ตอนที่ 4.2 ในคืนที่หัวใจสลาย
รถ Porsche สีขาวป้ายแดงจอดนิ่งอยู่หน้าโรงแรมม่านรูดชื่อว่าเดอะพาราไดซ์ วีรพัทธ์จ้องมองเลขที่ห้องที่เขาเจาะจงกับพนักงาน แต่มันไม่ว่างเขาจึงต้องมาจอดอยู่หน้าห้องข้างกัน สายตาของวีรพัทธ์จ้องมองไปที่ตัวเลขสิบเก้าที่อยู่ตรงหน้า แต่สมองและหัวใจกำลังจดจ่ออยู่ที่ห้องข้าง ๆ ห้องหมายเลขสิบแปดตามที่เพื่อนของสหัสสะบอก
แม้ในใจจะไม่เชื่อแต่สมองบอกว่าต้องพิสูจน์ เขาจึงตัดสินใจลงจากรถ พร้อมกับเรียกพนักงานที่มาเปิดห้องให้มาซักถาม
“เพื่อนผมที่อยู่ห้องสิบแปดกลับไปหรือยัง?” เขาพยายามทำทีว่ารู้จักกับคนในนั้น
พนักงานชายคนนั้นมองกลับมาอย่างไม่ค่อยไว้ใจนัก เพราะไม่เคยมีผู้ชายคนไหนเข้ามาที่นี่เพียงลำพัง แถมยังมาถามหาคนอีกด้วย “ไม่ใช่ว่าคุณมาหลอกถามผมเพราะกำลังตามหาแฟนกับชู้นะครับ”
คำพูดดักคอแบบนั้นทำให้วีรพัทธ์ใจเสีย แต่ก็พยายามกลบเกลื่อนด้วยรอยยิ้มและท่าทีขบขัน “เปล่า แฟนผมยังทำงานอยู่เลย ผมถึงได้หนีมาเที่ยวกับเพื่อนได้ไง”
“แล้วทำไมคุณมาคนเดียวล่ะครับ?”
“ก็…”
วีรพัทธ์ยกฝ่ามือขึ้นเกาท้ายทอย พลางก็ก้มหน้าลงเพื่อซ่อนพิรุธ แต่พนักงานคนนั้นกลับคิดว่าชายหนุ่มเขินอายที่จะใช้คู่นอนคนเดียวกันกับเพื่อน
“อ้อ… ผมเข้าใจแล้วครับ” พนักงานโคลงศีรษะแล้วมองมาที่วีรพัทธ์ยิ้ม ๆ หนุ่มหล่อตรงหน้าไม่ใช่คนแรกที่มีรสนิยมแบบนั้น “3P สินะ” เขาพูดกับตัวเองเสียงเบา
แต่ยังไม่ทันที่พนักงานคนนั้นจะพูดอะไรต่อ ทั้งสองก็ได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจากห้องข้าง ๆ
“สงสัยคงกำลังจะกลับกันแล้วมั้งครับ” พนักงานคนนั้นยกข้อมือขึ้นมาดูเวลาบนหน้าปัดนาฬิกา “ครบสองชั่วโมงพอดี”
ห้องทั้งสองมีกำแพงที่ทำเป็นช่องจอดรถคั่น ทำให้วีรพัทธ์ไม่ได้ยินเสียงจากห้องข้าง ๆ มากนัก
“จะให้ผมเรียกให้มั้ยครับ?” พนักงานคนนั้นเสนอเมื่อเห็นว่าวีรพัทธ์ยังยืนอยู่ที่เดิม ทั้ง ๆ ที่บอกว่าจะมาหาเพื่อน
“ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมไปคุยกับพวกเขาเอง”
วีรพัทธ์เดินตามพนักงานออกมาจนถึงม่านพลาสติกสูงตั้งแต่ชายคาจนระพื้น เขายื่นมือไปกำม่านเอาไว้แต่ยังไม่ยอมเปิดออก ชายหนุ่มเงี่ยหูฟังการสนทนาของคนในนั้น แต่เขาก็ไม่ได้ยินอะไรนอกจากเสียงปิดประตูและเสียงเครื่องยนต์
