ตอนที่2 คนรักกับศัตรู
ปัง! เสียงประตูได้ปิดกระแทกลงอย่างไม่เบา ปิดกั้นจินนากับโรมันต์ไว้คนล่ะฝั่งหลังจากเขาพูดทิ้งท้ายไว้แล้วหมุนกายออกไป มันเป็นคำตอบที่ชัดแล้วว่าเขาไม่คิดจะเปลี่ยนใจเชื่อในคำพูดของเธอเลยสักนิด ไม่เชื่อใจเธอเลยแม้แต่น้อย
ระยะเวลาที่ยาวนาน ไม่ได้แปลว่าความเชื่อใจจะมั่นคงไปด้วย
เธอกับเขาเรารู้จักกันมาตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เคยมีความสัมพันธ์ฉาบฉวยต่อกันและทำความรู้จักกันในช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนจะแยกย้ายห่างหายกันไป
กระทั่งเธอได้เข้ามาทำงานในบริษัทเขา จากตำแหน่งพนักงานชั้นล่างสุดท้ายก็เลื่อนขึ้นเป็นเลขา...คู่ใจ
ถ้านับวันเวลาที่เธอกับเขารู้จักกันก็ห้าปีได้ แต่ดูเหมือนจะเป็นห้าปีที่ไร้ความหมายสำหรับเขาที่ต่างจากเธออย่างไม่ควร(?)
ช่างน่าเวทนาจริงๆ ที่ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขาเหมือนจะจริงจังแต่กลับเปราะบางยิ่งกว่าเปลือกไข่ เพียงแค่หลักฐานชิ้นเดียวเขาก็กลายเป็นคนไร้เยื่อใยไม่เหลือหัวใจให้แก่กัน ตัดขาดทุกความสัมพันธ์ได้อย่างง่ายดายยิ่งกว่าตัดบัวไม่ให้เหลือใย
แต่...
เธอจะรู้หรือเปล่าว่าความเยือกเย็นไร้หัวใจที่โรมันต์แสดงออกไปนั้นมันไม่ได้ง่ายเลยสักนิด คนเคยรักเคยผูกพัน พอต้องอยู่ในจุดที่อยู่ระหว่างคนรักกับศัตรู จะแตกหักก็ยังไม่ใช่ จะสานต่อก็ไม่ง่าย มันก็ทำให้เขาจุกแน่นเหมือนกัน
แต่ก็อย่างที่บอกว่าต่อให้รักแค่ไหน หากสุดท้ายเธอกล้าหักหลังเขาจริง นั่นก็แปลว่าเธอไม่ได้เห็นแก่ความรักของเขาด้วยเช่นกัน ซึ่งมันไม่ผิดหากเขาจะเลือดเย็นมองข้ามความรักความรู้สึกของเธอไป
โรมันต์จากห้องที่ใช้ขังนักโทษอย่างจินนา เขาก็ตรงไปยังชั้นล่างของบ้านตัวเองที่ตอนนี้มีบดินมือขวาคนสนิทรออยู่แล้ว
“ประวัติเพิ่มเติมของเธอครับ” บดินยื่นโทรศัพท์ของตัวเองให้กับเจ้านายดูสำหรับข้อมูลที่เขาให้ลูกน้องเจาะหามาอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึงสามชั่วโมง
“.....” โรมันต์หยิบโทรศัพท์มาดูประวัติของจินนาในส่วนที่ไม่ได้มีในข้อมูลการสมัครงาน
“ตอนนี้ผมให้คนของเราสืบต่ออยู่ ไม่เกินสองวันน่าจะได้เบาะแสมากกว่านี้” บดินบอกเจ้านายออกไปอย่างที่เขาได้สั่งงานไปแล้ว เพราะการจะสืบอะไรอย่างละเอียดลึกไปถึงรากอดีต มันต้องใช้เวลาและเงิน
“อืม” โรมันต์ตอบรับสั้นๆ ก่อนจะหยิบกระเป๋าของจินนาที่บดินเก็บมาวางไว้บนโต๊ะตัวกลางแล้วเอาโทรศัพท์ของเธอออกมา
โทรศัพท์ที่เขารู้รหัสผ่านของเธออย่างไม่ได้ตั้งใจ แต่เพราะอาศัยอยู่ด้วยกันทุกวันมันจึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะบังเอิญได้ทันเห็นบางเวลาที่เธอต้องใช้การกดรหัสแทนการสแกนหน้า แต่ที่ผ่านมาเขาไม่เคยคิดละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของเธอแม้จะอาศัยอยู่ด้วยกันในสถานะที่มากกว่าเจ้านายลูกน้อง
จนกระทั่งตอนนี้ที่เขาต้องก้าวข้ามเส้นของเธอด้วยการดูทุกอย่างในโทรศัพท์
