สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[2/2]
“ไปรถสามล้อได้ไหม เดี๋ยวผมจ่ายค่ารถเอง” ผมเสนอ ไม่อยากจะเสี่ยงจริงๆ
พอผมบอกไปอย่างนั้น มันก็บ่น
“จังแม่นหลายเรื่อง (เรื่องมากจังวะ)”
ก็มึงทำตัวให้กูควรเรื่องมากไหมล่ะ มึงน่ะตัวปัญหาเยอะเลย!
ถ้าผมเป็นคนใจร้อนกว่านี้สักหน่อย ผมคงจะไม่รอช้า เดินไปตะบันหน้ามันให้หงายไปแล้วกับการแสดงออกที่ไม่ค่อยให้เกียรติลูกค้าอย่างผมเนี่ย แต่ผมกลับเลือกที่จะนิ่งแล้วย้ำขึ้นมาอีกครั้ง
“ไปสามล้อ ผมออกค่ารถเอง”
“มันเปื่อง ลดกะมีชิไปจำโบ้เฮ็ดหยัง ฮีบขื้นมาอย่ามาหลายเรื่อง (มันเปลือง รถก็มีจะไปสามล้อทำไม เอ้าขึ้น อย่าเรื่องมาก)” ปั้นรักว่ามาอีกแล้ว
ตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนว่ามันไม่ได้เป็นไกด์ให้ผมแล้วล่ะ เหมือนมันเป็นเพื่อนผมแล้วจะพาผมเที่ยวมากกว่า ผมก็อยากจะยืนกรานคำเดิมอยู่หรอกนะว่าไปรถสามล้อ ทว่าพอพูดจบ ปั้นรักก็บิดคันเร่งเข้ามาจอดเทียบใกล้ๆ แล้วว่าเสียงดุ
“ขึ้นเลย ขึ้นๆ”
ผมก็แบบว่า...นะ ขึ้นก็ขึ้นวะ
พอขึ้นปุ๊บ ก็ต้องร้องบอกมัน
“มาให้ผมสะพายกระเป๋าให้เถอะครับ”
ไม่สะพายให้มัน กระเป๋าแม่งก็ดันหน้าผมอยู่เนี่ย
ปั้นรักหันมามอง ยอมส่งกระเป๋าให้ผมสะพายแต่โดยดี
“ดีมาก รู้จักทำตัวให้เป็นประโยชน์”
กูเป็นลูกค้าไหมล่ะ!
แต่มันจะไปสนใจอะไร ผมนั่งเรียบร้อยดี มันตั้งท่าได้ก็บิดออกไปแล้ว ทำท่าเหมือนจะซิ่งด้วยนะ แต่ด้วยความที่รถเก่าไง มันเลยไปแบบปุเลงๆ เสียงท่อดังเหมือนจะบอกว่า ‘พวกมึง กูไม่ไหวแล้ว...ไม่ไหวแล้ว...’ ดังมาให้ได้ยินเป็นระยะ ผมก็นั่งเกร็งไปตลอดทางเลย กลัวว่ามันจะดับกลางทาง นอกเหนือจากนั้นแล้วก็กลัวว่าจะมาตายในประเทศที่ไม่ใช่บ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองด้วย
ก็ไอ้ปั้นรักมันเล่นขี่ปาดซ้ายปาดขวาชวนให้ถูกด่าพ่อล่อแม่ไปตลอดทางเลยน่ะสิ
กูยังอยากกลับไทยอยู่นะไอ้ปั้น!
แต่ก็กลัวว่าถ้าร้องบอกมันไป เดี๋ยวมันจะพาไปคว่ำตายโค้งหน้าเลยนิ่งๆ ไว้ นี่ถ้าไม่เกรงใจจะขอไปขี่เองด้วย หมวกกันน็อกแม่งก็ไม่มีให้ใส่ มึงนี่ไม่ได้เคารพกฎจราจรบ้านเมืองเลย!