รถยนต์คันนั้นกำลังจะถอยออกจากช่องจอด หลังพนักงานชายอีกคนดึงม่านเปิดให้ วีรพัทธ์จึงตัดสินใจกระชากม่านห้องของตัวเองออกมา ในตอนนั้น รถยนต์คันนั้นก็ถอยมาอยู่ตรงหน้าห้องของเขาพอดี วีรพัทธ์จึงได้เห็นใบหน้าของคนขับอย่างชัดเจน และเขาก็ได้เห็นรูปร่างเลือนรางของคนที่นั่งอยู่อีกฝั่งที่มีลักษณะคล้ายกับสหัสสะเพียงแต่เขาเห็นหน้าไม่ชัดเท่านั้นเอง
“ไมล์!” เขาตะโกนเรียกชื่อคนรักออกไป นั่นทำให้คนขับรถคันนั้นหันกลับมามอง ก่อนจะรีบเหยียบคันเร่งขับออกไปในทันทีราวกับมีคนบอกว่าต้องหนี
วีรพัทธ์รีบกดโทรศัพท์มือถือต่อสายหาสหัสสะอีกครั้ง หรือบางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดไปเอง เห็นหน้าไม่ชัดสักหน่อย อาจแค่หน้าคล้ายก็ได้ ตอนนี้อีกฝ่ายอาจกลับไปรอเขาอยู่ที่ห้องแล้ว
ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก วีรพัทธ์เพียรกดโทรออกหลายต่อหลายครั้งก็ได้ยินแต่ประโยคซ้ำ ๆ เดิม ๆ ชายหนุ่มอยากจะกลับไปขึ้นรถแล้วขับตามไปเหลือเกินแต่เขาก็ก้าวขาไม่ออก จึงได้แต่ยืนตัวแข็งทื่ออยู่ตรงนั้นนานหลายนาที จนกระทั่งมีพนักงานคนหนึ่งเข้ามาเก็บห้อง
วีรพัทธ์มองลอดช่องผ้าม่านเข้าไปในนั้น ในห้องหมายเลขสิบแปด แววตาของเขาเจ็บปวด หัวใจก็ถูกบีบอย่างหนักหน่วง ในขณะที่สมองกำลังคิดหาเหตุผลว่าหากคนในรถคันนั้นเป็นสหัสสะจริง ๆ แล้วมีเหตุผลอะไรที่ชายคนรักจะต้องทำแบบนั้น เรื่องเงินคงตัดไปได้เลยเพราะเขาเองก็รวยล้นฟ้า เพียงแค่สหัสสะเอ่ยปากเขาก็พร้อมจะให้ แล้วทำไมถึงต้องทำแบบนั้นด้วย
เมื่อหาเหตุผลไม่ได้วีรพัทธ์ก็ใจชื้นขึ้นมาบ้าง เพราะบางทีเขาอาจจะเข้าใจผิดหรือคิดไปเอง เอาไว้ให้สหัสสะกลับมาแล้วเขาค่อยถามดีกว่า คนน้องไม่น่าจะทำเรื่องแบบนั้นได้อย่างแน่นอน
แต่ก่อนที่วีรพัทธ์จะหมุนตัวกลับไปที่จอดรถของตัวเอง เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่างเล็ดลอดออกมาจากในห้องนั้น ห้องหมายเลขสิบแปดที่มีพนักงานชายเดินเข้าไปเพียงลำพัง แล้วทำไมจึงมีเสียงดังราวกับคนกำลังร่วมรักกันดังออกมาจากในนั้น
“นั่นอะไร?”