แรกเริ่มก็คืออัลบั้มรูป รูปที่ส่วนใหญ่เป็นรูปของเธอและรูปอาหาร รวมถึงรูปเกี่ยวกับงานที่ไม่ใช่ข้อมูลสำคัญที่เธอถ่ายไว้ไม่น้อย พอกดออกจากรูปก็เข้าโซเชียลมิเดียทุกช่องทาง ตรวจสอบทุกอย่างในนั้นโดยเฉพาะกล่องข้อความและรายชื่อเพื่อนร่วมของเธอ ที่มีทั้งคนที่เขารู้จักและไม่รู้จัก
ใช้เวลาพักใหญ่ที่ดูทุกอย่างในนั้น ซึ่งมันก็ปกติไม่มีอะไรน่าสงสัย
กระทั่งเจอรายชื่อในเบอร์ติดต่อที่สะดุดตาเขา
Noname
โรมันต์หันจอโทรศัพท์ให้บดินจดเบอร์นี้ไว้ก่อนจะไล่ดูต่อไปเรื่อยๆ จนครบและไม่เจออะไรอีก ส่วนชื่อนี้ที่เขาติดใจก็คงจะเป็นความข้องใจที่ว่า ใครกันไม่มีชื่อ
“ให้คนเฝ้าดูที่โกดังให้ดีอย่าให้มีอะไรผิดพลาด หากมีคนแปลกหน้าเข้าไปจับมันทันที” แม้ว่าวันเวลาที่จินนาแอบติดเครื่องดักฟังจนถึงตอนนี้จะผ่านมาไม่นาน และระหว่างนั้นเขาไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับงานพวกนั้นออกไป แต่ยังไงก็ต้องระวังตัวไว้ให้ดีเพื่อไม่ให้มีอะไรผิดพลาด เพราะเขาก็ไม่รู้เช่นกันว่านอกจากในห้องทำงานยังมีส่วนไหนอีกบ้าง
“ครับ” บดินตอบรับหน้าที่ของตัวเอง
“นายไปพักได้แล้ว” เขาพูดจบก็พาตัวเองขึ้นชั้นสองไปอีกครั้งเพื่อจัดการกับสิ่งน่าสงสัยต่อ
ประตูห้องขังของจินนาถูกเปิดออกก่อนทั้งสองจะสบตากัน โดยที่จินนามองเขาทั้งน้ำตา แววตาตัดพ้อ สะท้อนความเสียใจอย่างไม่ปิดบัง
โรมันต์มองเธอด้วยใบหน้าที่เรียบนิ่งอย่างไม่แสดงออกสิ่งใดออกไป ทำเหมือนกับว่าเขาและเธอสิ้นเยื่อขาดใยต่อกันแล้ว ก้าวตรงไปหยุดตรงหน้าเธอ ยกโทรศัพท์หันหน้าจอประจันหน้าเจ้าของเครื่อง
“นี่ใคร” เขาถามพร้อมกับโชว์รายชื่อที่เธอบันทึกว่า Noname ให้เห็น
“โรคจิตค่ะ” จินนาที่เห็นรายชื่อตรงหน้าก็บอกเขาขึ้นในทันทีอย่างไม่เสียเวลาคิด เพราะชื่อที่ไม่มีชื่อแบบนี้เธอจำได้ดี
“อะไรคือเมมเบอร์โรคจิตไว้” โรมันต์ย้อนถามกลับไปราวกับคำตอบของเธอฟังไม่ขึ้นเลยสักนิด ยิ่งทำให้น่าสงสัยไปกว่าเดิมว่าใครจะมาบันทึกเบอร์ของโรคจิตไว้แบบนี้
“เพราะเป็นคนรู้จักไงคะ ผู้ชายคนนี้จีนรู้จักผ่านๆ ตอนสมัยเรียน แล้วเขาชอบโทรมาหาจีน...”
“บางครั้งก็โทรมาเงียบ บางครั้งก็โทรมาหายใจให้ฟัง รวมถึงโทรมาครางชื่อจีน จีนก็เลยบันทึกไว้เวลาโทรมาจะได้ไม่รับหรือไม่ก็รับแล้วจะได้ด่าทันทีไม่ผิดคน” จินนาอธิบายให้โรมันต์ได้ฟังในสิ่งที่เธอทำ
“ถ้าแค่ผ่านๆ แล้วมันเอาเบอร์เธอมากจากไหน” โรมันต์ถามต่อ เพราะเขาไม่เคยเห็นช่วงเวลาที่เธอรับสายจากใครแล้วด่ากราดออกไป ไม่เคยเห็นช่วงที่เธอคุยกับใครเหมือนอีกฝ่ายโทรมาไม่คุยกับเธอ
จะบอกว่าบังเอิญที่อีกฝ่ายไม่เคยโทรหาเธอในตอนอยู่กับเขาแบบนั้นเหรอ
“ก็คงเป็นเพื่อนของเพื่อนต่อๆ กัน อันนี้จีนไม่รู้จริงๆ” จินนาพยายามบอกให้เขาเข้าใจตามสถานการณ์ที่คาดว่าน่าจะเป็น
“หึ!...คุยกับมัน” โรมันต์แค่นเสียงขึ้นอย่างเย้ยหยันไม่ได้เชื่อกับสิ่งที่เธอพูดในทีเดียว สั่งพร้อมกดโทรออกไปหาเบอร์นั้นทันที
แต่...