ก็ยังดีที่มันพาผมไปถึงยังที่หมายได้ เริ่มที่วัดพระธาตุหลวง จากนั้นก็ประตูชัย วันนี้ไปได้แค่สองที่เพราะกว่าจะออกมาจากเกสต์เฮ้าส์ก็บ่ายแล้ว ผมเลยไม่มีเวลาเที่ยวมากนัก ปั้นรักบอกว่าถ้าอยากมาอีกก็ให้มาวันอื่นแต่ออกให้เช้าหน่อย แต่ถึงมันจะพูดอย่างนั้น ผมก็ไม่มีอารมณ์จะเดินดูอะไรสักเท่าไหร่แล้ว ไม่ใช่ว่าสถานที่ท่องเที่ยวไม่น่าสนใจนะ น่าสนใจมากเลย แต่หมดอารมณ์จะดูเพราะไอ้ปั้นรักนี่แหละ
โน่น ตอนนี้มันไปทะเลาะกับแม่ค้าขายน้ำโน่น ด้วยข้อหาที่มันกล่าวอ้างว่าแม่ค้าโก่งค่าน้ำมันเพราะมันเป็นคนไทย
มันเป็นคนไทย...
เดี๋ยวนะ แม่มันเป็นคนลาวไม่ใช่เหรอ?
โอเค ถึงตอนนี้แล้วผมงงมาก ทำเป็นไม่รู้จักมันแล้วรอจนกว่ามันจะทะเลาะกับแม่ค้าเสร็จและเดินกลับมา ผมถึงสบโอกาสถามตอนมันบ่น
“คนแบบมันเฮัดให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสียให้เงินกีบกะยังอยากได้เงินบาทอีกอยู่ อย่ามาตัวะกันอยู่นิใด (คนพวกนี้แม่งทำให้การท่องเที่ยวเสื่อมเสียหมด ให้เงินกีบก็จะเอาเงินไทย อย่ามาโกงกันนะเว้ย)”
“ปั้นรักเป็นลาวไม่ใช่เหรอ”
ถามไปอย่างนี้ ปั้นรักก็หยุดบ่นกระปอดกระแปด หันมามองหน้าผมทันควัน
“เคียบอกหวาว่าเป็นคนลาว (เคยบอกเหรอว่าเป็นคนลาว)”
เอ้า ก็เห็นมึงพูดลาวจ้อขนาดนี้ จะให้กูคิดว่าเป็นคนประเทศอื่นหรือไง
“แต่คุณแอนเป็นคนลาว...” ผมบอกไปอย่างนั้น
ปั้นรักมองหน้าผมอย่างรำคาญก่อนกระดกน้ำขึ้นดื่ม แล้วถึงพูดออกมา
“แม่เป็นคนลาว แต่พ่อเป็นคนไทย เกิดอยู่ไทย ได้สัญชาติไทย เก็ตปะ”
จับใจความได้ โอเค อันนี้เก็ต
“แล้วพ่อกับแม่ปะกัน พ่อย้ายไปอยู่ อาเมลิกา แต่งงานใหม่กับแม่ฝรั่ง ข้อยถืกส่งมาเฮียน อยู่พุ้นตั้งแต่ประถม เคียกับมาหลิ้นมายามแม่อยู่ลาวเลื้อยๆ ตินปิดพากเฮียน จบจากมะหาวิทะยาไลแล้วก็เลียกับมาอยู่พี้มีหยังสงไสเบาะ (แล้วพ่อกับแม่ก็เลิกกัน พ่อย้ายไปทำงานอยู่อเมริกา แต่งงานใหม่กับแหม่ม ผมถูกส่งตัวไปเรียนที่นั่นตั้งแต่ประถม แวะมาเที่ยวหาแม่ที่ลาวบ่อยๆ ตอนปิดเทอม จบมหา’ลัยแล้วก็เลยกลับมาอีกที มีอะไรสงสัยอีกไหม)”
อันนี้ผมไม่ได้ถามแต่มันเล่าเอง ผมก็พยักหน้าเออๆ ออๆ ไป ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องของมันเลยสักนิด ขัดใจอยู่อย่างเดียวเท่านั้น...
เป็นแค่ลูกครึ่ง แต่สัญชาติไทย แถมอยู่กับคนไทยมากกว่าลาวอีก แล้วทำไมถึงไม่พูดไทยวะ ลูกค้าก็คนไทยเหอะ ให้กูแปลรัวๆ อยู่นั่น!
เอาเป็นว่าผมรู้แล้วกันว่าผมถูกคุณแอนย้อมแมวเข้าให้แล้ว
ผมบอกว่าอยากได้ไกด์คนลาวไม่ใช่เหรอ แล้วเอาไอ้กุ๊ยสัญชาติเดียวกับผมมาทำไม!