พนักงานชายคนนั้นหันขวับมามองหน้าวีรพัทธ์อย่างตกใจพร้อมกับท่าทางลนลาน เขารีบลดโทรศัพท์มือถือในมือลงและทำท่าจะเก็บมันยัดเข้าไปในกระเป๋ากางเกง แต่วีรพัทธ์ที่ช่างสังเกตและตาไวกว่าทันได้เห็นภาพเคลื่อนไหวที่หน้าจอ ชายหนุ่มแย่งมันมาทันทีตามสัญชาตญาณ และลางสังหรณ์บางอย่างที่กำลังบอกว่ามันอาจเกี่ยวข้องกับสหัสสะ
หัวใจในอกข้างซ้ายของวีรพัทธ์เต้นแรงราวกับจะทะลุออกมา เมื่อสายตาสบเข้ากับภาพเคลื่อนไหวบนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ภาพของผู้ชายคนนั้นคนที่เพิ่งขับรถออกไป กำลังร่วมรักอย่างเมามันกับใครอีกคน
“ไมล์!”
โทรศัพท์มือถือถูกแย่งคืนไปอยู่ในมือของพนักงานชายที่แอบถ่ายลูกค้า ก่อนที่เขาจะรีบกดลบคลิปวิดีโอแอบถ่ายทันทีเพราะกลัวความผิด
“ผมลบแล้ว พี่อย่าเอาเรื่องผมเลยนะครับ ผมสาบานว่าไม่ได้กดส่งออกไปไหน ลบไปแล้วจริง ๆ ครับ”
พนักงานคนนั้นหน้าซีดเหงื่อตกเพราะกลัวความผิด ด้วยได้ยินจากเพื่อนพนักงานอีกคนว่าแขกห้องสิบเก้าเป็นเพื่อนกับแขกห้องสิบแปดที่เขาเอาโทรศัพท์มือถือมาตั้งกล้องแอบถ่ายเอาไว้ และเมื่อเห็นว่าวีรพัทธ์เอาแต่ยืนนิ่ง พนักงานคนนั้นก็ทำท่าจะวิ่งหนี
“เดี๋ยว!”
วีรพัทธ์ได้สติขึ้นมาจึงกระชากแขนจนอีกฝ่ายเสียหลัก พนักงานหนุ่มที่กลัวความผิดจึงรีบคุกเข่าแล้วยกมือไหว้ขอร้อง
“พี่อย่าทำอะไรผมเลยนะครับ ผมมียายกับแม่ที่แก่แล้วก็ป่วย น้องก็กำลังเรียนมอต้น ผมต้องส่งเสีย ถ้าผมติดคุกทุกคนต้องลำบากแน่ ๆ เลยครับ ผมสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแบบนั้นอีก”
วีรพัทธ์นิ่งฟัง ก่อนจะล้วงกระเป๋าแล้วหยิบธนบัตรใบละพันหลายใบยื่นให้ ทำพนักงานคนนั้นยิ่งตกใจเข้าไปอีก
“เอาไปซื้อมือถือเครื่องใหม่”
ชายหนุ่มปล่อยธนบัตรในมือให้ร่วงลงพื้น ก่อนจะเอื้อมไปแย่งโทรศัพท์มือถือเครื่องนั้นมาถือไว้ แล้วเขาก็หมุนตัวเดินออกมาจากห้องหมายเลขสิบแปด ฝ่ามือหนาออกแรงบีบจนโทรศัพท์แทบแหลก แล้วพาทั้งมันและตัวเองเข้าไปในรถ ก่อนจะขับออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไม่มีสัญญาณตอบรับจากหมายเลขที่ท่านเรียก กรุณาติดต่อใหม่อีกครั้งค่ะ”
