ตอนที่ 5.2 เยื่อใยที่หลงเหลืออยู่
แม้จะอยากสัมผัสมือนุ่มนั้นให้นานกว่านี้ แต่วีรพัทธ์ก็ตัดใจดึงมือออกมา เพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง รวมทั้งไม่อยากให้ได้ใจว่าเขาให้อภัยในเรื่องที่ผ่านมาแม้ว่าจะใจอ่อนลงไปมากแล้วก็ตาม
คนกำลังสับสนรีบหมุนตัวเดินออกไปโดยไม่บอกลาสักคำ ทิ้งให้สหัสสะมองตามแผ่นหลังกว้างอย่างไม่เข้าใจอารมณ์อีกฝ่ายมากนัก ไม่ได้หวังว่าวีรพัทธ์จะให้อภัย แต่การทำดีต่อกันมันก็ดีกว่า เพราะเมื่อถึงเวลาต้องจากกันอีกครั้งเขาจะได้เก็บมันไว้เป็นแรงใจเพื่อก้าวเดินต่อไปข้างหน้า
สหัสสะนอนมองบานประตูที่วีรพัทธ์ปิดมันลงอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ ชายหนุ่มรีบควานหาโทรศัพท์มือถือ แต่หาเท่าไรก็ไม่เจอจึงคิดว่าเมื่อคืนที่เขาสลบไป วีรพัทธ์คงไม่ได้หยิบมันมาด้วย โชคดีที่เขาได้กดโอนเงินออกไปแล้ว แต่ก็อยากสอบถามให้รู้แน่ว่าทางนั้นได้รับและจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว สหัสสะจึงตัดสินใจใช้โทรศัพท์ของโรงพยาบาลโทรออกไปตามเบอร์ที่เขาจำได้ขึ้นใจ
“เป็นไงบ้าง ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ย?”
[เรียบร้อยดี นายไม่ต้องเป็นห่วง]
“แล้ว… อาการเป็นยังไงบ้าง”
[ตอนนี้หลับอยู่]
ปลายสายตอบแล้วถอนหายใจเสียงดังจนสหัสสะได้ยิน
“มีอะไรเหรอ?”
[ฉันว่า มันอาจถึงเวลาที่เราต้องปล่อยมือ…]
“ไม่!”
ปลายสายยังไม่ทันจะพูดจบ สหัสสะก็ปฏิเสธเสียงแข็ง เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร
[ไมล์ นายเหนื่อยมามากแล้วนะ แล้วก็เสียอะไรหลายอย่างในชีวิตไป เพียงเพื่อจะยื้อชีวิตที่อาจจะไม่มีทางกลับมาเนี่ยนะ]
“ชีวิตที่นายพูดถึงอยู่คือชีวิตของแม่ฉัน”
[ถึงฉันจะไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของแม่ แต่ฉันก็รักแม่เหมือนกัน]
“ถ้านายรักแม่ก็อย่ามาพูดอะไรแบบนั้นอีก ไม่ว่าจะยังไงฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้แม่ตาย ต่อให้ฉันต้องขายวิญญาณฉันก็จะทำเพื่อแลกกับชีวิตของแม่”
[แต่…]
“ช่วงนี้ฉันจะสำรองเงินไว้ให้มาก ๆ ก็แล้วกัน เผื่อต้องใช้ฉุกเฉินแบบวันนี้อีก”
[ช่วงสัปดาห์มานี้เราใช้เงินเยอะมากเลยนะ นายไปเอาที่ไหนมา เงินก้อนค่าจ้างล่วงหน้าเขาก็จ่ายมาให้หมดแล้วไม่ใช่เหรอ]
“ฉันทำงานพิเศษน่ะ”
[งานอะไร]
“งาน… เอ่อ ก็รับจ็อบดูแลศิลปินคนอื่นให้ผู้จัดการที่เขามีศิลปินในความดูแลหลายคนแล้วต้องออกงานพร้อม ๆ กันไง รายได้ดีมาก นายไม่ต้องห่วง”
[อืม พักผ่อนบ้างล่ะ]
“นายก็เหมือนกันนะ นอนบ้าง ไม่ต้องเฝ้าแม่ตลอดเวลาก็ได้ รักนายนะ บาย”
มือเรียวแข็งแรงที่กำคันโยกประตูอยู่บีบเข้าหากันแน่นจนผิวเนื้อบริเวณนั้นขึ้นสีเข้ม ก่อนจะปล่อยมือแล้วหมุนตัวเดินออกไปด้วยใบหน้าเข้มขรึม ทิ้งธนบัตรใบละหนึ่งพันที่มันยับย่นร่วงลงพื้นหน้าห้องพักฟื้นตรงนั้น
วีรพัทธ์กลับเข้าไปที่ห้องพักฟื้นอีกครั้งหลังนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนไม่ได้หยิบของใช้ของสหัสสะมาด้วยเลย ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋าเงินหรือว่าโทรศัพท์มือถือ เขาเป็นห่วงกลัวว่าอีกฝ่ายจะอยากลงไปซื้ออะไรกินที่ห้องอาหาร พวกกาแฟหรือน้ำผลไม้จึงคิดจะเอาเงินสดมาให้ แต่กลับมาได้ยินอะไรที่ไม่อยากได้ยินเสียก่อน
คำว่า ‘รักนายนะ’ ดังก้องอยู่ในหู พาให้อารมณ์หงุดหงิดและขวางหูขวางตากับทุกสิ่งทุกอย่างที่เดินผ่านมา แม้แต่ชานนท์ที่เดินสวนกันแล้วร้องทักวีรพัทธ์ก็ไม่สนใจ เขามุ่งหน้าไปที่รถยนต์ของตัวเองแล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“เป็นเหี้ยอะไรอีกเนี่ย!”
ชานนท์สบถเบา ๆ ก่อนจะรีบก้าวไปยังห้องพักของสหัสสะเพราะคิดว่าสองคนน่าจะมีปัญหากัน เขาเป็นห่วงว่าวีรพัทธ์จะลงไม้ลงมือกับคนน้องถึงได้มีอาการเหมือนหมาบ้าแบบนั้น
“ก็ไม่มีอะไรนี่ครับ”
แต่เมื่อมาถึงห้องและถามกับสหัสสะ คนป่วยกลับยิ้มหวานพร้อมกับส่ายหน้าปฏิเสธ และยังบอกอีกด้วยว่าสงสัยเพราะฤทธิ์ยาที่หมอฉีดให้ จึงทำให้วีรพัทธ์ในเช้านี้น่ารักกว่าช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา
“หมายความว่าปรับความเข้าใจกันแล้วเหรอ?” ชานนท์รีบถามอย่างยินดี
“ก็… ไม่มีอะไรต้องปรับนี่ครับ”
พอคนที่เอนหลังพิงหัวเตียงปฏิเสธ ชานนท์ก็หุบยิ้มแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงแสดงความห่วงใย
“พี่ไม่รู้หรอกนะว่าเมื่อสามปีก่อนมันเกิดอะไรขึ้น แล้วไมล์ก็ไม่จำเป็นต้องบอกพี่ แต่พี่ว่าไมล์ควรบอกไอ้วีร์มันนะ”
เมื่อถูกรุ่นพี่ยืนจ้องมองมาในท่ากอดอกจริงจัง สหัสสะก็ผสานนิ้วมือทั้งสองข้างเข้าหากันบนหน้าขา พลางก็ก้มหน้าหลบสายตา
“มันก็เป็นอย่างที่พวกพี่เข้าใจนั่นแหละครับ”
“แค่นั้นจริง ๆ เหรอไมล์” ชานนท์คาดคั้นเพราะเขาไม่เชื่อว่าสหัสสะจะรับงานเอนท์หรือขายตัว หรือแม้แต่สวมเขาให้วีรพัทธ์แบบนั้น พอถูกจับได้คาหนังคาเขาก็หนีหายไปเฉย ๆ โดยไม่อธิบายไม่มีคำแก้ตัว ทิ้งให้เพื่อนของเขาจมอยู่กับกองน้ำตาเป็นปี ๆ “ไมล์ไม่มีเหตุผลอย่างอื่นแน่เหรอ”
“ไม่มีครับ”
ปลายนิ้วเรียวจิกลงบนหลังมือที่ประสานเข้าหากันในทันที ราวกับในกำมือนั้นมันกุมความลับอะไรเอาไว้ ความลับที่ไม่อาจให้ใครล่วงรู้ได้โดยเฉพาะวีรพัทธ์
“เอาเถอะ ๆ ไม่มีก็ไม่มี พี่หวังว่าสักวันมันจะมีนะ เพราะพี่เชื่อว่าไมล์ไม่ได้เป็นคนแบบนั้น”
สหัสสะค่อย ๆ ช้อนสายตาขึ้นสบกับหนุ่มรุ่นพี่ เพื่อนสนิทของอดีตคนรัก ชานนท์อยู่ในทุกช่วงเวลาที่สหัสสะกับวีรพัทธ์คบหากัน หนุ่มรุ่นพี่จึงรักและเอ็นดูเขามาก เขาเองก็รักชานนท์เหมือนพี่ชายคนหนึ่งเช่นกัน
หากเป็นเมื่อสามปีก่อน สหัสสะคงไม่มีความลับกับรุ่นพี่คนนี้ แต่ถึงตอนนี้ มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว เพราะเขาเลือกแล้ว และสิ่งที่เลือกก็น่าละอายใจเกินกว่าจะร้องขอให้วีรพัทธ์ให้อภัย ดังนั้นการที่ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นอย่างนั้นมันคงเป็นทางที่ดีที่สุดแล้ว
ชานนท์อยู่คุยกับสหัสสะอีกพักใหญ่ เมื่อเห็นว่าหนุ่มรุ่นน้องหน้าตาสดใสขึ้น และน้ำเกลือขวดสุดท้ายได้หมดลง เขาก็ขอตัวกลับ
“อ้อ พี่เจอมันตกอยู่หน้าห้องน่ะ ไอ้วีร์อาจจะทำตกไว้ก็ได้นะ” ก่อนจะออกจากห้องยังวางธนบัตรใบละพันที่มันยับย่นไว้ให้สหัสสะด้วย
“ของคนอื่นที่เดินผ่านหรือเปล่าครับ พี่นนท์เอาไปให้พี่พยาบาลไปตามหาเจ้าของดีกว่าครับ”
“แบงก์พันเปล่า ๆ ใบเดียวจะรู้เจ้าของได้ยังไง”
“กล้องวงจรปิดไงครับ มันพิสูจน์ได้”
ชานนท์คิดตามก่อนจะพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เขาจึงเอาธนบัตรใบนั้นไปให้ที่เคาน์เตอร์พยาบาลเพื่อตามหาเจ้าของ เผื่อบางทีเจ้าของมันอาจจะกำลังตามหามันอยู่ก็ได้
ระหว่างที่ชานนท์เดินออกมาจากอาคารผู้ป่วย เขาก็กวาดสายตามองไปรอบ ๆ บริเวณที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่ถี่ยิบแล้วก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“ใช่สิ กล้องวงจรปิด ทำไมไม่คิดได้ตั้งแต่เมื่อสามปีที่แล้ววะ”
