บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 สุนัขจิ้งจอกขาว

ตอนที่ 2

เหอกุ้ยหลินแม้จะหวาดกลัวจับขั้วหัวใจเพียงใด แต่จิตใจที่เมตตาต่อสรรพสัตว์มีมากกว่าความกลัว เด็กสาวจึงฝืนบังคับฝีเท้าเดินเข้าสู่ใจกลางป่าอันลึกกว่าทุกครั้งที่นางเคยเข้ามา ยิ่งเดินมาลึกเท่าไร อากาศยิ่งหนาวเย็นลง จนเด็กสาวถึงกับตัวสั่นงันงก

เดินมาได้สักพักภาพของสุนัขจิ้งจอกตัวน้อยที่มีขนสีขาวบริสุทธิ์กำลังร้องด้วยความเจ็บปวด ที่ขาหน้ามีกับดักที่มนุษย์สร้างขึ้นมาติดอยู่แน่น ทำให้เกิดบาดแผลขนาดใหญ่เลือดสีแดงฉานไหลเปื้อนเต็มพื้นบริเวณที่มันนอนหมดแรงอยู่

“ใครกันนะที่ทำกับเจ้าแบบนี้ จิ้งจอกน้อย” แวบแรกกุ้ยหลินคิดว่ายังมีนายพรานหน้าไหนเข้ามาดักสัตว์ในบริเวณป่าลึกที่น่ากลัวนี้ แต่พอมองเห็นรอยเลือดไหลเป็นทาง ก็เข้าใจว่า ที่แท้สุนัขจิ้งจอกนี้คงซุกซนไปเล่นในป่าด้านนอกจนไปติดกับดักของนายพรานเข้า แล้วคงดิ้นรนกระเสือกกระสนจนมานอนหมดแรงอยู่ตรงนี้

“จิ้งจอกน้อย ไม่ต้องกลัวพี่สาวนะ พี่สาวจะช่วยเจ้าเอง”

กุ้ยหลินค่อย ๆ เดินเข้าไปนั่งลงใกล้ ๆ สุนัขจิ้งจอกน้อยที่มีท่าทางหวาดผวา แต่ไม่มีเรี่ยวแรงขยับกายหนี เด็กสาวมองจ้องประสานสายตากับจิ้งจอกน้อยแบบไม่ยอมกะพริบตา เพื่อให้มันรับรู้ถึงความจริงใจที่นางมีให้

และดูเหมือนเจ้าจิ้งจอกน้อยตัวนี้จะรับรู้ได้ว่า เด็กสาวตรงหน้ามาดีไม่ได้มาร้าย เพราะมันยอมให้กุ้ยหลินช่วยเอากับดักออกจากเท้าหน้า พร้อมกับใส่ยาห้ามเลือดและยาสมานแผลที่มักพกติดตัวมาด้วย ก่อนที่เด็กสาวจะฉีกชายเสื้อของตัวเอง มัดที่เท้าของจิ้งจอกน้อย เพื่อไม่ให้ผงยาหลุดออกเวลาที่มันเดินไปเดินมา

“เสร็จแล้วเจ้าตัวน้อย ที่นี่ก็กลับไปหาแม่ได้แล้ว คราวหน้าคราวหลังอย่าแอบไปเที่ยวเล่นยังป่าด้านนอกอีกละ เดียวเจอคนใจร้ายเข้า” กุ้ยหลินสั่งสอนสุนัขจิ้งจอกน้อยราวกับมันจะฟังรู้เรื่อง

แต่น่าแปลกจิ้งจอกน้อยตัวนี้ดูเหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่เด็กสาวพูด มันยื่นใบหน้ามาเลียที่แก้มของกุ้ยหลิน ก่อนจะยันกายลุกขึ้นแล้วเดินกะเผลก ๆ กลับไปอีกทาง ทางที่ครอบครัวของจิ้งจอกน้อยรออยู่

“โชคดีนะ คิดถึงพี่สาวที่ช่วยชีวิตเจ้าด้วยนะ”

กุ้ยหลินตะโกนไล่หลังสุนัขจิ้งจอกน้อย ที่เดินหายลับไปจากสายตา ก่อนที่นางจะเดินออกจากป่าลึกมายังจุดที่นัดหมายกับเพื่อน ๆ ไว้ ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยความสุข

“จริง ๆ นะพ่อเฒ่าแม่เฒ่า จิ้งจอกขาวน้อยที่ข้าช่วยชีวิตไว้ แป๊บเดียวก็หายไปจากสายตา ทั้งที่บาดเจ็บอยู่แท้ ๆ” กุ้ยหลินเล่าวีรกรรมให้ตายายกับพี่ชายฟัง พร้อมกับตั้งข้อสังเกตที่ตนเห็นจิ้งจอกน้อยที่บาดเจ็บกลับหายไปแค่ชั่วเวลาที่นางกะพริบตาเอง

“เจ้าตาฝาดหรือคิดไปเองหรือเปล่า แถวนี้จะมีจิ้งจอกขาวได้อย่างไร” หยางเสี้ยวที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ที่หน้าบ้าน เขาเฝ้ามองน้องสาวคัดแยกเห็ดป่าเพื่อนำไปขาย ปากน้อย ๆ ก็พูดจ้อไม่ยอมหยุด

“เอะ พี่ใหญ่ข้าเห็นจริง ๆ น่ะ ไม่เชื่อท่านดูเลือดที่เปรอะเปื้อนเสื้อผ้าข้าสิ” กุ้ยหลินยืนขึ้นให้พี่ชายดูคราบเลือดที่ติดตามเสื้อผ้า

“เจ้ากับจิ้งจอกน้อยคงมีวาสนาต่อกันแล้วละ ถึงได้มาพบเจอกัน” ผู้เฒ่าหลี่เอ่ยขึ้น แต่ไม่อยากพูดอะไรออกไปมาก กลัวว่าหลานสาวจะแตกตื่น เพราะสุนัขจิ้งจอกสีขาวสูญพันธุ์ไปจากป่านี้หลายสิบปีแล้ว

“ใช่เป็นโชคดีของข้า เพราะข้าได้เห็ดป่ามาเยอะกว่าเพื่อน เดียวข้านำไปขายที่ตลาดก่อนนะเจ้าคะ” กุ้ยหลินนำเห็ดที่คัดแยกชนิด ใส่ตะกร้าสะพายขึ้นหลัง เพื่อเดินทางไปขายที่ตลาดของหมู่บ้าน

หลังจากที่ขายเห็ดป่าจนหมดเกลี้ยง เด็กสาวได้เงินมากกว่าทุกครั้ง ด้วยความดีใจ จึงหาซื้อของอร่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อ ขนมต่าง ๆ เพราะนาน ๆ ทีครอบครัวสกุลเหอจึงจะมีโอกาสได้กินของดี ๆ เหล่านี้

ทั้งสี่คนนั่งล้อมวงรับประทานอาหารที่กุ้ยหลินหาซื้อมาอย่างเอร็ดอร่อย นอกจากนี้เด็กสาวยังซื้อเสื้อผ้าชุดใหม่ให้ตายายกับพี่ชายด้วยคนละชุด แม้จะเป็นชุดที่ราคาถูกก็ตาม แต่พ่อเฒ่าแม่เฒ่าเหอกับหยางเสี้ยวก็ซาบซึ้งใจ ที่เด็กสาวเป็นเด็กกตัญญู ดูแลเอาใจใส่คนในครอบครัวเป็นอย่างดี

ครอบครัวตระกูลเหอใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จวบจนย่างเข้าสู่ฤดูร้อน ในหมู่บ้านมีการจัดงานเทศกาลตวนอู่หรือเรียกว่าเทศกาลขนมบ๊ะจ่าง เทศกาลฉลองการย่างเข้าสู่ฤดูร้อน

กุ้ยหลินจึงขออนุญาตพ่อเฒ่าแม่เฒ่าพาพี่ชายออกไปชมการแข่งขันเรือมังกร ที่ชาวบ้านจัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า

“พ่อเฒ่าแม่เฒ่า ข้าจะพาพี่ใหญ่ไปดูการแข่งเรือนะเจ้าคะ”

“ว่ายังไงหยางเสี้ยว เจ้าอยากไปกับน้องหรือเปล่า” ผู้เฒ่าหลี่จงตะโกนถามหลานชายที่นอนอยู่ในห้อง

“น้องเล็กไปเถอะ อย่าเอาพี่ไปเป็นตัวถ่วงเลย” หยางเสี้ยวเอ่ย น้ำเสียงเจือแววข่มขืน

กุ้ยหลินรีบเข้าไปหาพี่ชายในห้อง พร้อมกับบอกว่าตัวนางไม่เคยคิดว่าพี่ชายเป็นตัวถ่วงเลย นางแค่อยากพาพี่ชายออกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง หากพี่ชายไม่ไปนางก็จะไม่ไปเช่นเดียวกัน

หยางเสี้ยวรู้ว่าน้องสาวอยากไปชมการแข่งเรือมังกรมาก จึงรับปากยินยอมไปด้วย

เด็กสาวช่วยพา หยางเสี้ยวขึ้นนั่งรถเข็นผักอย่างทุลักทุเล ก่อนออกจากบ้าน แม่เฒ่าเหลียนเฉียวได้สั่งความกับทั้งสองเอาไว้ว่า

“หยางเสี้ยว กุ้ยหลิน เจ้าทั้งสองมีกันแค่สองคน มีอะไรก็ช่วยดูแลกันอย่าได้ทิ้งกันนะลูก”

“แม่เฒ่าท่านพูดอะไรเยี่ยงนี้เล่า ข้าใจคอไม่ดีเลยเจ้าคะ” กุ้ยหลินเอะใจกับคำพูดของท่านยาย จนเริ่มไม่อยากออกไปเที่ยวไหนเสียแล้ว

“ยายเฒ่า พูดเพ้ออะไร ดูสิกุ้ยหลินหน้าเสียแล้ว พวกเจ้ารีบพากันไปเถอะ เดียวไม่ทันดูการแข่งเรือ ยายคงเป็นห่วงหยางเสี้ยวที่ออกนอกบ้านเป็นครั้งแรกนะ” ผู้เฒ่าหลี่ปลอบใจเด็กสาว

กุ้ยหลินจึงใจชื้นขึ้นมาก เด็กสาวรับปากว่าจะดูแลพี่หยางเสี้ยวเป็นอย่างดี หลังจากรับปากตากับยายแล้วก็เข็นรถเข็นพาพี่ใหญ่ไปที่แม่น้ำนอกหมู่บ้าน ที่ใช้ในการแข่งเรือมังกร

ชาวบ้านพากันมายืนอออยู่สองข้างริมฝั่งแม่น้ำ เพื่อชมการแข่งขัน กุ้ยหลินกับหยางเสี้ยวพากันชมการแข่งเรืออย่างสนุกสนาน โดยเฉพาะหยางเสี้ยว ที่สนุกสนานเป็นพิเศษที่ได้ออกมาเห็นโลกภายนอกบ้าง

พอการแข่งขันจบ ชาวบ้านก็พากันแยกย้ายกันกลับ

“พี่ใหญ่ เราไปหาซื้อขนมไปฝากตากับยายดีกว่า พี่จะได้ไปเที่ยวตลาดด้วย”

“ลำบากเจ้าเปล่า ๆ ตลาดใช่ว่าใกล้ ๆ” หยางเสี้ยวเกรงใจน้องสาว

“ไม่ลำบากเลยเจ้าคะ”

กุ้ยหลินพา หยางเสี้ยวไปเดินดูของในตลาด แม้จะไม่มีเงินมากพอซื้อของเหล่านี้ แต่แค่ได้พาพี่ชายมาเปิดหูเปิดตาแค่นี้ก็พอ เด็กสาวยังเลือกซื้อขนมสองสามชนิดที่ราคาไม่แพงมากไปฝากท่านตาท่านยายด้วย

ในขณะที่ยืนรอให้พ่อค้าตักขนมใส่ถุงให้นั้น มีเพื่อนของกุ้ยหลิน วิ่งกระหืดกระหอบมาหยุดต่อหน้ากุ้ยหลิน แต่กว่าที่นางจะพูดออกมาได้ ก็ต้องหยุดพักหายใจก่อน

“กุ้ยหลิน พี่หยางเสี้ยว กระ...กระท่อมของพวกเจ้าถูกไฟไหม้”

“อะไรนะ” กุ้ยหลินสำลักน้ำลายถามออกมา เพราะคิดว่าตนเองคงหูฝาด

“ไฟไหม้กระท่อมของเจ้า พ่อของข้ากำลังพาชาวบ้านไปช่วยดับไฟ”

“พ่อเฒ่าแม่เฒ่า”

กุ้ยหลินทำอะไรไม่ถูกได้แต่ยืนนิ่งอึ้งจนพี่ใหญ่ต้องเรียกเตือนสติ เด็กสาวจึงรู้ตัวรีบเข็นรถเข็นกลับไปที่กระท่อม สองเท้าน้อย ๆ รีบก้าวเดินจนแทบจะพันกันล้ม ในระยะทางที่ใกล้เข้ามา กุ้ยหลินรู้สึกว่าได้กลิ่นเหม็นของควันไฟที่ลอยมาตามกระแสลม ภายในจิตใจเริ่มหวาดกลัว กับภาพที่จะต้องพบเห็น จากที่แทบจะวิ่งก็เริ่มขยับเท้าได้ช้าลง เพราะสองขาเริ่มหนักอึ้ง อย่าว่าแต่สองขาเลย ทั้งสมอง ทั้งจิตใจหนักอึ้งราวกับมีภูเขาทั้งลูกทับเอาไว้

“น้องเล็ก เจ้าเร่งฝีเท้าอีกหน่อยเถิด” หยางเสี้ยวกระตุ้นน้องสาวให้ก้าวเท้าเร็ว ๆ เพราะดูเหมือนเด็กสาวจะอยู่ในภาวะช็อกไปแล้ว หากเขาเดินได้ คงรีบวิ่งไปที่กระท่อมด้วยความร้อนใจและเป็นห่วงตากับยาย แต่สภาพของเขาตอนนี้ทำได้แค่เอ่ยปากเร่งกุ้ยหลินเท่านั้น

ชาวบ้านจำนวนหนึ่งที่ทราบข่าวก่อนแล้ว มาช่วยกันจนสามารถดับไฟให้มอดลงได้สำเร็จ แต่สภาพของกระท่อมก็ถูกเพลิงไหม้จนไม่เหลือชิ้นดี รวมถึงชีวิตของสองตายายที่หนีออกมาไม่ทัน สภาพศพของทั้งคู่ที่ไหม้เกรียมนั่น กำลังกอดกันอยู่

“พ่อเฒ่า แม่เฒ่า” กุ้ยหลินเข็นรถพาพี่ชายมาถึงจนได้ ทันได้เห็นชาวบ้าน ช่วยกันหามร่างของผู้เฒ่าทั้งสองออกมาวางที่พื้น

เด็กสาวทิ้งรถเข็น วิ่งถลาไปหาศพของผู้มีพระคุณที่ถูกไฟคลอกจนดำเป็นตอตะโก กุ้ยหลินนั่งลงข้าง ๆ นัยน์ตามีม่านน้ำตาเม็ดใสที่ไหลรินลงมาอาบแก้ม

“ฮือ ๆ พ่อเฒ่าแม่เฒ่า ฮือ ๆ”

ส่วนหยางเสี้ยวนั้นกระเสือกกระสนใช้สองแขนลากพาสังขารคลานมาจนถึงศพของตากับยายจนได้ เขาไม่ได้ร้องไห้ออกมา ตานัยน์ตาทั้งสองแดงก่ำดุจสีเลือด ปากอ้าค้างแต่ไม่สามารถเปล่งเสียงใด ๆ ออกมาได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel