บทที่ 4 นิสัยอันย่ำแย่
โจวต้าเหนียงยืนมองเงาหลังของลูกสะใภ้ของตนเองด้วยความประหลาดใจ เมื่อคืนนี้เฉินมู่หนานก่อกวนเธอจนดึกดื่น หลานชายตัวน้อยผู้มีพลังล้นเหลือของเธอกว่าจะยอมนอนได้ก็เกือบค่อนคืนไปแล้ว ส่วนสามีของเธอน่ะหรือหลับไปตั้งแต่หัวค่ำเพราะความอ่อนเพลียไปแล้ว เธอจึงต้องรับมือกับหลานชายตัวน้อยเพียงลำพัง เช้านี้พอรู้ว่าตนเองตื่นสายก็รีบตาลีตาเหลือกมาที่ห้องครัวเพื่อหุงหาอาหาร คิดไม่ถึงว่าตอนที่เธอมาถึงเจียงม่านม่านจะทำอาหารเสร็จแล้วและยามนี้กำลังทำความสะอาดบริเวณครัวเสียจนสะอาดเอี่ยม
“คุณแม่ตื่นแล้วหรือคะ เช้านี้หนูทำแป้งย่างไส้เนื้อกับโจ๊กข้นค่ะ กินกับผักดองของคุณแม่ก็น่าจะเพียงพอแล้วนะคะ ส่วนแป้งย่างหนูทำเผื่อมื้อกลางวันสำหรับคุณพ่อกับน้องชายทั้งสองแล้ว รับรองว่าแม้ว่าจะเย็นแล้วแต่ก็ยังรสชาติดีอยู่ค่ะสามารถนำไปกินเป็นมื้อกลางวันที่แปลงนาได้เลย คุณแม่จะได้ไม่ต้องทำเพิ่มแล้วเอาไปส่งที่แปลงนาในตอนกลางวันอีก” เจียงม่านม่านพูดพลางชี้ห่อกระดาษเคลือบน้ำมันที่ด้านในบรรจุแป้งย่างเอาไว้หลายชิ้น
โจวต้าเหนียงจ้องมองอาหารที่ทำเสร็จแล้วด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความยินดี เพราะความยุ่งเหยิงในตอนเช้าจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำอาหารอาหารเช้าแล้วทำเพิ่มเพื่อเผื่อไปถึงมื้อกลางวัน เธอไม่มีเวลาที่จะเตรียมอาหารทีละมากๆ จึงมักจะทำอาหารที่กินอิ่มท้องในตอนเช้า แล้วจึงได้ทำอาหารที่กินง่ายนำไปส่งที่แปลงนาในตอนกลางวัน
“เธอบอกฉันมาตามตรงเถิด ว่าสาเหตุที่อยู่ๆ ก็ลุกขึ้นมาขยันทำอะไรต่อมิอะไรเช่นนี้เป็นเพราะมีจุดประสงค์อื่นอยู่ใช่ไหม” เมื่อถูกถามเช่นนี้ไม่เพียงไม่ปฏิเสธแต่เจียงม่านม่านกลับพยักหน้าแล้วยอมรับออกมาตามตรง
“หนูมีจุดประสงค์อื่นจริงๆ ค่ะคุณแม่” เมื่อเจียงม่านม่านพูดเช่นนี้โจวต้าเหนียงก็ได้แต่ทอดถอนใจออกมาแล้วเตรียมตัวรอรับการร้องของจากลูกสะใภ้
"วันนี้หนูอยากจะออกไปหาซื้อของในเมืองสักหน่อย ฝากคุณแม่ดูแลหนานหนานให้หนูด้วยนะคะ หนูอยากจะไปเดินดูว่าช่วงนี้ในเมืองเขานิยมอะไรบ้าง คือหนูอยากจะลงทุนค้าขายเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ" คำพูดของเจียงม่านม่านทำให้โจวต้าเหนียงจ้องมองเธอด้วยความประหลาดใจในทันที เจียงม่านม่านจึงได้พูดต่อโดยอ้างชื่อของเฉินมู่หนานและเฉินเสวี่ยซึ่งเป็นจุดอ่อนที่โจมตีได้ง่ายของโจวต้าเหนียงในตอนนี้
“เงินที่หนูได้รับจากพ่อหนานหนานหนูพอจะมีเก็บเอาไว้อยู่บ้าง แต่ในอนาคตหนูอยากให้หนานหนานได้เรียนหนังสือ อยากให้เขาอ่านออกเขียนได้มีวุฒิการศึกษาติดตัว ได้ยินมาว่าการเรียนในเมืองต้องใช้เงินมากพอสมควร หนูไม่อยากให้พ่อหนานหนานต้องแบกรับภาระในเรื่องการหาเงินเพียงคนเดียว หากมีอะไรที่พอจะช่วยเขาได้หนูก็ยินดี” คำพูดของเจียงม่านม่านไม่เพียงโจมตีได้ตรงจุดแถมยังเรียกคะแนนความพึงพอใจจากโจวต้าเหนียงได้อีกด้วย