คุณแอนคงคิดว่าอะลุ่มอล่วยได้เพราะปั้นรักรู้จักถนนหนทางในลาวล่ะมั้ง แต่ผมเริ่มไม่โอเคละ เพราะผมรู้สึกว่าการให้บริการลูกค้าจะต้องมีความจริงใจแม้ว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ก็ตาม กะว่าวันนี้กลับไปแล้วจะไปโวยสักหน่อย ทว่าพอจะหันไปบอกปั้นรักให้กลับกันได้แล้ว มันก็ตรงไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดไว้อย่างรู้งาน ก่อนที่จะ...
แท่ก...แท่ก...
บรื้นๆๆ...บรื้...
รถดับไปต่อหน้าต่อตา ปั้นรักสตาร์ตอีกที...อีกที...แล้วก็อีกที...
...ไม่ติด
งานงอกแล้วกู!
งอกจริงๆ เพราะปั้นรักที่รู้ชาตะและมรณะของรถตัวเองร้องเรียกผมเป็นที่เรียบร้อยตะโกนบอกผม
“ย่างกับเอา ลดติดบ่ได้แล้ว (เดินกลับนะ รถสตาร์ตไม่ติดแล้ว)”
ใครจะเดินกลับกับมึง กูจะขึ้นสามล้อ!
แทบอยากจะทิ้งมันในตอนนี้เลย แต่ก็สงสาร ปนสมเพชและเวทนาไม่ได้ตอนเห็นมันเข็นรถเก่าๆ แถมสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมอะไรก้าๆ ของมัน
ทุเรศทุรังฉิบ...
เอาจริงๆ นะ ถ้าไม่ติดว่ามันโกนหนวด ตัดผมแล้วหน้าตาดี ผมจะไม่มีความเมตตากับมันเลยแม้แต่น้อย แต่พอเห็นเด็กนอกต้องมาตกระกำลำบากแล้ว ผมก็อดไม่ได้ที่จะตรงเข้าไปหา แล้วแย่งรถมาเข็นเอง
“ผมเข็นให้”
“โอ๊ย บ่ต้อง” มันปัดมือผมออก
ผมแย่งมาอีก “เข็นให้ คุณสะพายกระเป๋าคุณแล้วเดินตามก็พอ”
พอผมบอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ยอมหยุดต้านได้ พร้อมกับจุปากไล่หลังผมขณะที่ผมกำลังเข็นรถ
“สุภาพบุรุษแท้ เจนเทิลแมนล้ายหลาย”
มึงก็ยังจะมีหน้ามาเล่นอีก ไม่ตลกเลยนะเว้ย แล้วกูก็ไม่ได้มาทำให้มึงเพราะอยากจะเป็นสุภาพบุรุษอะไรด้วย แต่เห็นแล้วรำคาญสายตา
ทำไมผมซึ่งเป็นลูกค้าจะต้องมาเดือดร้อนทำอะไรแบบนี้ด้วยวะ ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ...
กว่าจะกลับมาถึงเกสต์เฮ้าส์ก็เล่นเอาผมเหงื่อท่วมตัว ดีนะที่ขากลับ ปั้นรักไปเจอคนใจดี ยอมถีบรถโดยการถีบที่พักเท้าคนซ้อนแล้วขี่มอเตอร์ไซค์ดันกลับมาให้ถึงที่ ส่วนผมก็ซ้อนท้ายคนใจดีคนนั้นแทน กลับมาถึงที่หมาย ผมก็เลยให้เงินเขาไปนิดหน่อย ปั้นรักบ่นว่าผมจะไปให้ทำไม พูดขอบคุณก็พอ บลาๆๆ
เออ ผมปวดหัวมาก ได้ยินเสียงมันแล้วปวดหัว แค่ได้ยินชื่อมันก็ยังปวดหัวเลย ความหล่อ ความหน้าตาดีของมันไม่ได้ช่วยให้ผมรู้สึกได้รับการเยียวยาเลยแม้แต่น้อย อยากจะกลับขึ้นห้องไปนอนท่าเดียว
ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรงของผมทำเอาคุณแอนที่ตั้งท่าจะถามว่าวันนี้ไปเที่ยวมาเป็นยังไงบ้างถึงกับชะงัก ไม่กล้าถาม ยอมปล่อยให้ผมเดินสวนขึ้นไปพักบนห้องโดยไม่รั้งไว้แต่อย่างใด
ผมก็หวังว่าจะได้พักโดยสงบแหละ แต่พอนั่งพักจนหายเหนื่อย เตรียมตัวจะไปอาบน้ำแล้ว เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับปั้นรักที่ยืนทำหน้าเบื่อหน่ายอยู่หน้าประตู ดูท่าทางแล้วมันก็คงจะเหนื่อยเหมือนกัน สภาพดูเหมือนกับว่าถ้าหัวถึงหมอนปุ๊บ มันคงชัตดาวน์ตัวเองปั๊บ ผมถึงกับทำสีหน้าแบบเดียวกับมันส่งกลับคืนทันที
“มีอะไรเหรอครับ”
“แม่ให้มาถามว่าตอนชิกินเข้ากับหยัง (แม่ให้มาถามว่าเย็นนี้จะกินอะไร)”
มื้อเย็น... แต่มื้อเย็นที่นี่ไม่ฟรีนี่
พอเห็นผมทำหน้างงๆ ปั้นรักก็พ่นลมหายใจแล้วอธิบายออกมา
“แม่อยากจะชดใช้ให้คุณที่ผมพาคุณไปรถเสียระหว่างทาง”
อ๋อ เรื่องนี้...
