บทที่ 3 ขาดเสน่ห์แห่งสตรีเพศ
บทที่ 3
ขาดเสน่ห์แห่งสตรีเพศ
ให้ข้าสอนเจ้า
“บุรุษเหล่านั้นตาต่ำเกินกว่าจะมองเห็นเสน่ห์ในตัวเจ้าต่างหากเล่า”
อี้เฟยหลงใช้ปลายนิ้วเกลี่ยพวงแก้มแดงระเรื่อของคนเมา ยิ่งนางทำตาโตขุ่นเคือง แก้มของนางก็ยิ่งป่องพองออกอย่างน่ารักน่าชัง
‘ซินเอ๋อร์เสน่ห์ของเจ้าข้าย่อมรู้ดีที่สุด และข้าไม่ต้องการให้ใครได้เห็นมัน!’
“หึ! อย่ามาปลอบใจข้าเลย ที่เรือนข้ามีกระจกเหตุใดข้าจาไม่รู้ว่าตัวข้าไม่น่าเสน่หา”
เวลานี้อี้เฟยหลงได้สั่งให้เสี่ยวเอ๋อร์นำชาร้อนมาแทนสุราเสียแล้ว เพราะไม่อยากให้สหายสาวเมาจนล้มพับไปเสียก่อน
“เช่นนั้นให้ข้าสอนเจ้าดีหรือไม่เล่า”
“เจ้ารู้วิธีดึงเสน่ห์ของสตรีออกมาหรือ อะ...อึก เอิ๊ก”
เอ่ยถามพลางสะอึกจนตัวโยน อี้เฟยหลงจึงประคองให้นางดื่มน้ำชา แล้วใช้มือตบหลังอยู่สองสามทีแต่อาการสะอึกก็หาได้หายไป
“แน่นอนว่าข้ารู้”
“แน่สินะ ก็เจ้าเป็นพระเอกนิยายสิบแปดบวกนี่นา เจ้าย่อมต้องรู้จักสตรีดี ไม่เช่นนั้นเจ้าคงไม่ได้เป็นพระเอกหรอก”
หญิงสาวพึมพำงึมงำพลางโยกศีรษะไปมา ตระหนักว่าอีกฝ่ายคือพระเอกนิยายที่มีฉากรักร้อนแรง ดูเอาเถอะนางมีพระเอกที่แสนหล่อเหลาเป็นสหายรัก แต่นางกลับต้องตายอย่างน่าอนาถ สวรรค์ไยจึงใจร้ายกับนางนักเล่า!
อี้เฟยหลงไม่เข้าใจในสิ่งที่หญิงสาวพูด เหตุใดนางจึงบอกว่าเขาเป็นพระเอกนิยาย แล้วสิบแปดบวกหมายถึงสิ่งใดกันก็ยากที่จะวิเคราะห์ให้เข้าใจ
“เป็นคนหล่อนี่ดีจังเลยน้า”
นางช้อนเปลือกตาขึ้นมองชายหนุ่ม จ้องมองเขาอย่างสำรวจไม่ปิดบัง ซึ่งตอนไม่เมานางไม่กล้าทำกิริยาเช่นนี้ เพราะถึงจะเป็นสหายแต่ต่างฝ่ายก็ต่างเติบโตหาใช่เด็กซุกซนในวันวาน
“ข้าหล่อไม่ดีหรือ”
“ไม่ดี”
“ไม่ดีอย่างไร”
“สตรีจะทะเลาะกันเพราะความหล่อของเจ้าอย่างไรเล่าอาหลง เอิ๊ก อะ...อึก...”
นางยังคงสะอึกก่อนจะยื่นนิ้วมือหยิกแก้มชายหนุ่ม ดึงแรงจนแก้มโย้ทว่าอี้เฟยหลงกลับยิ้มอ่อนไม่มีท่าทางโกรธเคืองหญิงสาวแม้แต่น้อย
“เฮ้อ...หากข้าเป็นหญิงงาม อะไรๆ ก็คงง่ายกว่านี้”
“ก็บอกแล้วอย่างไรเล่าว่าข้ารู้วิธีดึงเสน่ห์แห่งสตรีเพศออกมา”
“ข้าเชื่อเจ้าได้มากแค่ไหนกัน”
“เจ้าเชื่อข้าได้จนหมดใจเชียวแหละซินเอ๋อร์”
คนตัวโตโน้มใบหน้าลงมาใกล้... ใกล้เสียจนปลายจมูกโด่งแทบชนปลายจมูกเล็กเชิดรั้น และนั่นทำให้คนตัวเล็กถึงกับผงะเบือนใบหน้าออกห่าง ซึ่งความตกใจนั้นทำให้นางหายสะอึกโดยไม่รู้ตัว
“เอาสิ... เพราะอีกไม่กี่วันข้าก็ต้องไปดูตัว หากคุณชายเซี่ยถูกใจข้าคงดี เห็นแม่สื่อบอกว่าคุณชายเซี่ยเป็นบัณฑิตที่ภูมิฐานไม่น้อยเลย”
หญิงสาวพยักหน้างึกๆ ด้วยดวงตาเป็นประกาย ก่อนจะส่งยิ้มหวานให้อีกฝ่ายอย่างออดอ้อนหวังให้ช่วยดึงเสน่ห์แห่งสตรีเพศออกมาเพื่อที่การดูตัวของนางในครั้งหน้าจะได้ราบรื่น
อี้เฟยหลงกระตุกยิ้มที่มุมปากเพียงน้อยเมื่อรู้ว่านางจะต้องไปดูตัวกับคุณชายตระกูลเซี่ย เขากดข่มความโกรธเอาไว้ก่อนจะขยับเก้าอี้เข้าไปนั่งใกล้ๆ นาง
“ข้าจะสอน แต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่ล้มเลิกการเรียนกลางคัน”
ชายหนุ่มยื่นข้อเสนอด้วยดวงตาวาววับเต็มไปด้วยเล่ห์กลที่ซุกซ่อนไว้ แน่นอนว่าจางซินเหยียนที่มีสติสัมปชัญญะขาดๆ เกินๆ จากฤทธิ์สุราย่อมมองไม่เห็นว่าสหายได้กลายร่างเป็นเสือที่จ้องจะตะครุบเหยื่อไว้ในอุ้งมือเสียแล้ว
“ข้าสัญญาด้วยเกียรติของข้าเจ้าค่ะท่านอาจารย์”
นักเรียนพยายามยืดตัวตรงด้วยท่าทางแข็งขัน นางคิดว่าตนเองตั้งตัวตรงแล้วทว่าแท้จริงกลับเอนไปทางซ้ายอย่างน่าเอ็นดู
‘ซินเอ๋อร์เด็กโง่’
คนตัวโตแค่นหัวเราะในใจ พลางมองท่าทางเมามายของหญิงสาวด้วยสายตาที่ไม่บริสุทธิ์ใจ หลายครั้งที่เขาเหน็ดเหนื่อยจากการเล่าเรียน เขาเคยจินตนาการถึงซินเอ๋อร์สหายวัยเยาว์หลายต่อหลายครั้ง นางจะเติบโตมากเพียงใด ใบหน้าของนางจะเปลี่ยนไปแค่ไหน ตัวของนางจะสูงขึ้นหรือเปล่า ร่างท้วมๆ ของนางจะอ้วนขึ้นหรือผอมลง
และวันนี้เขาได้เห็นนางอย่างใกล้ชิดแล้ว นางเติบโตมาเป็นหญิงงามที่คิดว่าตัวเองหน้าตาธรรมดา นางขาดความมั่นใจไปกว่าหลายส่วน นั่นคงเพราะผลจากสภาพแวดล้อมที่หล่อหลอมนางจนเป็นเช่นนี้
“เช่นนั้นวันนี้ข้าจะสอนเจ้าเล็กๆ น้อยๆ ก่อน”
“ได้เลยท่านอาจารย์ ข้าจาตั้งใจเรียน”
หญิงสาวพยายามยืดตัวตรง แต่กระนั้นก็ยังรู้สึกหนักศีรษะอยู่ นึกโมโหที่ดื่มสุราเยอะเกินไป หวังว่าคำสอนของสหายจะยังคงฝังอยู่ในหัว ไม่ใช่พอสร่างเมาก็หลงลืมไปเสียสิ้น
“เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่าสตรีที่ได้ลิ้มรสเสน่หา จะกลายเป็นสตรีที่เย้ายวนดั่งดอกไม้ที่ส่งกลิ่นหอมหวานหรือไม่”
จางซินเหยียนส่ายหน้ารัวๆ ด้วยไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เพราะนางอาศัยอยู่ในเมืองที่แสนคับแคบ แตกต่างจากสหายที่เดินทางไปศึกษายังต่างแคว้น ดังนั้นสหายย่อมมีประสบการณ์มากกว่านาง
“การถูกบุรุษสัมผัส การรู้จักรสเสน่หาจากบุรุษ จะทำให้สตรียิ่งดูเย้ายวนน่าค้นหา...”
