บท
ตั้งค่า

สะบายดี ครั้งที่ 2: น่ารัก...น่ากระทืบ[2/1]

ยังทำใจเรื่องได้ไกด์ไม่สมประกอบมาไม่ได้ วันนี้ผมก็เลยตัดสินใจยังไม่ไปเที่ยว แต่คุณแอนก็ดันคะยั้นคะยอให้ผมไปเที่ยวกับลูกชายตัวเองอยู่นั่น

ใช่ครับ พูดไม่ผิด เขาคะยั้นคะยอผมแกมขอร้องให้ไปเที่ยวกับปั้นรักเพราะเธอไม่อยากให้มันมานั่งๆ นอนๆ เดินหัวฟูเคราเฟิ้มร่อนไปร่อนมาอยู่ในเกสต์เฮ้าส์ให้เป็นที่รำคาญสายตาของแขก

อันนี้ผมไม่ได้พูดเองนะ คุณแอนเป็นคนพูดเองเลยเถอะ ตอนผมลงมากินข้าวเช้าก็พอเข้าใจว่าเพราะอะไร เธอถึงไม่อยากให้มันอยู่ ก็ดูสภาพมันสิ โอ้โห หัวฟู เคราเฟิ้มไม่พอ นี่แม่งใส่เสื้อกล้าม นุ่งผ้าขาวม้าเดินโทงๆ ไปมาในเกสต์เฮ้าส์แม่ตัวเองชนิดไม่เกรงใจแขก เห็นสภาพมันอย่างนั้น ผมก็ว่าสะอิดสะเอียนแล้วนะ น้ำท่าก็ไม่อาบ ฟันฟางแปรงหรือยังก็ไม่รู้ เที่ยวทักแขกไปทั่ว อะไรไม่ว่า แม่งมานั่งตรงโต๊ะถัดไปจากผม หันหน้าเข้าหา จิบกาแฟกับอาหารเช้าแบบอเมริกันเบรกฟาสต์ อ่านอะไรไม่รู้ในโทรศัพท์ไปด้วย ถ้ามันนั่งอ่านดีๆ ผมจะไม่ว่าเลย จู่ๆ ยกขาขึ้นมาวางบนเก้าอี้ข้างนึง จังหวะเดียวกับที่ผมเหลือบตาไปมองทันที

ไข่แล่บ!

โอ้โหไอ้ปั้นรัก! กูจะอ้วก มึงให้เกียรติไข่ดาวในจานกูหน่อยเถอะ!

โยนช้อนส้อมทิ้งทันที ไม่กงไม่กินต่อมันละ ความจริงมันก็ไม่ได้เห็นอะไรอย่างที่ผมอุทานหรอก มันใส่กางเกงบ็อกเซอร์ไว้ข้างใน แต่คือเข้าใจไหม คนกำลังกินข้าวอะ แล้วมาเห็นอะไรแบบนี้ตอนกำลังจะตักไข่ดาวเข้าปาก คิดว่าผมจะกินต่อลงเหรอ

รีบขึ้นห้องมาล้างหน้าล้างตาเพื่อลบภาพอุบาทว์ของมันแทบไม่ทัน

ทำไมต้องมาเห็นอะไรแบบนี้แต่เช้าด้วยวะ ถึงจะเป็นเกย์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะโอเคกับการได้เห็นอะไรแบบนี้นะเว้ย ผมก็เลือกดูเหมือนกัน

ปวดหัวหนึบกว่าเดิมด้วยหลังจากที่ผมตัดใจทิ้งอาหารเช้าของเกสต์เฮ้าส์ คุณแอนก็ขึ้นมาคุย แล้วเนื้อหาก็เป็นอย่างที่ผมบอกในตอนแรก

แล้วทำไมกูต้องไปกับมันวะ คนตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่ไปคือลูกค้าไม่ใช่เหรอ?