“ในเมื่อวันนี้ฉันไม่ต้องไปส่งอาหารให้พ่อสามีของเธอ ฉันก็ย่อมมีเวลาว่างที่จะดูแลอาหนานอยู่แล้ว เธออยากจะเข้าเมืองก็ไปเถอะ” โจวต้าเหนียงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดีขึ้น แล้วจึงได้เอ่ยถามเธอออกมาอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก
“ว่าแต่เงินน่ะพอใช้หรือไม่” แม้ว่าไม่อยากจะถามแต่ทุกครั้งที่เฉินเสวี่ยส่งเงินมาเขามักจะส่งมาให้เธอเดือนละ 20 หยวน แล้วส่งให้เจียงม่านม่านแค่เพียงเดือนละ 10 หยวนเพียงเท่านั้น
“อยู่กับคุณพ่อคุณแม่หนูก็ไม่ได้ใช้จ่ายอะไร ย่อมจะเพียงพออยู่แล้วค่ะ” เจียงม่านม่านพูดพลางยิ้มออกมา หากเป็นเจียงม่านม่านคนเก่าเธอจะต้องรีบบอกว่าไม่พอในทันที แต่สำหรับเจียงม่านม่านคนนี้เธอไม่ชอบเบียดบังเงินของคนอื่น เงินที่สามีส่งมาให้ที่บ้านเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย พ่อสามีและแม่สามีไม่ได้นำไปใช้จ่ายภายในบ้านเพียงเท่านั้น แต่เงินส่วนใหญ่ถูกนำไปใช้กับเฉินมู่หนานที่เป็นหลานชายเพียงคนเดียว จึงเป็นเรื่องที่ไม่สมควรนักที่เธอจะไปเบียดเบียนค่าใช้จ่ายของลูกชายตัวน้อยของเธอ
“…” ลูกสะใภ้เปลี่ยนไปมากถึงขนาดนี้ทำให้โจวต้าเหนียงถึงกับวางตัวไม่ถูกในทันที เดิมทีเธอตั้งใจว่าถ้าเจียงม่านม่านบอกว่าไม่พอใช้และขอเพิ่มเธอจะได้ให้เงินไปสักเล็กน้อยแล้วก็จะได้ใช้เรื่องนี้ตำหนิและสั่งสอนลูกสะใภ้ แต่ในเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่เป็นไปตามคาดเช่นนี้โจวต้าเหนียงก็พูดไม่ออกวางตัวไม่ถูกในทันที
ช่วยสายหลังจากที่เฉินม่อและลูกชายทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้วพวกเขาก็แบกอุปกรณ์พร้อมด้วยอาหารสำหรับมื้อกลางวันเดินตรงไปยังแปลงนาเพื่อทำงานของพวกเขาต่อ เจียงม่านม่านรีบเก็บกวาดทำความสะอาดจานชามและทำความสะอาดบ้านให้เรียบร้อยแล้วหลังจากนั้นเธอจึงได้เดินไปรอขึ้นรถประจำทางที่ท่ารถหน้าหมู่บ้านเพื่อเดินทางเข้าเมือง
“แต่งตัวเสียสวยเลย จะเข้าเมืองหรือ” เสียงทักทายของโจวเสี่ยวหลันทำให้เจียงม่านม่านขมวดคิ้ว แต่เพราะไม่อยากจะเสวนากับคนที่ไม่ชอบหน้าจึงไม่ได้ให้ความสนใจกับเสียงทักทายนี้
“นี่อย่ามาทำเป็นหูทวนลมกับฉันนะ ฉันอุตส่าห์ทักทายดีๆ แล้วนะ” โจวเสี่ยวเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเจียงม่านม่านแล้วพูดใส่หน้าเธอด้วยความไม่พอใจ
“เธอนี่ก็แปลกนะ ไม่ชอบหน้าฉันไม่ใช่หรือ แล้วทำไมต้องพยายามพามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของฉันด้วย” เจียงม่านม่านถามออกมาตามตรง
โจวเสี่ยวหลันคนนี้เป็นญาติห่างๆ ของแม่สามีของเธอ มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเจียงม่านม่าน และแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่ชอบเจียงม่านม่านทั้งต่อหน้าและลับหลัง แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือแม้ว่าจะอยู่ในหมู่บ้านเดียวกันแต่ในเมื่อไม่ชอบหน้ากันก็ไม่ควรจะมาพบหน้ากัน แต่โจวเสี่ยวหลันคนนี้กับพยายามเข้ามาหาเรื่องอย่างจงใจ พูดจาส่อเสียดและบางครั้งก็ด่าออกมาตามตรงเพื่อหาเรื่อง เจียงม่านม่านคนเก่าทั้งด่ากราดทั้งตบตีกับเจ้าหล่อนไปตั้งหลายครั้งและโจวเสี่ยวหลันก็พ่ายแพ้ทั้งเรื่องฝีปากและฝีมือตบตี แต่ก็ยังไม่วายเข้ามาหาเรื่องแล้วต้องทั้งเจ็บตัวทั้งอับอายกลับไป แต่ทุกครั้งที่บังเอิญพบเจอกันก็ยังไม่วายที่จะตรงเข้ามาหาเรื่องเจียงม่านม่านอยู่เสมอ