“ฝากบอกคุณแอนทีว่าผมไม่กิน ผมจะนอน”
ผมตัดบท ไม่อยากกิน อยากจะนอนจริงๆ จำเป็นต้องเสียมารยาทแล้วล่ะด้วยร่างกายไม่ไหวจะเยียวยา
แล้วแทนที่ปั้นรักจะหยุดแค่นั้น ดันชักสีหน้าใส่แล้วว่าเร็วๆ
“ถามนิกาฮีบตอบละแมะ จังแม่นหลายเลื่อง คนบ่กินจิ่งว่ากันใหม่แม่อยาดชดเชียให้ เอามาวางถ้อมตากแอให้แมงสาบกินกะแล้วแต่ ฮีบสั่งมา (ถามก็ตอบๆ มาเถอะนะ คุณนี่เรื่องมากชะมัดเลย ถ้าไม่กิน เดี๋ยวแม่ก็หาว่าผมโกหกอีก สั่งๆ มาเถอะ แล้วจะไม่กินก็ค่อยว่ากันทีหลังก็ได้ แม่เขาอยากจะชดใช้ให้ เอามาวางทิ้งตากแอร์ให้แมลงสาบเกาะก็ตามใจ สั่งมาเถอะ)”
ว่าเร็วมาก เร็วชนิดฟังไม่ทัน อารมณ์รำคาญมาเต็มที่สุดๆ ผมที่อยู่ในสภาพร่างกายเหน็ดเหนื่อยก็นึกรำคาญขึ้นมาเหมือนกัน
มันใช่เรื่องที่กูต้องมาแปลทุกคำที่มึงพูดไหมเนี่ย!
“ลูกค้าเป็นคนไทยเนี่ย พูดไทยสิ”
บ่นซะเลย รำคาญ นึกว่ากูฟังรู้เรื่องหรือไงวะ ถึงภาษาจะเป็นตระกูลเดียวกัน คล้ายกัน แต่มาพ่นรัวๆ ไม่หยุด แถมเร็วไป Fast & Furious ก็ฟังไม่ทันเหมือนกันว่ามึงพูดอะไร
ทว่าการที่ผมพูดไปอย่างนั้น แทนที่ปั้นรักจะตอบอะไรกลับมา กลับมีเพียงสายตาหงุดหงิดเท่านั้นที่ส่งให้ผม ผมเลยกลอกตา พูดกับมันไปอีกครั้ง
“เว้าไทยได้บ่ ภาษาไทยเนี่ย เฮาฟังลาวบ่ค่อยฮู้เรื่อง ฟังไม่ทัน” พูดไทยๆ ลาวๆ ปนกันไป ประชดมันแม่ง
ปั้นรักชำเลืองมองผม ก่อนจะถอนหายใจออกมาเต็มแรง
“โง่แท้ โง่ล้ายหลาย”
มึงนี่มันกวนตีน อันนี้กูฟังออกทุกคำเลยนะเว้ย!
ผมสงบจิตสงบใจไม่ให้พุ่งไปต่อยมันอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะถามมันออกไปอีกครั้ง
“ถ้าไม่อยากพูดไทย งั้นก็พูดภาษาอังกฤษแล้วกัน โอเคไหม”
“...”