“อย่าโทรนะคะ!” คำร้องห้ามของจินนาดังขึ้นแทบจะทันทีจนเสียอาการ
แต่เธอไม่อยากโทรไปเพราะกลัวว่าไอ้บ้านั่นจะเข้าใจผิดคิดว่าเธอสนใจในตัวมัน แล้วหลังจากนี้มันอาจจะโทรมาหาเธอหรือทำอะไรมากกว่านั้น อย่าลืมว่ากระบวนการความคิดของคนประเภทนี้จะแปลกว่าคนปกติทั่วไป
แต่เธอดันลืมไปว่าท่าทางแบบนี้ของเธอมันยิ่งทำให้ดูน่าสงสัยมากกว่าจะเข้าใจเหตุผล
โรมันต์ยังคงปล่อยให้สัญญาณรอสายทำงานต่อไปไม่คิดวางสาย อยากรู้มากจริงๆ ว่าสุดท้ายแล้วปลายสายจะเป็นอย่างที่เธอพูดหรือไม่
กระทั่งหน้าจอขึ้นจับเวลาเป็นการบ่งบอกถึงปลายสายรับแล้วในช่วงเวลาที่สัญญาณเกือบตัดไป
(.....) แต่เป็นการกดรับสายที่ไม่มีการพูดคุยใดๆ ออกมาเลย
“.....” โรมันต์พยักหน้าส่งสัญญาณบอกให้เธอพูดอะไรออกมา
“ฮะ...ฮัลโหล” เพื่อพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเธอไม่ได้โกหก สุดท้ายก็ต้องเอ่ยปากพูดกับคนที่ไม่อยากพูดด้วยที่สุดออกมาอย่างตะกุกตะกัก
(.....) แต่ปลายสายยังคงเงียบเหมือนเดิม ไม่มีแม้แต่เสียงใดๆ ตอบรับกลับมา
“เหินใช่ไหม” จินนายังคงพยายามฝืนใจพูดกับปลายสายออกไปอย่างรู้ดีว่าปลายสายเป็นใคร แต่เธอก็ไม่คิดจะบันทึกชื่ออีกฝ่ายไว้อย่างเด็ดขาด
แล้วอีกฝั่งก็วางไปอย่างไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว เสียงลมหายใจก็ไม่ได้ยินเลยราวกับว่าไม่มีการรับสายเกิดขึ้น
ซึ่งนั่นทำให้จินนามองโรมันต์อย่างต้องการบอกถึงความบริสุทธิ์ใจของตัวเองว่าสายนี้ไม่มีอะไรจริงๆ
“จีนทำตามที่คุณบอกแล้ว คุณเห็นหรือยังว่าเขาเป็นแค่โรคจิตจริงๆ”
“อะไรที่บอกว่าโรคจิต” โรมันต์ย้อนถาม
“ก็เขาไม่พูดอะไรเลยไง ขนาดที่เขาโทรมายังไม่พูดอะไรเลย” จินนาร้องบอกไปเพื่อให้เขาได้เข้าใจและเชื่อสิ่งที่เธอพูดบ้าง
แต่ดูจะเปล่าประโยชน์
“ดูเธอจะพูดนำร่องให้อีกฝ่ายนะ” โรมันต์พูดขึ้นอย่างสงสัยไม่น้อยกับสถานการณ์สั้นๆ ก่อนหน้านี้
เธอจะพูดตะกุกตะกักทำไม เธอจะกล่าวนำชื่อของอีกฝ่ายเพื่ออะไร
เหมือนจะปกติ แต่ไม่รู้เพราะอะไรหรือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นได้ ที่ทำให้เขารู้สึกสงสัยและจับสังเกตอย่างละเอียดรอบคอบกว่าเดิม
“สุดท้ายคุณก็ไม่เชื่ออะไรจีนเลยอย่างนั้นเหรอ” จินนาตัดพ้อออกมาอย่างละเหื่ยใจเมื่อผลลัพธ์ที่ออกมายังเหมือนเดิม
แต่เขาก็มีเหตุผลที่จะไม่เชื่อง่ายๆ ในตอนนี้
เพราะ...
“มันอาจจะรู้อยู่แล้วว่าเธออยู่ในสถานการณ์แบบไหน”
