนนี้ไม่ใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ ต้องรีบถอนพิษให้เร็วที่สุด”
“นี่คือยาถอนพิษเม็ดที่ข้าปรุงไว้ สามารถถอนพิษได้เป็นร้อย” เฟิ่งหมิงชีหยิบขวดหยกอันหนึ่งออกมาจากกล่องยา “แต่พิษของแมงป่องพิษเป็นพิษที่ร้ายแรง ยาถอนพิษนี้ทำได้แค่ควบคุมไม่ให้พิษกระจายชั่วคราวเท่านั้น”
“ถ้าจะถอนพิษให้หมด จะต้องใช้การฝังเข็มขับพิษออกมา”
“แต่ร่างกายของเสด็จปู่ป่วยหนักมานานหลายปี ร่างกายจึงอ่อนแอมากไม่เหมาะจะขับพิษออกให้หมดในคราวเดียว มิฉะนั้นร่างกายของท่านจะรับไม่ไหว”
ฮ่องเต้สั่งให้หมอหลวงลองตรวจสอบดูแล้ว ก็ให้ไท่ว่างหวงทานเข้าไป จากนั้นหมอหลวงก็ตรวจชีพจรดู แล้วยกมือขึ้นคำนับและพูดขึ้นว่า “ทูลฝ่าบาท พิษในร่างกายไท่ว่างหวงได้สงบนิ่งลงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
พอฮ่องเต้ได้ฟังแล้วก็มองไปที่เฟิ่งหมิงชีด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลงเล็กน้อย “เลี่ยหวางเฟยอยู่เฝ้าดูอาการต่อไป ส่วนพิษในร่างกายไท่ว่างหวงนั้น ถ้าถอนออกได้จะถือว่าเป็นผลงาน แต่ถ้าเกิดอันใดผิดพลาด……”
พูดแล้ว ฮ่องเต้ก็มองไปที่มู่หรงเซียวด้วยสายตาเคร่งขรึม “ก็จะให้เจ้ามาเป็นผู้รับผิดชอบ”
สีหน้ามู่หรงเซียวมืดมนลง ในใจรู้สึกหงุดหงิด แต่กลับไม่กล้าขัดราชโองการ “พ่ะย่ะค่ะ เสร็ดพ่อ……”
เฟิ่งหมิงชีแอบรู้สึกซะใจอยู่ลึก ๆ ได้ยินมาว่าฮ่องเต้ไม่ชอบมู่หรงเซียวลูกชายคนนี้ที่สุด แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่ชอบขนาดนี้จริง ๆ อย่างกับเป็นลูกที่เก็บมาเลี้ยงเลย
“หัวเราะพอหรือยัง?” สายตาของมู่หรงเซียวจ้องมองมาที่นางอย่างเย็นชา
เฟิ่งหมิงชีเบือนหน้าแล้วคลี่ยิ้มมุมปากขึ้นเล็กน้อย “ข้าไม่ได้หัวเราะใส่เจ้าสักหน่อย”
พอนึกถึงเรื่องเมื่อคืน ดวงตาดำสนิทของมู่หรงเซียวก็แฝงความโกรธขึ้นมาเล็กน้อย “เมื่อคืนเจ้าไม่เคารพและดูหมิ่นข้า เรื่องนี้เดี๋ยวข้าค่อยไปคิดบัญชีกับเจ้าอย่างละเอียดทีหลัง”
เฟิ่งหมิงชีรู้อยู่แล้วว่าเขาจะต้องตามมาคิดบัญชีทีหลัง
“ไม่เคารพอย่างไร? ข้าเป็นสนมของเจ้า ข้าก็ต้องเป็นเจ้านายในจวนด้วยเช่นกัน ไม่มีคำว่าเคาพรหรือไม่เคารพอันใดหรอก ความสัมพันธ์ของพวกเรานั้นเท่าเทียมกัน”
มู่หรงเซียวพูดขึ้นมาอย่างโกรธจนรู้สึกขำ “ซึ่งก็คือการฆาตกรรมสามีหรือ”
“แต่เมื่อวานเจ้าก็บีบคอข้าเกือบตายเช่นกัน เจ้าจะฆาตกรรมภรรยาหรือ!”
“แบบที่ข้าทำนั้นเรียกว่าได้รับอันใดมาก็สนองกลับไปแบบนั้น” เฟิ่งหมิงชีโต้แย้งกลับไปอย่างหน้าซื่อ
มู่หรงเซียว “……”
“เจ้านายทั้งสอง ที่นี่คือตำหนักหลงซินนะ ระวังจะทำให้ไท่ว่างหวงตื่นนะ” พอกุ้ยกงกงที่ดูแลปรนนิบัติไท่ว่างหวงเห็นสองสามีภรรยาทะเลาะกัน ก็รีบเข้ามาห้ามปราม
“ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อเพื่อคอยจับตามองเจ้า” มู่หรงเซียวแอบกัดฟันแล้วจ้องเขม็งไปที่เฟิ่งหมิงชี
เฟิ่งหมิงชีไม่อยากจะสนใจเขา
พอทานยาเข้าไปแล้ว ไท่ว่างหวงก็ฟื้นขึ้นมา
“ร่างกายที่แก่ชราของข้านี่ยังอยู่ได้อีกนานแค่ไหน?” ไท่ว่างหวงลุกขึ้นมาจ้องมองไปที่เฟิ่งหมิงชีแล้วถามขึ้นมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เสด็จปู่ ท่านจะต้องอายุยืนเป็นร้อยปีพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรงเซียวพูดขึ้นมาอย่างแฝงความโศกเศร้าไว้เล็กน้อย
“หลานจะต้องจับตัวคนร้ายที่วางยาพิษมาให้ได้”
ร่างกายไท่ว่างหวงอ่อนแอ สีหน้าขาวซีดไม่มีสีเลือด และถูกพิษแมงป่องทำลายพละกำลังไป ทั้งตัวรู้สึกเหมือนตะเกียงที่ใกล้จะดับลงแล้ว
มู่หรงเซียวประคองเขาไว้ แล้วแอบส่งสัญญาณให้เฟิ่งหมิงชี ให้นางพูดอันใดดี ๆ ออกมาปลอบใจชายชราหน่อย
คิดไม่ถึงว่าเขาจะเป็นคนกตัญญู มุมปากของเฟิ่งหมิงชีขยับเล็กน้อย “ท่านอ๋องพูดถูก เสด็จปู่จะต้องอายุยืนเป็นร้อยปี ร่างกายของท่านไม่มีอันใดน่าเป็นห่วงเพคะ”
ไท่ว่างหวงจ้องมองทั้งสองคน ที่เข้ามาประคองเขาไว้ซ้ายคนหนึ่งขวาคนหนึ่ง แล้วก็รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที และยิ้มอย่างอารมณ์ดีแล้วพูดขึ้นว่า “ร่างกายที่แก่ชราของข้านี่ ถูกฝังเข้าไปในดินครึ่งหนึ่งแล้ว ถ้าสามารถอยู่ต่อได้อีกสักสองปี ได้อุ้มเหลนสักครั้ง ก็ไม่มีอันใดให้เสียดายแล้ว ไม่ขอให้มีอายุยืนยาวร้อยปีอันใดหรอก”
พูดแล้วก็มองไปที่เฟิ่งหมิงชี “ดังนั้นเจ้าต้องพยายามให้มาก รีบมีเหลนให้ข้าได้อุ้มเร็ว ๆ”
เฟิ่งหมิงชีมองไปที่มู่หรงเซียวทีหนึ่ง “หลานจะพยายาม เสด็จปู่จะต้องรักษาร่างกายให้แข็งแรง พอถึงเวลาต้องช่วยพวกเราเลี้ยงลูกด้วยนะเพคะ”
“ฮา ฮา ฮา!” ไท่ว่างหวงดีใจจนหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
มู่หรงเซียวอึ้งไปครู่หนึ่ง อดไม่ได้ที่จะมองดูหญิงสาว ในสมองอยู่ ๆ ก็นึกถึงเรื่องในคืนนั้น ที่พวกเขาทั้งสองคนได้มีอันใดกันแล้ว ผู้หญิงคนนี้เหมือนจะไม่ได้ดื่มยาคุมไปนะ
หรือว่าตั้งครรภ์ขึ้นมาแล้ว?!
คิดแล้วสีหน้าเขาก็เปลี่ยนไป พอดูแลไท่ว่างหวงเสร็จแล้ว ก็ลากตัวหมิงชีออกมา “เจ้า……คืนนั้นเจ้าดื่มยาคุมไปหรือเปล่า?”
พอเฟิ่งหมิงชีได้ยินแล้วก็โกรธจนแทบอยากจะตบเขาสักสองฉาด “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าทานยาคุมเม็ดไปแล้ว ข้าไม่มีทางหาเรื่องยุ่งยากมาใส่ตัวเองหรอก”
“จะหย่ากันอยู่แล้ว ใครจะไปอยากมีลูกกับเจ้า”
“เมื่อกี้ที่ข้าพูดไปแบบนั้นแค่ไม่อยากให้เสด็จปู่เสียใจเท่านั้น”
มู่หรงเซียวรู้สึกโกรธพุ่งขึ้นมาจากใจ “เจ้าไม่มีลูกกับข้า แล้วเจ้าจะไปมีลูกกับใคร?”
“มีกับใครก็ได้ ที่ไม่ใช่เจ้า” เฟิ่งหมิงชีผลักตัวเขาออกแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างหงุดหงิด
มู่หรงเซียวคว้าข้อมือนางไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “หยุดเดี๋ยวนี้นะ มาคุยกับข้าให้ชัดเจนก่อน”
“มู่หรงเซียวเจ้านี่โรคจิตหรือเปล่า!” เฟิ่งหมิงชีโกรธจนอารมณ์ขึ้นหันมาก็ตบเขาไปฉาดหนึ่ง
มู่หรงเซียวถูกตบจนมึนไปเลย เบือนหน้าอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โมโหขึ้นมา “เฟิ่งหมิงชี!”
ทั้งสองคนเกือบจะตีกันในตำหนักหลงซินขึ้นมา กุ้ยกงกงรีบเข้ามาขัดขวางไว้ “ทูนหัวทั้งสอง! พวกท่านหยุดก่อนเถอะ ระวังไท่ว่างหวงมาเห็นพวกท่านเป็นแบบนี้ แล้วจะทุกข์ใจนะ”
เฟิ่งหมิงชีทำเสียงหึไปเบา ๆ ทีหนึ่ง แล้วถลึงตาใส่ชายหนุ่ม แล้วหันไปพูดกับกุ้ยกงกงขึ้นว่า “ในตำหนักหลงซินอาจจะมีแมงป่องพิษอีก ข้าอยากจะค้นหามันให้เจอ”
กุ้ยกงกงถอนหายใจอย่างเป็นกังวล “ค้นหาไปแล้ว และในตำหนักหลงซินก็มีคนทำความสะอาดทุกวัน แต่ก็ไม่เคยเห็นแมงป่องพิษอันใดเลย”
“บางทีแมงป่องพิษนี่อาจจะถูกคนเลี้ยงไว้ และได้รับการฝึกฝนมา มันจะไม่กัดคนไปเรื่อยก็ได้” เฟิ่งหมิงชีพูดออกมา
พอรู้สึกว่าเรื่องราวมันรุนแรง มู่หรงเซียวก็ไม่ถือสาอันใดกับนางอีก แล้วพูดขึ้นว่า “เจ้ามีวิธีค้นหาแมงป่องพิษที่ซ่อนอยู่ในตำหนักหลงซินหรือเปล่า?”
“ลองดูหน่อยก็ได้ ข้ามีธูปไล่แมลงอยู่ชนิดหนึ่ง บางทีอาจจะล่อมันออกมาได้” เฟิ่งหมิงชีล้วงธูปหอมออกมาเม็ดหนึ่ง
มู่หรงเซียวมองดูทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นด้วยความดูถูกเล็กน้อยว่า “พูดว่าเป็นแค่ธูปไล่แมลง แล้วจะมีผลต่อแมงป่องพิษหรือ?!”
