Chapter 3 เสียสละตักอุ่นๆ ให้หนุนแทนหมอน
เพลินวานมองตามอย่างที่ชายหนุ่มบอก พอตั้งสติได้ เธอก็ได้เห็นว่าทุกอย่างเป็นอย่างที่เขาพูด ที่กั้นระหว่างที่นั่งถูกยกขึ้น ตัวของเธอเกือบครึ่งเกยอยู่บนตัวของเขา เบียดเจ้าของที่นั่งจนไม่เหลือพื้นที่
“หืม...” เขาส่งเสียงผ่านลำคอออกมาเหมือนถามย้ำและรอฟังคำตอบจากเธอ
“เอ่อ...” เมื่อรู้ว่าตัวเองผิดเต็มประตูหญิงสาวก็พูดไม่ออก อ้อมแอ้มในลำคอและก้มหน้าลงด้วยความอาย แก้มสีซีดของเธอเริ่มซับเลือดฝาดและแดงขึ้นเรื่อยๆ เพลินวานก้มหน้าลงมองพื้นพรมราวกับว่ามันเป็นภาพวาดจากจิตกรเอก ถ้าเป็นไปได้ตอนนี้เธอแทบอยากเอาหน้าซุกเข้าไปในจอข้างหน้าหนีอายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยด้วยซ้ำ
ชายหนุ่มอมยิ้มมองคนที่นิ่งเถียงไม่ทัน พอเธอเหลือบเห็นรอยยิ้มของเขา หญิงสาวก็เดือดขึ้นมาอีกรอบ เธอเกลียดรอยยิ้มหยามหยันอย่างนี้เป็นที่สุด
“ทำไมไม่ตอบล่ะ” ชายหนุ่มถามย้ำอีกรอบ
“แล้วทำไมนายไม่ปลุกฉันละ” เพลินวานแย้งอย่างหงุดหงิด ความผิดของตัวเองก็อายมากพอ เธอต้องสบตากับดวงตาคู่คมที่แฝงไปด้วยความเย้ยหยันนั้นอีก
“อ้าว...ผิดอีก! ทำคุณบูชาโทษอีกแล้ว ไอ้เราก็เห็นว่านอนสบาย อุตส่าห์เสียสละตักอุ่นๆ ให้เป็นหมอนหนุนแล้วยังให้กอดฟรีแทนหมอนข้างอีก ผมไม่ทวงบุญคุณก็ดีถมไปแล้วนะ นี่ก็เป็นตะคริวทั้งตัวแต่ก็ยังไม่ปริปากบ่น คำขอบคุณสักคำก็ไม่มีละ… ตื่นขึ้นมาก็โวยวายซะลั่น ต่อว่าปาวๆ ยังกับโดนพรากพรหมจรรย์บนเครื่องบิน”
“อี้! ปากหรือนั่น!”
เพลินวานพูดได้แค่นั้นก็ต้องสะบัดหลบหน้าออกไปนอกหน้าต่างหนีอาย เถียงเขาไม่ทัน ผู้ชายอะไรทั้งปากร้าย และปากจัดยังกับมีวิญญาณเกย์แฝงอยู่ในร่าง ยิ่งพูดต่อความยาวสาวความยืดเธอก็ยิ่งจะได้อายมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่านัก
หญิงสาวหันหน้าหลบสายตาเขาออกไปมองท้องฟ้านอกหน้าต่าง
ชายหนุ่มส่ายหน้าหัวเราะขำกับอาการเถียงไม่ทันของหญิงสาว หันหน้ากลับไปสนใจกับกล้องคู่ใจตัวโปรด เขาหยิบมันขึ้นมา ไล้นิ้วหนาเลื่อนเปิดดูภาพถ่ายที่เขาบันทึกไว้นับร้อยภาพด้วยสายตาเปี่ยมด้วยความสุข
ชายหนุ่มถามตัวเองในใจ ‘ทำไมเขาต้องถ่ายรูปเธอเอาไว้ด้วยนะ’
อย่างน้อยการถูกเรียกตัวกลับบ้านด่วนครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายมากนักสำหรับเขา ทั้งที่จำยอมกลับหลังจากที่เขายื้อเวลากับพี่สาวทำงานที่อเมริกามาหลายปี
จากที่ตอนแรกเขากะว่าจะยื้อต่อเที่ยวให้ครบสิบประเทศเสียก่อน นี่เพิ่งจะผ่านมาได้แค่โรมกับปารีส เขาก็โดนคำสั่งประกาศิตเด็ดขาดจากพี่สาวสุดที่รักให้ต้องจับเครื่องบินด่วนจากปารีสกลับไทย
ชายหนุ่มนั่งดูภาพท่องเที่ยวของตัวเอง พลางคิดคนเดียวเพลินๆ จนเครื่องแตะรันเวย์ แต่พอละสายตาขึ้นจากกล้องในมือก็ตอนที่ผู้โดยสารที่นั่งอยู่ด้านในสะกิดเรียกขอทางเดินเพื่อออก หันไปมองข้างๆ เขาก็ไม่เจอเจ้าของร่างอ้อนแอ้นที่นอนซบอกเขามาหลายชั่วโมงแล้ว
“ไปเร็ว เคลมเร็วจริงๆ นะแม่สาวขี้เซาขาดความอบอุ่น”
ชายหนุ่มคล้องสายกล้องข้ามศีรษะก้มลงหยิบกระเป๋ากล้องเดินออกจากงวงไป ชายหนุ่มกดชัตเตอร์ระหว่างทางเก็บภาพไปด้วย เพราะเขาเป็นคนชอบถ่ายภาพ
เดินมาถึงสายพานลำเลียงจุดรับกระเป๋า เขาก็ปิดหน้าจอลดกล้องลงคล้องคอไว้เหมือนเดิม ส่งมือล้วงกระเป๋าเดินตรงเข้าไปหาหญิงสาวที่ยืนรออยู่ก่อน
“วิ้วๆ ชักเชื่อแล้วสิ… ว่าทฤษฎีโลกกลมใช้ได้ผล สงสัยว่าเราจะเป็นเนื้อคู่กันนะ”
ชายหนุ่มเดินผิวปากมายืนข้างเพลินวาน เธอกำลังยืนยืดคอมองสายพานลำเลียงรอกระเป๋าอยู่ก่อนหน้า
“นี่คุณ! ต้องการอะไรจากฉันอีกไม่ทราบ ฉันก็ชักเชื่อว่าเวรกรรมมันมีจริง แล้วมันยังเกาะติดเป็นเห็บหมาอีก”
หญิงสาวชักสีหน้าต่อว่าอย่างระอา ความจริงที่เธอต้องรีบออกมาก่อนก็เพราะอายจนไม่กล้าสู้หน้าเขาต่างหากที่เผลอกอดและนอนหนุนตักของเขา นี่ถ้าเรื่องนี้รู้ไปถึงหูเพื่อนสาวจอมแสบหรือน้องชายจอมทะเล้น รับรองว่าเธอจะโดนพวกเขาล้อไม่หยุดแน่
ชายหนุ่มยิ้มทะเล้น ไม่รู้ตัวว่าทำไมเขาถึงอยากแกล้งกวนประสาทเธอนัก
“ผมมาตามหาคำขอบคุณ จำได้ว่าคุณยังไม่ขอบคุณผมสักครั้ง มิหนำซ้ำยังเดินหนีออกมาก่อน” ชายหนุ่มบอก
“จะทวงบุญคุณว่างั้นเถอะ”
ชายหนุ่มยักไหล่ เดินเข้าหาเธอ “หรือจะให้ผมเข้าใจเองว่าผู้หญิงอย่างคุณจะไร้มารยาท แค่คำขอบคุณสักคำก็ให้ไม่ได้ล่ะ” ชายหนุ่มเน้นเสียงหนักตอบกลับ เดินมายืนกระแซะข้างตัวหญิงสาวอย่างตั้งใจ
“ขอบคุณ!” เพลินวานขอบคุณเสียงสะบัดสะบิ้งอย่างไม่ค่อยพอใจนัก พร้อมกับรีบก้าวขาถอยห่างออกจากเขา เธอไม่ชอบให้ใครเข้าถึงเนื้อถึงตัว
“ห้วนเหมือนมะนาวไม่มีน้ำ แบบนี้คงจะหาแฟนยากนะ” ชายหนุ่มบอกพร้อมกับขยับเข้าหาเธออีกก้าว แต่ประโยคนั้นก็สะกิดใจหญิงสาวอย่างจัง
“มันเกี่ยวอะไรกับคุณไม่ทราบ”
“ผมก็แค่คิดในใจ ไม่ได้ว่าใครสักหน่อย” ชายหนุ่มตอบกลับหน้าตาย
“กลับมาคราวนี้สงสัยจะต้องแวะวัดก่อนเข้าบ้าน จะได้ไม่ต้องพาเสนียดความซวยเข้าบ้านด้วย ช่วยถอยออกไปจากตัวฉันด้วย ชาติที่แล้วเป็นเห็บหรือไง ถึงได้ยืนเบียดแบบนี้ ขยับออกก็ขยับตาม” หญิงสาวไม่วายเหน็บ แต่คนโดยเหน็บกลับไม่ตระหนกสักนิด เขายังยิ้มร่ายียวนหญิงสาวต่ออย่างอารมณ์ดี
“ถ้าอย่างนั้นผมขอไปวัดด้วยคนนะ… แต่ไม่ได้ไปด้วยจุดประสงค์เดียวกับคุณหรอก ผมจะไปต่อดวงชะตา เผื่อว่าเกิดชาติหน้าเราจะได้เจอกันอีก” ชายหนุ่มยิ้มเป็นต่อที่แกล้งเธอได้อีก
“ไม่ต้องรอถึงชาติหน้าหรอก แค่เจอกันวันเดียวก็ทำให้ฉันอายแทบแทรกแผ่นดินหนี ขืนถ้าเจอกันอีกมีหวัง....” พูดได้แค่นั้นหญิงสาวก็เต้นเร่าเป็นเจ้าออกโรง เมื่อสายตาของเธอเหลือบไปเห็นกระเป๋าบนสายพานลำเลียงที่หมุนเวียนไปไม่หยุด พรางชี้มือไปที่กระเป๋าใบเขื่องของเธอที่อยู่บนสายพานลำเลียงอย่างตื่นเต้น
“กระเป๋า! กระเป๋า!” หญิงสาวแหกปากร้องเสียงดัง สายตาของเธอก็มองที่กระเป๋ากำลังเคลื่อนออกไปต่อหน้า ชายหนุ่มมองตามไปอย่างไม่เข้าใจอาการแปลกประหลาดของเธอ คิ้วของเขาขมวดมุ่นอย่างสงสัย
“ก็กระเป๋านะสิคุณ แบบนั้นที่บ้านผมก็ไม่ได้สอนให้เรียกว่าตู้เย็นหรอก” ชายหนุ่มบอกเสียงเรียบ เขาไม่ได้ใส่ใจมองที่มือเธอชี้ไปด้วยซ้ำ เพราะรู้ดีว่าบนสายพานลำเลียงก็มีแค่กระเป๋าของนักเดินทางเท่านั้น
“ว่าแต่คุณจะแหกปากร้องทำไมเสียงดังไม่อายคนบ้างหรือไง ดูท่าจะไม่ได้เลี้ยงด้วยลำโพงอย่างเดียว คงกินระฆังวัดอรุณเข้าไปด้วย” ชายหนุ่มดุไม่เต็มเสียงหนักแต่เขาก็ไม่วายแหย่ต่อ พยักพเยิดให้หญิงสาวมองไทยมุงรอบตัวที่มองเธอกับเขาอย่างสนใจ ก้มลงกระซิบถามให้ได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่ใช่หน้าที่ของคุณที่จะมาสั่งสอนฉันหรอกนะ”
“ก็ไม่อยากบอกหรอก แต่คุณลองมองรอบๆ ดูสิ! ผู้โดยสารคนอื่นมองเราสองคนเป็นตาเดียวกันหมดแล้ว”
เพลินวานหันไปมองตามที่เขาบอก ก็เป็นเหมือนอย่างที่เขาว่า สายตาทุกคู่จับจ้องอยู่ที่เธอและเขา