เสียงจากระบบอัตโนมัติดังออกมาจากโทรศัพท์มือถือของวีรพัทธ์วนอยู่เช่นนั้นมาหลายชั่วโมงแล้ว ที่ข้าง ๆ กันเจ้าของมันกำลังเหม่อมองออกไปยังผืนน้ำเบื้องหน้า แสงสว่างจากสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาสาดลงมาให้เห็นเพียงราง ๆ เพราะมันเป็นเวลาตีสามของวันใหม่
หลายชั่วโมงแล้วที่วีรพัทธ์ไม่สามารถติดต่อสหัสสะได้ คำถามมากมายจึงผุดขึ้นมาในหัวใจว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาห่วงแสนห่วง กลัวแสนกลัว ห่วงว่าคนรักจะเป็นอะไรไป กลัวว่าภาพที่เขาเห็นในคลิปนั้นมันจะเป็นเรื่องจริง
แต่… มันจะไม่จริงได้อย่างไรในเมื่อเสื้อสีชมพูอ่อนที่กองอยู่บนเตียงสีขาวนั้นมันเป็นตัวที่วีรพัทธ์ให้คนรักเมื่อไม่กี่เดือนก่อนเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด เสื้อคู่ที่เขาเองก็มีอยู่อีกตัวหนึ่ง มันมีแค่สองตัวในโลกเท่านั้นเพราะเขาสั่งทำขึ้นมาเอง และใบหน้าด้านข้างของคนที่นั่งควบอยู่บนกึ่งกลางกายของผู้ชายคนนั้นก็เป็นหน้าเดียวกันมุมเดียวกันกับที่เขาเห็นในยามร่วมรัก แล้วจะเอาอะไรมาไม่ใช่สหัสสะ พอคิดได้ดังนั้นฝ่ามือหนาที่กำโทรศัพท์มือถือเครื่องที่คลิปถูกลบไปแล้วก็สั่นแรง เพราะเจ้าของมันออกแรงบีบแน่น ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงแขนขว้างมันลงไปในแม่น้ำอย่างแสนโกรธแค้น
วีรพัทธ์ค่อย ๆ หยัดตัวขึ้นยืน เขากำหมัดทั้งสองข้างแน่น ก่อนจะต่อยมันกับเสาสะพานอย่างไม่คิดจะยั้งเพื่อระบายความเจ็บปวด
พลั่ก ๆ ๆ ๆ
เสียงอะไรบางอย่างที่กระทบกับผนังห้องฉุกเฉินทำให้พยาบาลที่อยู่ในห้องต้องเดินออกมาดู ก่อนที่เธอจะอุทานอย่างตกใจเมื่อพบว่านักแสดงชื่อดังอย่างวีรพัทธ์กำลังซัดหมัดเข้ากับผนังห้องจนข้อมือแตกเลือดอาบไปทั่วหลังมือ
“ว้าย! ตายแล้ว”
เจ้าหน้าที่ต่างกรูกันออกมาดู พอตั้งสติได้ก็รีบเข้าไปห้าม พร้อมทั้งเขย่าร่างสูงที่ดูเหมือนจะขาดสติให้ได้สติขึ้นมา
“น้องวีร์คะ น้องวีร์”
พยาบาลนางหนึ่งที่ชื่นชอบวีรพัทธ์ร้องเรียกอย่างเป็นห่วง เธอบอกเพื่อนพยาบาลด้วยกันให้รีบไปตามหมอมาให้ที
“ต้องพบจิตแพทย์มั้ย?”
