สองร่างใจเดียว

76.0K · จบแล้ว
หวังเสี่ยวชิง
36
บท
12.0K
ยอดวิว
8.0
การให้คะแนน

บทย่อ

กุ้ยหลินเคยได้ลิ้มรสการถูกโบยมาแล้ว ถึงกับหนาวยะเยือกสั่นสะท้านจับขั้วหัวใจ “ลงมือได้” พ่อบ้านฉีออกคำสั่ง บ่าวที่ทำหน้าที่โบยยกไม้พลองขึ้น ก่อนจะฟาดลงบนแผ่นหลังของนักโทษทั้งสอง ที่พากันร้องโอดโอยออกมาตั้งแต่ไม้แรกเลยทีเดียว “โอ้ย! ท่านพี่ ข้าถูกใส่ร้าย โอ้ย!” กุ้ยหลินครวญครางออกมา เจ็บปวดรอยแผลที่ถูกโบยไม้แล้วไม้เล่า จวนเจียนจะขาดใจอยู่ร่อมร่อ บ่าวชายก็ไร้ความปราณีโบยไม้ลงแผ่นหลังที่แตกเป็นรอย เลือดสีแดงไหลเปียกชุ่มไปทั่วแผ่นหลัง “นางช่างอดทนเหลือเกิน” บ่าวชายที่เป็นคนโบยกุ้ยหลินกล่าวขึ้น หลังจากที่โบยนางไปไม่รู้ตั้งกี่ไม้ แต่นางก็ยังไม่ยอมหมดสติหรือหมดลมหายใจ เหมือนอาเฉินที่จากโลกนี้ไปก่อนแล้ว กุ้ยหลิน แม้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรง และทรมานจากพิษของบาดแผลมากเพียงใด ก็พยายามฝืนประคองสติไว้ เพราะอยากจะเจอหน้าบุตรชายอีกสักครั้ง “ท่านแม่” ร่างเล็กของหยงเป่าวิ่งนำหน้าไป๋ฉีที่ไล่ตามหลังมาติด ๆ หยงเป่าก้าวเท้าวิ่งอย่างเร็วเท่าที่เท้าน้อย ๆ จะทำได้ แม้จะหกล้มจนมีแผลถลอก เด็กชายก็ไม่สนบาดแผลของตนเอง ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง เพราะเป็นห่วงมารดา พอมาถึงลานหน้าศาลบรรพชน เห็นมารดากำลังถูกโบย เลือดไหลท่วมตัว ก็รีบร่างกายเล็ก ๆ กอดบังมารดาไว้ บ่าวที่ถือไม้พลองยั้งมือไว้ไม่ทัน โบยลงหลังของหยงเป่าหนึ่งไม้

ทหารแม่ทัพดราม่าจีนโบราณนิยายย้อนยุค

ตอนที่ 1 ลอยมากับน้ำ

ตอนที่ 1

“อุแว้! อุแว้! อุแว้!”

เสียงของทารกน้อยที่กำลังแผดเสียงร้อง ดังมาจากตะกร้าที่สานด้วยไม้ไผ่เคลือบน้ำยาพิเศษที่กันน้ำได้ ตะกร้าใบนี้กำลังลอยตามกระแสธาราที่ไหลเชี่ยว ทารกผู้นี้ราวกับจะรู้ชะตากรรมอันเลวร้ายของตนเอง จึงเปล่งเสียงแผดร้องดังก้องกังวานไปทั่วท้องน้ำ

แต่บริเวณสองชายฝั่งที่ตะกร้าใบนี้กำลังลอยผ่าน กลับมีแต่ต้นไม้ ใบหญ้า ไร้วี่แววของผู้คน อนิจจา! ทารกน้อยร้องเสียจนอ่อนแรง ถึงกลับนอนหลับไปอีกรอบ

ตะกร้าที่มีทารกน้อยไหลไปตามกระแสน้ำ กินระยะทางหลายสิบลี้เลยทีเดียว ทารกนี้คงจะยังพอมีวาสนาอยู่บ้าง เมื่อตะกร้าลอยมาใกล้จะถึงหมู่บ้าน ชีเป่า หมู่บ้านที่อยู่ทางตอนใต้ของแคว้น อันอัน กระแสน้ำเริ่มลดความเชี่ยวกรากไหลเพียงช้า ๆ ตะกร้าใบนี้จึงค่อย ๆ ลอยเข้าใกล้ฝั่ง และสุดท้ายก็ติดกับกอผักน้ำ

และโชคดีอีกอย่างหนึ่งของทารกน้อยคือ วันนั้นสองผู้เฒ่าสามีภรรยาที่พากันเดินกลับจากการหาของป่าผ่านมาแถวนั้นพอดี

“อุแว้! อุแว้!” ทารกน้อยที่เริ่มมีแรงและตื่นขึ้นมาพอดี ได้ส่งเสียงร้องอีก

สองตายายได้ยินครั้งแรก ต่างคนต่างคิดว่าคงหูฝาด เด็กที่ไหนจะมาร้องอยู่แถวนี้ แต่พอยิ่งเดินเข้ามาใกล้ เสียงของทารกน้อยยิ่งชัดขึ้น จนหญิงชราต้องจับแขนสามีเขย่า

“ตาเฒ่า ๆ ได้ยินไหมเสียงเด็กที่ไหนมันร้อง หรือว่าเราจะโดนผีหลอก” แม่เฒ่าเหลียนเฉียวเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความกลัว

“ยายเฒ่า แกก็กลัวอะไรไปได้ นี่มันกลางวันแสก ๆ ผีที่ไหนจะออกมาหลอกหลอนคน”

พ่อเฒ่าเหอหลี่จง คิ้วย่นเข้าหากัน พยายามจับที่มาของเสียงร้อง พร้อมกับเดินตามเสียงนั้นมา จนพบเห็นตะกร้าใบหนึ่งที่ติดอยู่กับกอผักน้ำ แล้วภายในตะกร้ายังมีทารกน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มส่งเสียงร้องอยู่

“ยายเฒ่า นั่นเด็กทารกนี้” ผู้เฒ่าเหอร้องบอกภรรยา ก่อนจะเดินลงไปดึงตะกร้าที่มีเด็กทารกขึ้นจากน้ำ

แม่เฒ่าเหลียนก้มลงอุ้มทารกน้อยขึ้นมา เด็กหยุดร้องไห้ทันที พร้อมกับมองสองผู้เฒ่าตาใสแป๋ว

“ดูสิ น่ารักน่าชังเชียว พ่อแม่ที่ไหนช่างใจร้ายเอาเจ้ามาลอยทิ้งแม่น้ำแบบนี้หนอ” แม่เฒ่าเหลียนเฉียวกล่าวออกมา กับทารกที่กำลังส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้

“เอาอย่างไรต่อละ ยายเฒ่า” หลี่จงขอความคิดเห็นจากภรรยา

“ทำไงได้ละตาเฒ่า ก็ต้องเลี้ยงไปตามมีตามเกิด มีวาสนาได้เจอกันขนาดนี้แล้ว จะปล่อยทิ้งก็เห็นจะใจดำเกินไป”

ผู้เฒ่าเหอหลี่จงก็คิดแบบนี้ แต่กลัวภรรยาคู่ทุกข์คู่ยาก จะไม่เห็นด้วย เพราะยังมีหลานชายพิการรออยู่ที่บ้านอีกหนึ่งคน จึงถามความเห็นจากภรรยาก่อน และเมื่อภรรยาเห็นด้วย ท่านผู้เฒ่าเหอจึงแบกตะกร้าที่มีหน่อไม้ป่า และของป่าชนิดอื่น ๆ เอง แล้วให้แม่เฒ่าเหลียนอุ้มทารกน้อยพร้อมตะกร้ากลับกระท่อมที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว แต่ไม่ไกลจากหมู่บ้านนัก

สิบสามปีต่อมา ทารกน้อยที่ลอยมาตามกระแสน้ำในวันนั้น ได้เติบใหญ่เป็นสาวรุ่นที่มีหน้าตาสะสวย เพียงแต่เด็กสาวมักจะอยู่ในสภาพที่มอมแมม ทำให้ความสวยที่สมควรปรากฏแก่สายตา ถูกปิดบังเอาไว้

เหอกุ้ยหลิน ชื่อที่พ่อเฒ่าหลี่ตั้งให้ มีความหมายว่า หยกล้ำค่า นั่นก็เพราะว่า ตอนที่เด็กสาวลอยมาตามกระแสน้ำ สมบัติที่มีติดตัวมาเพียงชิ้นเดียวคือ สร้อยที่มีจี้เป็นหยก ที่ตีเป็นมูลค่าก็มหาศาล แม่เฒ่าเหลียนจึงขอร้องไม่ให้เด็กสาวสวมใส่สร้อยที่มีค่านี้ แต่ให้เก็บไว้แทน เพราะกลัวว่าอาจจะถูกโจรมาปล้นชิงเอาไปได้

ตั้งแต่กุ้ยหลินจำความได้ สองตายายไม่เคยปิดบังความจริงที่ว่า เด็กสาวไม่ใช่ญาติแท้ ๆ ของตระกูลเหอ แต่เป็นเด็กที่ถูกเก็บมาเลี้ยง และผู้เฒ่าทั้งสองยังบอกอีกว่าสร้อยเส้นนี้ เป็นเบาะแสเดียว ที่จะสามารถสืบหาครอบครัวที่แท้จริงของนางได้

แต่เด็กสาวไม่มีความคิดที่จะตามหาว่าใครเป็นพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเลย เพราะว่าถ้าพวกเขาต้องการนางจริง ๆ พวกเขาจะเอานางมาลอยทิ้งแม่น้ำทำไม

ครอบครัวที่แท้จริงของกุ้ยหลิน คือพ่อเฒ่าแม่เฒ่าที่เป็นคนช่วยชีวิตและเลี้ยงดูจนเติบใหญ่มาขนาดนี้ รวมทั้งยังมีพี่ เหอหยางเสี้ยว หลานชายของสองผู้เฒ่าและเป็นพี่ชายที่รักและคอยห่วงใยเธอ แม้ว่าตัวของพี่หยางจะพิการเดินไม่ได้ก็ตาม

ตลอดระยะเวลาสิบสามปี กุ้ยหลินมีความสุขมาก ถึงครอบครัวตระกูลเหอจะมีฐานะอยากจนข้นแค้น บางวันหากไม่มีของไปขายแลกข้าวก็ต้องพากันอดก็ตาม แต่เพราะทั้งสี่คนภายในบ้านมีความรัก ความเอื้ออาทรให้กันและกัน จึงสามารถช่วยกันประคับประคองผ่านความลำบากมาได้

สองผู้เฒ่าในยามนี้ก็แก่ชราลงไปมาก จึงไม่สามารถทำอะไรหนัก ๆ หรือเข้าป่าไปหาของป่าได้ สองตายายทำได้เพียงปลูกผักเล็ก ๆ น้อย ๆ ข้างกระท่อม พอได้กิน ที่เหลือก็แบ่งไปขายที่ตลาดในหมู่บ้าน

ตัวหยางเสี้ยวเองแม้จะอยากช่วยงานก็ทำไม่ได้ ลำพังแค่ทำกิจวัตรส่วนตัวประจำวันยังทุลักทุเล

งานทุกอย่างกุ้ยหลินจึงเป็นคนรับอาสาทำเอง ในแต่ละวันเด็กสาวจะตื่นตั้งแต่ยามอิ๋น (03.00-04.59) เพื่อมาหุงข้าว ทำกับข้าว ทำงานบ้านทั้งหมดให้เรียบร้อย พอเสร็จจากงานบ้าน เด็กสาวก็จะเข้าสวนรดน้ำผักที่ตายายปลูก พอสาย ๆ ทุกคนในบ้านตื่น เธอก็เตรียมตัวเข้าป่าไปหาเก็บของป่ามาไว้ขาย

“พ่อเฒ่าแม่เฒ่า ข้าเข้าป่าแล้วนะเจ้าคะ”

เหอกุ้ยหลินสะพายตะกร้าไว้ข้างหลัง ก่อนจะหยิบย่ามที่ใส่ห่อข้าวห่อน้ำ และมีดพกขึ้นคล้องที่ไหล่ เมื่อเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เด็กสาวก็ออกจากบ้านไปหาเพื่อน ๆ ที่นัดหมายกันไว้

“มาแล้วหรือกุ้ยหลิน งั้นพวกเราก็รีบไปกันเถอะ ยามนี้เห็ดป่าออกมาก เดี๋ยวจะไม่ทันกลุ่มอื่น” สตรีรุ่นราวคราวเดียวกับกุ้ยหลินกล่าวขึ้น สตรีอีกสามคนเออออเห็นด้วย

“ขอโทษที วันนี้ข้าทำอะไรช้าไปหน่อย”

กุ้ยหลินขอโทษเพื่อน ๆ พร้อมกับก้าวเดินนำไปทางป่าธรรมชาติที่อยู่ไม่ไกลจากหมู่บ้านเท่าไรนัก พอเข้าไปในบริเวณป่าก็พากันแยกย้ายไปหาของป่า

กุ้ยหลินนั้นเดินแยกออกมาอีกทางหนึ่ง เป็นทางเปลี่ยวและลึกจากทางออกพอสมควร เพื่อน ๆ ของนางและบรรดาชาวบ้านต่างไม่มีใครกล้าเข้ามาหาของป่าในเส้นทางนี้ แต่เธอเคยเข้ามาสองถึงสามครั้งแล้ว ก็ไม่เห็นมีสิ่งใดที่น่ากลัวเลย

“ข้าแต่เจ้าป่าเจ้าเขา เหอกุ้ยหลินขออนุญาตเข้าหาของป่า พอได้ขายหาเงินประทังชีวิต ขอท่านโปรดเมตตาคุ้มครองกุ้ยหลินด้วย” เด็กสาวยกมือพนมไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกปักรักษาผืนป่าแห่งนี้ ทุกครั้งที่ได้เข้ามา

“โชคดีอะไรเช่นนี้ เห็ดป่าเต็มไปหมด”

กุ้ยหลินอุทานออกมาด้วยความดีใจ เพราะหลังจากที่กล่าวขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขาเสร็จ เด็กสาวเดินมาไม่ไกลก็เห็นเห็ดป่าขึ้นเต็มไปหมด หากเก็บหมดนี้ก็คงเต็มตะกร้าพอดี ไม่ต้องเดินไปหาที่อื่นอีก

เด็กสาววางตะกร้าลงวางที่พื้น ก่อนจะดึงมีดพกขนาดเล็กออกมาจากย่าม พร้อมกับลงมือเก็บเห็ด โดยเลือกเห็ดที่กำลังบานได้ที่ ส่วนดอกไหนที่ยังเล็กอยู่นางจะปล่อยเอาไว้ก่อน ไว้ค่อยมาเก็บวันหลังอีก

ไม่นานกุ้ยหลินก็ได้เห็ดจนเต็มตะกร้า เด็กสาวจึงวางมือคิดจะแบกตะกร้าออกไปรอเพื่อน ๆ ที่ทางเข้าแต่ว่า...

มีเสียงร้องอันโหยหวนเจ็บปวดของสัตว์ชนิดหนึ่งดังมาจากป่าที่ลึกเข้าไปอีก

กุ้ยหลินยืนนิ่งงันระแวดระวังภัย ใจหนึ่งก็หวาดกลัวว่าจะเป็นเสียงของสัตว์ที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ แต่พอฟังดูดีๆ แล้ว เสียงร้องนั่นเหมือนสัตว์ที่กำลังลำบากมากกว่า ด้วยจิตใจที่มักสงสารผู้อื่นเด็กสาวเลยตัดสินใจก้าวเท้าตามหาเสียงร้องนั้น