“นะคะคุณดื้อ ฉันไม่อยากให้ปั้นนั่งว่างๆ เฉยๆ น่ะค่ะ”

“ผมก็เห็นเขาต้อนรับแขกดีนี่” ผมพยายามจะบอกปัด

คุณแอนยู่หน้า “แต่ต้อนรับในสภาพแบบนั้น ฉันว่ามันไม่โอเคน่ะค่ะ”

ไม่โอเคก็ไปบอกลูกตัวเองโน่น มาบอกผมทำไมก็ไม่รู้ ผมก็อยากจะปฏิเสธอยู่หรอก แต่พอคุณแอนเล่นบทดาวพระศุกร์ มีความดราม่าในชีวิตปุ๊บ...

“คุณเป็นคนแรกและคนเดียวเลยนะคะที่ลูกชายฉันจะได้ลองงานด้วย ถ้าไม่ได้คุณดื้อก็คงไม่มีแขกคนอื่นอยากได้ไปเป็นไกด์แล้วล่ะค่ะ เจ้าปั้นมันก็ดื้อขนาดนี้ ส่งไปอยู่เมืองนอกกับพ่อ เรียนจบแล้วก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน กลับมาก็ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันอีก ฉันล่ะกลุ้มใจ เป็นลูกคนเดียวแท้ๆ”

เนี่ย... ผมก็เลยรู้สึกผิดทันที เหมือนเป็นคนบาปที่ทำให้ชีวิตเด็กจบใหม่พังพินาศยังไงก็ไม่รู้

“ได้ครับ ผมไปก็ได้” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องตกปากรับคำไป

คุณแอนมีสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที “งั้นเดี๋ยวฉันไปบอกปั้นให้เตรียมพร้อมนะคะ อยากไปที่ไหนก็บอกปั้นนะ”

จากนั้นก็ทำท่าจะลงไปชั้นล่าง ผมนึกอะไรขึ้นมาได้ก็เลยรีบร้องเรียกไว้ก่อน

“เอ้อ คุณแอนครับ ผมอยากจะขออะไรเรื่องนึง”

“คะ?”

“บอกมัน...ผมหมายถึงปั้นรักน่ะครับ บอกให้โกนหนวดโกนเคราที ผมไม่ค่อยชอบน่ะ มันดู...”

“สกปรก” อันนี้คุณแอนเสริมให้อย่างรู้ทัน

ผมไม่รู้จะตอบยังไงก็เลยพยักหน้าไป

“งั้นเดี๋ยวจะบอกให้ตัดผมด้วยแล้วกันนะคะ”

ออกปากเองอย่างนี้ ผมก็พยักหน้ารับไปสิ พอผมพยักหน้าปุ๊บ คุณแอนก็บ่นพึมพำ

“บักนิบอกให้ตัดผมกะบ่รู้จักตัด หนวดกะจงหลายแท้หลายว่า จนได้ให้ลูกค้าเว้าให้เนาะ" (ไอ้ลูกคนนี้ บอกให้ตัดผมตัดเผ้าก็ไม่ยอมตัด ดูซิ เคราก็ไว้ซะรกไปหมด ต้องให้ลูกค้ามาบ่น)”

ผมก็ฟังไม่ทันหรอกว่าเธอบ่นอะไร แต่พอจะจับใจความได้ว่าเป็นเรื่องที่ผมบอกเมื่อกี้ ปั้นรักคงจะหงุดหงิดไม่น้อยทีเดียวถ้ารู้ว่าผมเป็นต้นเหตุที่ทำให้มันต้องโดนแม่ตัวเองบ่น แต่ช่างเถอะ ผมไม่อยากจะไปเที่ยวกับไกด์ที่มีสภาพไม่ต่างอะไรจากคนป่าหรอกนะ

และพอผมรีเควสไปอย่างนั้น อีกไม่กี่ชั่วโมงให้หลัง คุณแอนก็ให้เด็กมาตามผมที่ห้องเพื่อไปรอปั้นรัก ผมเลยเตรียมตัวลงไปที่ล็อบบี้ ระหว่างที่ผมนั่งรออยู่นั้น จู่ๆ สายตาก็สะดุดเข้าให้กับผู้ชายคนหนึ่งที่เดินเข้ามาข้างในด้วยสีหน้าเรียบเฉย ประเมินจากสายตาแล้วน่าจะอายุราวๆ ยี่สิบต้นๆ แต่อะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับการที่สายตาผมจับจ้องไปยังใบหน้าของผู้ชายคนนั้นไม่หยุด

โคตร...น่ารัก

เออ ไม่ได้น่ารักแบบหน่อมแน้มตัวเล็กอะไรแบบนั้น พูดตรงๆ ก็คือเขาหล่อ รูปร่างสูงโปร่ง ผิวสองสีเรียบเนียน แต่งตัวทันสมัยเหมือนหลุดมาจากนิตยสาร ยิ่งเอาแว่นตาดำมาคาดผมหน้าให้เสยขึ้นอย่างนั้นนะ โคตรมีเสน่ห์เลย เล่นเอาผมมองไม่วางตาเลยล่ะ

มองสักพักก็เหมือนผู้ชายคนนั้นจะรู้ตัว มองผมกลับบ้าง ผมเลยส่งยิ้มให้ แต่เขาไม่ยิ้มตอบ เดินเข้ามาหาแทน เดินมาอย่างเดียวไม่พอ ทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ข้างๆ ทำเอาผมถึงกับชะงัก

อย่าบอกนะว่าที่ส่งสายตาให้เมื่อกี้นี้จะทำให้รู้ตัวแล้วว่าผมเป็นเกย์?

หรือว่าเขาก็เป็นเกย์เหมือนกัน?

ถ้าเป็นอย่างนั้น แสดงว่าเรดาห์ดีมากเลยนะ ผมไม่ได้แสดงท่าทางอะไรออกมาให้เห็นเลยสักนิด

หากแต่ผมคิดผิดเมื่อพอผมหันไปมอง ตั้งท่าจะทักเฮลโหลสักคำ เผื่อว่าจะเป็นคนชาติอื่นที่ไม่ใช่ไทยหรือลาว อีกฝ่ายก็พูดออกมาก่อน

“เบิ่งหยัง (มองอะไร)”

เอ๊ะ ภาษาลาว

“เบิ่งจั๋งซี่คึดหยังอยู่ สายตาหื่นคัก (มองอย่างนี้คิดอะไรอยู่ สายตานี่หื่นซะ)”

ต่ออีกประโยค...

สำนวนอย่างนี้มันคุ้นๆ แฮะ

“เอ้า! ยังเบิ้งอีก เดี๋ยวกะจกตาบอดสะและชิไปหลิ้นใสใสกาฮีบบอกมา ลำลิลำไลเป็นตาชังหลาย (เอ้าๆ ยังจะมองอยู่อีก เดี๋ยวจิ้มตาบอด จะไปเที่ยวไหนก็รีบบอกมา พิรี้พิไรน่ารำคาญ”

ไอ้นี่มัน...ปั้นรักนี่หว่า!

ไม่ต้องแนะนำตัว ไม่ต้องเอ่ยชื่อ ไม่ต้องให้ใครบอก ผมก็รู้ได้เองเลยจากสำนวนการพูดของมันเนี่ย

มึงนี่มันเงาะถอดรูปชัดๆ เลย!

ผมเผลออ้าปากมองมันตาค้าง มันดูหงุดหงิดขึ้นมาทันควัน ก่อนจะเอานิ้วมาแหย่ปากผมหน้าตาเฉย

“แมงหวี่บินเข้าชะแว้บ”

“เฮ้ย ทำไรเนี่ย” รู้สึกตัวปุ๊บ ผมก็ปัดมือมันทิ้ง

ปั้นรักเอามือที่แหย่ปากผมเมื่อกี้ขึ้นมาดู น่าจะมีน้ำลายผมติดอยู่นิดหน่อย มันก็เลยเอามาเช็ดกับกางเกง...ผม

มึงนี่มัน...

เห็นแล้วเส้นเลือดที่ขมับก็เต้นตุ้บๆ เลย ขณะที่มันเช็ดเสร็จก็พูดหน้าตาเฉย

“เห็นอ้าปากค้างเป็นตาชังกะเลียจกเบิ่งดุ (เห็นอ้าปากหวอ หมั่นไส้เลยจกสักที)”

แต่มึงจะมาเอานิ้วจกเข้าปากลูกค้าไม่ได้นะเว้ย!

ผมไม่อยากจะอะไรนักหรอก เห็นคุณแอนบอกว่ามันไปอยู่เมืองนอกมา การวางตัวในสังคมตะวันตกคงจะแตกต่างจากสังคมในประเทศละแวกนี้ ผมเลยไม่ได้ใส่ใจนัก ว่าออกมานิ่งๆ

“โกนหนวดโกนเคราออกแล้วดูดีขึ้นนะ ทรงผมก็ด้วย” ชมมันไปหน่อย หวังจะผูกสัมพันธ์อันดีงาม

หากแต่ปั้นรักไม่ได้ขอบคุณหรือยิ้มรับเลยแม้แต่น้อย ผมชมเสร็จปุ๊บ มันก็จ้องหน้าผมแล้วเบ้ปาก

“บาดโตเองละจงหนวดจงเคาได้บาดคนอื่นและเว้าให้ว่าสกปรกแนวนั้นแนวนิ คิดว่าโตเองเป็นอะนันดาหวา (ทีตัวเองไว้หนวดเคราได้ ทีคนอื่นล่ะหาว่าสกปรก คิดว่าตัวเองเป็นอนันดาหรือไง)” มันค่อนแคะ “อะนันดาผีบ้าหยังเล็บตีนอะนันดากะว่าแด่ (อนันดาบ้าบอคอแตกอะไร เล็บขบอนันดาก็ว่าไปอย่าง)”

มันพูดเร็วเป็นไฟเลย แต่ผมว่าผมฟังมันออกนะ

ฟังออกชัดเจนด้วยว่ามึงว่ากูเป็นเล็บขบอนันดาเนี่ย! ต่อยปากสักทีดีไหม!

คิดภาพ อนันดา เอเวอร์ริ่งแฮม พระเอกที่ผมโตมากับหนังของเขาขึ้นมาทันที ก่อนจะตัดภาพไปที่เล็บขบหัวแม่โป้งเท้า

ทำไมมันถึงได้เปรียบเทียบอะไรได้อุบาทว์ขนาดนี้

ผมถึงกับยกมือขึ้นลูบเคราอ่อนๆ ที่ปลายคางตัวเอง ก่อนที่ปั้นรักซึ่งมองผมด้วยสายตาเหยียดหยามจะเปิดปากพูดอีกครั้ง

“และบาดนี้ชิไปหลิ้นไส (แล้วนี่อยากไปเที่ยวไหน)”

ผมนิ่งคิดไปแป๊บ

“ที่ไหนก็ได้”

กะตามใจมันไง บอกตรงๆ ว่าไม่อยากทะเลาะกับคนบ้าอย่างมันเลย หากแต่ปั้นรักไม่พอใจ ผมตอบไปอย่างนั้นมันก็พึมพำ

“โอ้ย! ละชิฮู้บ่นิว่าอยากไปไส (โอ๊ย แล้วจะไปรู้ไหมว่าจะไปไหน)”

มึงเป็นไกด์ มึงยังไม่รู้เลยว่าจะพาลูกค้าไปเที่ยวไหน แล้วกูจะไปรู้ไหม แถวนี้กูก็ไปมาหมดแล้วเนี่ย!

“แม่นิเนาะ จักให้มาเฮ็ดเวียกอีหยัง(แม่นะแม่ ให้มารับงานอะไรวะเนี่ย)” มันยังคงบ่นอยู่ ตอนนี้บ่นลามไปยังคุณแอนแล้วด้วย

ผมสูดหายใจเข้าปอดลึกๆ นับหนึ่งถึงสิบเพื่อให้ใจเย็น ก่อนจะว่าออกมา

“เอางี้ ถ้าไม่อยากไป ก็ไม่ต้องไป ผมขึ้นไปนอนบนห้องก็ได้”