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้เธอลอยหน้าลอยตา ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขทั้งๆ ที่เธอไม่ควรจะได้รับมันไปเลยต่างหาก” คำพูดของโจวเสี่ยวหลันทำให้เจียงม่านม่านเลิกคิ้วขึ้น
“เธอมันแมวขโมย” เมื่อด่าจบรถประจำทางก็มาจอดตรงจุดจอดพอดี โจวเสี่ยวหลันจึงได้รีบขึ้นไปบนรถประจำทางโดยมีเจียงม่านม่านเดินขึ้นรถไปด้วย เธอจงใจเดินหลบเลี่ยงไปนั่งยังที่นั่งที่ห่างจากโจวเสี่ยวหลันด้วยเหนื่อยหน่ายหัวใจที่จะเถียงกับคนอื่นในเรื่องของเจ้าของร่างคนเก่า ถึงอย่างไรเจียงม่านม่านคนเก่าก็เป็นสายตระกูลเดียวกันกับเธอ เธอเองก็ไม่พอใจโจวเสี่ยวหลันคนนี้อยู่เช่นเดียวกัน
‘ไม่พอใจก็ด่าคนทำสิ ทำไมต้องด่ากราดไปถึงบรรพบุรุษของเธอด้วย’ นี่คือความคิดของเจียงม่านม่านในตอนที่พบหน้าโจวเสี่ยวหลัน เจ้าของร่างคนเก่าเป็นคนมือไว เห็นอะไรสวยๆ งามๆ เข้าหน่อยชอบหยิบจับเอาไปเป็นของตนเอง ส่วนโจวเสี่ยวหลันคือคนที่มีของสวยงามมากที่สุดในบรรดาสาวๆ ในหมู่บ้าน ดังนั้นจึงหนีไม่รอดนิสัยที่ชอบขี้ขโมยของเจียงม่านม่านคนเก่า
โชคดีที่ของที่เจียงม่านม่านลักขโมยมักจะเป็นเครื่องประดับที่ไม่ได้มีราคาค่างวดอะไร อย่างเช่น โบติดผม หรือไม่ก็เข็มกลัดสวยๆ ที่สามารถคว้าจับเอามาเป็นของตนเองได้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอันใดเมื่อถูกจับได้ว่าขโมย แต่ถึงอย่างไรเจียงม่านม่านก็รู้สึกไม่ดีอยู่ดีที่ลูกหลานของเธอตกต่ำลงไปมาก จากเมื่อหลายพันปีก่อนเป็นตระกูลที่เคยคดโกงเงินและที่ดินของชาวบ้าน แต่ยามนี้ตกต่ำจนถึงขั้นลักเล็กขโมยน้อยแม้แต่เครื่องประดับราคาถูกก็ยังยับยั้งชั่งใจตนเองไม่ได้ แต่เมื่อคิดได้ว่าต่อให้ไม่ใช่เพราะคำสาปแช่งของเธอตระกูลนี้ก็ย่อมจะตกต่ำอยู่แล้ว ไม่คิดขวนขวายหาความสำเร็จด้วยตนเอง เอาแต่คิดจะเอาเปรียบและแย่งชิงความสำเร็จของคนอื่นแล้วจะเจริญรุ่งเรืองกันได้อย่างไร
แต่ตอนนี้เธอไม่ใช่เจียงม่านม่านคนเก่าแล้ว เธอจึงพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบกับคนที่เธอเคยล่วงเกินเอาไว้ ตอนที่เป็นแค่เพียงดวงวิญญาณที่ล่องลอยอยู่ก็ถูกด่ากระทบไปบ้างแล้ว แต่ยามนี้เข้ามาอยู่ในร่างนี้แล้วย่อมจะต้องรู้สึกเจ็บช้ำอยู่ต่อถ้อยคำตำหนิและด่าทออย่างแน่นอน อีกทั้งยังไม่อาจจะโต้เถียงได้ด้วย เพราะคนที่ขโมยเครื่องประดับผมของโจวเสี่ยวหลันก็คือร่างที่เธออาศัยอยู่จริงๆ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะปฏิเสธ และบอกกับทักคนว่าเธอไม่ได้ทำ แต่เป็นเจ้าของร่างคนเก่าต่างหากที่เป็นคนทำเรื่องไม่ดีนี้