เพื่อนพยาบาลอีกคนถามกลับด้วยน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก เพราะไม่กี่นาทีก่อนพวกเธอกำลังถกเถียงกันอยู่ในห้องฉุกเฉินหลังเคลียร์เคสต่าง ๆ เรียบร้อยหมดแล้ว ด้วยสภาพของคนไข้ที่ชื่อสหัสสะบ่งบอกได้ว่าชายหนุ่มหน้าหวานนัยน์ตาเศร้าคนนั้นโดนอะไรมา และคนที่ทำก็คือนักแสดงหนุ่มคนดังคนนี้ เธอที่สงสารสหัสสะจึงไม่พอใจ แต่เพื่อนสาวอีกคนที่เป็นแฟนคลับของวีรพัทธ์กลับเข้าข้าง หาข้ออ้างในการกระทำดิบเถื่อน เธอจึงอดที่จะประชดประชันไม่ได้ แต่ด้วยจรรยาบรรณที่ค้ำคออยู่จึงจำเป็นต้องทำตามหน้าที่
วีรพัทธ์ถูกพาเข้ามาสงบสติอารมณ์ในห้องฉุกเฉิน หมอให้ยานอนหลับ และพยาบาลก็ทำแผลที่มือให้เรียบร้อย ก่อนชายหนุ่มจะหลับไปยังขอร้องพยาบาลคนที่เป็นแฟนคลับว่าขอพักห้องเดียวกับสหัสสะ โดยอ้างว่าเขาอยากปรับความเข้าใจ
พยาบาลสาวที่แอบเอาใจช่วยเป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงรับปากว่าจะจัดการให้ ไม่นานสหัสสะก็ถูกย้ายจากห้องเตียงเดี่ยวมาเป็นเตียงคู่ ที่มีคนไข้หน้าคุ้นนอนพักอยู่ก่อนแล้ว
ชานนท์ยืนเท้าเอวอยู่ระหว่างสองเตียง เขามองทั้งสองสลับไปมา ก่อนจะมาหยุดที่ใบหน้าซีดเซียวของสหัสสะที่กำลังหลับใหลโดยไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเองบ้าง ใจหนึ่งชานนท์ก็สงสารหนุ่มรุ่นน้องที่จะต้องตื่นมาเจอหน้าวีรพัทธ์ แต่อีกใจก็อยากให้ทั้งสองได้ใช้เวลายามเจ็บป่วยด้วยกัน บางทีวีรพัทธ์อาจกำลังพยายามทำอะไรบางอย่าง ไม่เช่นนั้นคงไม่ยอมเจ็บตัวเพื่อหาข้ออ้างเข้ามานอนในห้องเดียวกันแบบนี้หรอก
ชานนท์หันไปทางเพื่อนรัก เขาหลุบมองแผลที่มือวีรพัทธ์อย่างรู้ทัน ใจหนึ่งก็อยากจะอยู่ขัดขวางเพราะยังเคืองไม่หาย แต่อีกใจก็สงสารเมื่อคิดถึงความหลัง สภาพของวีรพัทธ์ตอนนี้ไม่ต่างจากคืนนั้นเลย คืนที่เพื่อนรักมาหาเขาตั้งแต่ท้องฟ้ายังไม่สาง ด้วยสภาพขอบตาช้ำ ใบหน้าเกรอะกรังไปด้วยน้ำตา และที่มือทั้งสองข้างมีรอยเลือดที่เกิดจากการต่อยเสาสะพาน รวมทั้งคำตัดพ้อสิ้นหวังที่ออกมาจากปากเพื่อนรักที่เคยเป็นคนเข้มแข็งและแสนดี
“เขาทิ้งกูไปแล้ว”
หลังจากวันนั้นชานนท์ก็ช่วยวีรพัทธ์ตามหาสหัสสะ แต่ทั้งสองก็ไม่พบหนุ่มรุ่นน้องอีกเลย สหัสสะดร็อปเรียนและหายไปอย่างไร้ร่องรอย วีรพัทธ์จมอยู่กับความทุกข์นานร่วมปี ความเจ็บปวดทรมานและความไม่เข้าใจในสิ่งที่ตนเองถูกกระทำจากคนรักสั่งสมกลายเป็นความเจ็บแค้น แม้เพื่อนของเขาจะพยายามใช้ชีวิตต่ออย่างแข็งแกร่งในสายตาคนอื่น แต่ชานนท์รู้ดีว่าวีรพัทธ์อ่อนแอแค่ไหน แม้วันที่ได้กลับมาพบกับสหัสสะอีกครั้ง เขาก็ยังไม่เคยหยุดเสียใจเลย