พูดจบก็ทำท่าจะลุก กะตัดปัญหาไปเลยให้สิ้นเรื่อง ไม่ไปมันละ จะไม่จ้างมันด้วย

ทว่าพอลุกปุ๊บ ปั้นรักก็คว้าข้อมือผมปั๊บ

“ถ้าบ่ไปแม่กะบ่ให้เงินใช้ละเบาะ (ถ้าไม่ไป แม่ก็ไม่ให้เงินผมน่ะสิ)”

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผมล่ะ” ผมย้อนถาม

ปั้นรักชักสีหน้า “เว้าแปลกๆ หัวหน้ากะต้องให้เงินลูกน้องตอนเฮ็ดเวียก เจ้าบ่ไป และเฮาซิได้เงินได้แนวใด (พูดแปลกๆ นายจ้างก็ต้องให้เงินลูกจ้างตอนที่ทำงานสิ คุณไม่ไป แล้วผมจะได้ค่าจ้างยังไง)”

ผมนิ่งไปครู่เพื่อแปลภาษา ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ อีกครั้ง

โอเค เข้าใจแล้ว ที่มันยอมมาทำหน้าที่ไกด์ให้ผมวันนี้ก็เพราะว่ามันอยากได้เงินจากแม่มันล่ะสินะ เห็นแก่ความลงทุนของมันที่อุตส่าห์ไปตัดผม โกนหนวดเคราะตามคำขอของผม ผมจะยอมเออออไปกับมันก็ได้

“และตกลงอยากไปหลิ้นบ่อนใด (ตกลงอยากไปเที่ยวไหน)” มันถามมาอีกแล้ว

“แถวในเวียงจันทน์ก็แล้วกันครับ เอาพวกแลนด์มาร์กก็ได้ ผมยังไปไม่ทั่วเลย”

บอกไปอย่างนั้น ปั้นรักก็พยักหน้ารับ รีบบอกผมอย่างรวดเร็ว

“โอเค คันชิชั้นไปเมี้ยนเคื่องก่อนแป๊บหนึ่ง (โอเค งั้นเดี๋ยวไปเตรียมข้าวของแป๊บ)”

พูดจบ มันก็ลุกจากที่นั่งไป ปล่อยให้ผมยืนรออยู่อย่างนั้น ก่อนที่มันจะกลับมาพร้อมกับ...กระเป๋ากระสอบสายรุ้ง

มึงจะเอาถุงกระสอบใส่เสื้อผ้ามาทำบ้าอะไร!

ใบบักเอ้กเหมือนวันที่ผมเจอมันครั้งแรกเลย แล้วมันก็ไม่สนสายตาผมที่มองมันอยู่ด้วยนะ เดินผ่านหน้าผมไป พอเห็นผมไม่เดินตามก็หยุดเดิน หันมาพยักหน้าใส่หน้าตาเฉย

“เอ้าเบิ่งหยังอีก ย่างมาละแมะ (เอ้า มองอะไรอยู่ได้ เดินตามมาดิ)”

ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่ว่านะ... กูจะให้มึงไปแต่งตัวดีๆ มาทำไมในเมื่อมึงยังจะหอบกระเป๋าพะรุงพะรังเป็นคนบ้าอยู่อย่างนี้เนี่ย!

แน่นอนว่าผมไม่ยอมให้มันแบกถุงกระสอบสายรุ้งไปอย่างแน่นอน ชี้นิ้วไปที่กระเป๋ามันเป็นพัลวัน พอเห็นมันเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม ผมเลยเอ่ยปาก

“นั่นน่ะ จะแบกไปจริงๆ เหรอ”

ใช้คำว่าแบกเลย ใบใหญ่มากจริงๆ

ปั้นรักพยักหน้ารับ “อือ ทำไม”

ยังจะมีหน้ามาถามอีก มึงจะเอาไปทำไม พากูนำเที่ยวนะเว้ย ไม่ได้ย้ายบ้าน!

