2|สัมภาษณ์เอง
ฉันนั่งเหงาอยู่บนโซฟาพลางจ้องหน้าจอเพื่อรอบางอย่าง หลังจากไปสัมภาษณ์กับบริษัทหลายแห่งมาเกือบอาทิตย์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะได้งานทำ
“เฮ้อ แกมันห่วยจริงๆ ณิชา” ฉันบ่นกับตัวเอง สองอาทิตย์แล้วที่ครอบครัวของฉันกลับมาจากอังกฤษ ทุกคนดูมีความสุขโดยเฉพาะพ่อที่ปลื้มอกปลื้มใจใบปริญญาโทจากพี่แพรวมากกว่าของฉันเป็นสิบเท่า
ติ๊ง
พอได้ยินเสียงแจ้งเตือนฉันก็รีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูทันที อีเมลแจ้งเตือนถูกส่งมาจาก TS Monster
นัดสัมภาษณ์วันศุกร์นี้ เวลา 9.30น ที่ห้อง V
พออ่านจบฉันก็ยิ้มกว้างทันที เพิ่งตัดสินใจยื่นใบสมัครไปไม่นานอีเมลเรียกตัวมาเร็วกว่าบริษัทเล็กๆ ที่อื่นอีก
แม้จะรู้เต็มอกว่าบอร์ดบริหารและประธานคือใคร แต่ฉันก็มั่นใจในฝีมือตัวเอง จะไม่ร้องขอใช้เส้นเอาเปรียบคนอื่น
ฉันจะใช้ความสามารถของตัวเองล้วนๆ
วันสัมภาษณ์มาถึงค่อนข้างตื่นเต้น แต่น้อยลงกว่าครั้งแรกๆ ฉันแต่งชุดเรียบร้อยมารอตั้งแต่แปดโมงเช้า เห็นการทำงานของพนักงานที่นี่แล้วก็แอบชื่นชม
“พี่ตฤณสวัสดีค่ะ”
“อ้าว ณิชามาทำอะไร รอใครหรือเปล่าวันนี้ผักบุ้งไม่ได้เข้าบริษัท”
“มาสัมภาษณ์งานค่ะ” พี่ตฤณทำหน้างงสักพักก็ร้องอ๋อ
“ไม่บอกพี่ว่าอยากทำงาน”
“อยากทดสอบฝีมือตัวเองค่ะ พี่ตฤณห้ามเตี๊ยมกับทีมสัมภาษณ์เด็ดขาดนะคะ” ไม่ใช่เรื่องแปลกที่พี่ตฤณจะไม่รู้ ระดับผู้บริหารไม่มัวมาสนใจการคัดเลือกพนักงานเข้าทำงานหรอก เพราะแบบนี้ฉันถึงกล้าออกคำสั่งกับผู้บริหารยังไงล่ะ
“โอเค โชคดีนะพี่ไปก่อนมีประชุม” พี่ตฤณขอตัว ส่วนฉันก็นั่งรอเหมือนเดิม ระหว่างนั่งรอก็ทบทวนความรู้และข้อมูลของ TS Monster ไปด้วยพลางๆ บริษัทนี้ส่งออกผลไม้สดและแปรรูปทั้งอาหารกระป๋อง ตากแห้ง ทุกอย่างที่เป็นการถนอมอาหาร ขายทั้งในไทยและต่างประเทศ บริษัทในเครือมีทั้งในและต่างประเทศอีกเหมือนกัน ก่อตั้งใหม่อีกหนึ่งที่ นั่งบริหารงานโดยคุณเตวัฒน์ บุคคลที่ฉันรู้จักดี พี่ชายพี่ตฤณนั่นเอง
เวลาใกล้เข้ามาผู้สัมภาษณ์ท่านอื่นเริ่มทยอยมานั่งรอ ทั้งหญิงและชายส่วนมากเป็นเด็กจบใหม่เหมือนกับฉัน ใครๆ ก็อยากทำงานที่นี่ ฉันเองก็เหมือนกัน ถ้าได้ที่นี่สัญญาว่าจะตั้งใจทำให้พ่อกับแม่ภูมิใจให้ได้ แม้จะเป็นตำแหน่งเล็กๆ แต่นั่นก็คือความพยายามของฉันไม่ได้ใช้เส้นสายแต่อย่างใด
“ณิชาภัทณ์ วิทยาพงษ์” ฉันสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ เพราะถึงคิวตัวเองแล้ว
“พร้อมค่ะ”
“เชิญค่ะ” ฉันยิ้มรับแล้วก้มศีรษะแทนการขอบคุณ ก่อนเข้าต้องวางกระเป๋าและเอกสารทุกอย่างในมือไว้หน้าห้องโดยมีพนักงานดูแลให้ไม่ห่าง
พอเดินมาหยุดตรงหน้าประตูฉันก็สูดลมหายใจเข้าลึกๆ อีกครั้ง
“ขอให้โชคดีนะคะ” รอยยิ้มของพี่เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวกช่วยฉันได้นิดหน่อย อย่างน้อยก็มีคนแปลกหน้ารอให้กำลังใจ ส่วนคนในครอบครัวไม่มีใครรู้สักคนว่าวันนี้ฉันมาสัมภาษณ์งานที่บริษัทใหญ่
พอก้าวเท้าเข้ามา ประตูห้องก็ถูกปิด ตรงหน้าว่างเปล่า ไม่มีทีมสัมภาษณ์อย่างที่คิดไว้ ฉันงง หันซ้ายหันขวาหรือว่าถึงเวลาพักช่วงคิวของฉันพอดี ยกข้อมือดูเวลาก็ยังไม่เที่ยงนี่นา
“นั่งสิ”
“พี่เต้สวัสดีค่ะ ทีมสัมภาษณ์อยู่ไหนหมดคะ ณิไม่ได้เข้าผิดห้องใช่ไหม” ร่างสูงยืนมองฉันสักพักแล้วขยับเก้าอี้ตรงหน้านั่งลง
“พร้อมหรือยัง”
“คะ”
“พร้อมที่จะสัมภาษณ์หรือยัง” ฉันอึ้งแล้วพยักหน้าหงึกๆ เลื่อนเก้าอี้ตรงหน้าออกมานั่งเช่นกัน
“วันนี้พี่เต้ไม่ได้เข้าบริษัทเหรอคะ” ที่นี่เป็นของพี่ตฤณแต่ถ้าเห็นพี่เต้ก็ไม่ต้องแปลกใจเพราะเป็นเรื่องปกติ แต่ที่ไม่ปกติคือผู้บริหารลงทุนมาสัมภาษณ์คัดเลือกพนักงานด้วยตัวเองนี่แหละน่าแปลกใจ
“งานมีอยู่ทุกที่ ตรงนี้ก็คืองาน เรียนจบอะไรมา”
“บริหารค่ะ”
“ทำไมถึงอยากทำงานที่นี่” เขาถามโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามอง เพราะกำลังจดจ้องกระดาษแผ่นหนึ่งที่มีลายมือยุกยิกวางอยู่บนโต๊ะตรงหน้า คุณท่านประธานไม่เคยสัมภาษณ์พนักงานมาก่อนงั้นหรือ
“หยิบขึ้นมาอ่านเลยก็ได้นะคะ พี่เต้ไม่เคยสัมภาษณ์งานมาก่อนหรือคะ”
“อยากลองดู ไม่คิดว่าจะยาก คำถามบ้าอะไร” พูดจบเขาก็ปัดกระดาษบนโต๊ะนั่นทิ้งด้วยท่าทีรำคาญ
“แล้วทำทำไมคะ ยากก็ไปทำงานตัวเองสิ” ฉันออกปากไล่ผู้บริหารเต็มๆ พอรู้ตัวก็เริ่มขยับเก้าอี้และจัดท่านั่งให้ดูเรียบร้อยใหม่อีกครั้ง ลืมไปว่าตัวเองเข้ามาในฐานะผู้เข้าสอบสัมภาษณ์งานไม่ใช่เพื่อนสนิทของน้องสะใภ้เขา
“ไปที่ไหนมาบ้าง”
“ก็มี อินเตอร์กรุป มนตรา แล้วก็สยามเทวา ค่ะ” ทุกที่ล้วนแล้วแต่หายเงียบยังไม่ติดต่อกลับมาเลยสักที่
“ทำไมไม่ลองทำงานที่บ้านก่อน” งานรับปริญญาว่าเศร้าแล้วสองวันก่อนเศร้ายิ่งกว่า
“ไม่อยากมีปัญหาค่ะ” ฉันตอบตามความจริง แม้แต่พ่อยังไม่เอ่ยปากชวนทำไมฉันต้องกระตือรือร้นอยากทำด้วย ไม่มีประโยชน์หรอก อีกอย่างพี่แพรวก็กลับมาแล้วคิดว่าทุกอย่างคงสมบูรณ์แบบในไม่ช้า
“ตัวปัญหาของบ้านหรือไง”
“คงเป็นแบบนั้นค่ะ” ฉันก้มหน้าตอบ เรื่องครอบครัวจี้จุดให้ฉันไม่อยากสัมภาษณ์ต่อแต่ก็ต้องแข็งใจเพราะมันเป็นทางรอดเดียวที่จะทำให้ฉันมีงานทำเลี้ยงดูตัวเองไม่ร้องขอพ่อให้รำคาญใจอีกต่อไป
“ทำไมคิดแบบนั้น” ฉันเงียบนึกคำตอบไม่ออก “พร้อมเริ่มงานเมื่อไหร่”
“คะ อะไรนะคะ”
“ก่อนเข้างานแวะไปหาหมอเช็กระบบการได้ยินบ้างก็ดีเหมือนกันนะ” ฉันเปล่าหูตึงแค่อยากได้ยินอีกทีชัดๆ ก็เท่านั้น
“พี่เต้ เอ่อ คุณเต้ยังไม่ได้สัมภาษณ์เลย จะรับณิเข้าทำงานได้ยังไง” พูดผิดพูดถูกเพราะสมองไม่ค่อยสั่งการหรือเบลอไปหมดแล้ว
“เธอกำลังนั่งคุยกับผู้บริหารอยู่ไม่รู้ตัวหรือไง”
“รู้ค่ะ แต่ว่าณิไม่อยากใช้เส้นสายเข้าทำงานนี่คะ”
“บริษัทพี่ต้องการเด็กจบใหม่ไฟแรงอยากทำงานจริงๆ ถ้าคิดว่ามีคุณสมบัติพอ พรุ่งนี้เริ่มงานได้” เป็นอีกครั้งที่ฉันพูดไม่ออก มันง่ายขนาดนี้เชียวเหรอ เขาต้องสัมภาษณ์ฉันสิ มิติใหม่คือผู้บริการบอกความต้องการแล้วให้ผู้เข้าสัมภาษณ์พิจารณาตัวเอง
ถ้าดีพอก็พร้อมรับ เจ๋งดี
“ตำแหน่งอะไรคะ”
“เดี๋ยวก็รู้เอง อ่อ ไม่ใช่ที่นี่ ไปอีกที่ถูกใช่ไหม” ฉันพยักหน้าอีกครั้ง อีกที่ที่ว่าเพิ่งสร้างเสร็จได้ไม่กี่เดือน ส่วนผู้บริหารก็คือคนตรงหน้านี้
“ขอบคุณค่ะพี่เต้”
“ไม่ใช่เพราะเส้นสาย เป็นเพราะตัวเธอเองจำไว้” พูดจบเขาก็ลุกไปเลย ปล่อยฉันนั่งเอ๋อมองตามตาปริบๆ
“เชิญผู้สัมภาษณ์ท่านต่อไปค่ะ” เสียงของเจ้าหน้าที่หน้าประตูทำให้ฉันหลุดจากภวังค์รีบลุกแล้วเดินออกไปจากห้องสัมภาษณ์ทันที
ฉันหยิบกระเป๋าและแฟ้มเอกสารของตัวเองเดินมาที่ลิฟต์
“กรรมการที่สัมภาษณ์คนผู้หญิงดุมากเลย แกพูดถึงแล้วยังขนลุกไม่หาย”
“เออ ฉันก็รู้สึกแบบนั้น ทีมสัมภาษณ์มีตั้งห้าคน ตื่นเต้นจนฉี่จะราด”
ทีมสัมภาษณ์มีห้าคน ทำไมฉันเจอพี่เต้แค่คนเดียว ทั้งๆ ที่ก็กรุปเดียวกัน
_____________