ยัง มันยังเงียบอยู่ เหลือบมองผมด้วยสายตาเหยียดๆ อีกต่างหาก ก็คงจะรู้แหละว่าภาษาอังกฤษผมไม่ค่อยแข็งแรง ผมไม่ค่อยได้ใช้นี่หว่า เรียนจบมาแล้วก็ไม่ได้แตะเลยเถอะ พอพูดได้ก็บุญแล้ว
แต่ถึงจะไม่สันทัด ผมก็ยังพูด ดีกว่าให้มันมาพูดลาวใส่แหละวะ ไม่ใช่เพราะว่าฟังภาษาลาวตอนมันพูดเร็วๆ ไม่ทันนะ แต่หมั่นไส้มันมากกว่า อารมณ์แบบว่าอยากเอาชนะน่ะ ก็ผมเป็นคนจ้างมัน แล้วดูมันทำตัวสิ อย่างกับผมง้อมันให้มันมาเป็นไกด์ให้นักแหละ
“แคนยูสปีคอิงลิช? อีฟยูแคนสปีคอิงลิช พลีสเล็ทสปีค (พูดภาษาอังกฤษได้ไหม ถ้าพูดได้ก็พูด)”
เท่านั้น ผมก็พ่นภาษาอังกฤษสำเนียงไท้ไทยออกมาเลย ตะกุกตะกักนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะดูจากท่าทางแล้ว ไอ้ปั้นรักมันก็ไม่น่าจะพูดได้ดีไปกว่าผมสักเท่าไหร่ ไอ้ที่พูดกับฝรั่งไปตอนนั้นที่ผมเห็นก็คงจะมั่วไปงั้น
ก็ดูสภาพมัน หน้าตาดีก็จริง แต่ดูเหมือนไม่มีการศึกษา แว้นขนาดนี้ คงได้งูๆ ปลาๆ แหละ
ทว่าผมคิดผิดอย่างแรงเมื่อมันยกยิ้มใส่ผม ก่อนจะพ่นภาษาอังกฤษออกมาเป็นประโยคยาวเหยียด
“What would you like to eat for dinner? Just tell me, I’ll tell a receptionist to prepare for you.(มื้อเย็นจะกินอะไร บอกมา จะได้บอกให้พนักงานให้เตรียมให้)”
ไม่ใช่ภาษาอังกฤษธรรมดา แต่เป็นภาษาอังกฤษสำเนียงอเมริกันชัดเป๊ะประหนึ่งเจ้าของภาษามาพูดเอง
ผมอ้าปากค้างไปเลย แล้วถามว่าฟังออกไหม... ไม่
มึงพูดเร็วขนาดนี้ ใครจะไปฟังมึงออกวะ แล้วทำไมมึงไม่เคยบอกว่าพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนฝรั่งขนาดนี้!
เห็นหน้าอึ้งๆ ของผมแล้ว ปั้นรักก็แสยะยิ้มเย้ยขึ้นมา ก่อนพึมพำ
“You idiot (ไอ้โง่)”
ส่วนอันนี้กูฟังออกเว้ย!
กระทืบแม่งสักทีดีมั้งไอ้เวรนี่...
หงุดหงิดขั้นสุด มาหงุดหงิดตัวเองด้วยที่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามันก็บอกไปแล้วว่าไปเรียนที่อเมริกาตั้งแต่ประถม พูดได้คล่องปรื๋ออย่างนี้ก็ไม่แปลก
โง่อย่างที่ถูกมันตราหน้าไว้จริงๆ ด้วย...
ต้องเงียบเพื่อยอมมันแล้ว แต่พอเห็นผมเงียบหน่อย มันก็ได้ใจ แสยะยิ้มขึ้นมา
“ตกลงคุณจะกินอะไร ผมจะได้ไปบอกพนักงานให้”
เนี่ย พูดไทยก็ได้ ชัดแจ๋วเลยเถอะ แกล้งทำเป็นไม่พูดไปงั้นเองอะ
“อะไรก็ได้ครับ เลือกให้ผมที คุณกินอะไร ผมก็กินอันนั้นแหละ” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องยอมมันไปอีกครั้ง
ปั้นรักพยักหน้า ทำหน้าระอาใส่ผมก่อนจะเดินจากไป ปล่อยให้ผมมองตามหลังมันอย่างเหนื่อยอ่อน
ถ้าเจอมันทุกวันแล้วต้องมาปวดหัวแบบนี้ ผมว่าผมย้ายที่พักจะดีไหมนะ...
หล่อ แถมน่ารักทั้งชื่อทั้งหน้าตา แต่นิสัยนี่น่ากระทืบ อยู่ด้วยกันนานๆ มีหวังประสาทกินแน่ๆ