“ผมว่าคุณเอาเฉพาะของที่จำเป็นไปดีไหม หอบไปเยอะเป็นกระสอบอย่างนี้ ผมว่ามันล่อตาล่อใจพวกวิ่งราวนะ”

ทำเป็นพูดเหมือนเป็นห่วงมันไปงั้นแหละ ถุงกระสอบสำเพ็งอย่างนั้น ใครมันจะไปวิ่งราววะ

หากแต่พอผมพูดไปอย่างนั้น ปั้นรักก็ทำสีหน้าไม่พอใจใส่ผมทันที ก่อนจะโวยวายลั่น

“เปาผีบ้าหยัง อันนิมันกะเป๋า BALENCIAGABALENCIAGA ลุ้น BARZAR SHOPPER ไซด์ M ราคาพันห้าร้อยซาวดอลลาร์พุ้นนะ ฮู้จักอยู่หวานิ (กระสอบบ้าอะไร นี่มันกระเป๋า BALENCIAGA รุ่น BARZAR SHOPPER ไซส์ M ราคาหนึ่งพันห้าร้อยยี่สิบดอลลาร์ต่างหาก รู้จักไหมเนี่ย)”

พูดภาษาลาวปนอังกฤษออกมารัวๆ ยอมรับว่าผมฟังไม่ทันเลย จับใจความได้เพียงประโยคท้ายเลยส่ายหน้าไป มันเลยกระแทกเสียงออกมา

“โอ้ย! จังแม่นบ้านนอก (โว้ย บ้านนอกแท้)”

การที่กูไม่รู้จักกระเป๋าแบรนด์เนมที่มึงบอกมันผิดหรือไง แล้วมันดูเป็นของแบรนด์เนมตรงไหนไม่ทราบ มองยังไงก็ถุงกระสอบสำเพ็ง!

แต่ผมไม่เถียงกับมันหรอก มันก็คงไม่อยากจะเถียงกับผมด้วย พอพูดจบ มันก็หยุดกระฟัดกระเฟียด ร้องเรียกผมให้เดินไปยังหน้าเกสต์เฮ้าส์

“มาชวนลมแนวไร้สาระ อยู่มาได้แล้วจักหน้อยมันชิคํ่าก่อนนิ (มัวมาชวนคุยอะไรไร้สาระอยู่ได้ มาได้แล้ว เดี๋ยวก็เย็นก่อนหรอก)”

ผมไม่ตอบโต้ใดๆ เดินตามไปยังข้างหน้าเกสต์เฮ้าส์ ก่อนที่จะต้องขมวดคิ้วอีกเป็นรอบที่เท่าไหร่ของวันแล้วก็ไม่รู้เมื่อเห็นว่ามันเดินตรงไปยังลานจอดรถ

ใช่ ลานจอดรถ...แต่เป็นรถมอเตอร์ไซค์

แต่งตัวเหมือนนายแบบ สะพายกระเป๋ากระสอบสายรุ้งแล้วเดินไปขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อ Yamaha Mate

ความไม่สัมพันธ์กันแม้แต่อย่างเดียวนี่มันคืออะไรวะ...

ยังไม่ทันจะได้พูดอะไรเลย ปั้นรักก็สตาร์ตรถมอเตอร์ไซค์ก่อนที่มันจะดังปุเลงๆ บอกอายุการใช้งานให้ผมได้รู้สึกไม่มั่นใจแม้แต่น้อยว่ามันจะไม่ไปดับกลางทาง จากนั้นก็หันมาเรียกผมอีก

“เบิ่งอยู่หั้นและ ฮีบมา(มองอะไรอยู่ได้ มาเร็ว)”

ก็อยากจะไปอยู่หรอก แต่มึงแน่ใจเหรอว่ากูจะไม่ต้องเข็นกลับ?

ต่อให้มันบอกมั่นใจ ผมก็ไม่อยากจะเสี่ยง แทนที่จะได้เดินเที่ยวแบบสบายๆ กลายเป็นว่าต้องมาเข็นรถมันด้วย แบบนี้ผมไม่เอาหรอกนะ

แต่พอผมไม่ขึ้น มันก็ร้องเร่งมาอีก

“เอ้า! ไวๆ แด่แมะ (เอ้า เร็วสิ)”

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel