ตอนที่ 2.2 คนรักเก่า
วีรพัทธ์ลากสหัสสะมาจนถึงรถยนต์ของตัวเองที่จอดอยู่ด้านหน้าผับแห่งนั้น ก่อนจะจับคนตัวเล็กกว่ายัดเข้าไปในรถอย่างไม่คิดจะปรานี
“ไอ้วีร์ ไหนมึงว่าจะให้กูไปส่งไง” ชานนท์รีบยื้อแขนเพื่อนไว้เพราะกลัวว่าวีรพัทธ์จะทำรุนแรงกับสหัสสะในขณะที่ยังอารมณ์ร้อนอยู่
“ก็มึงบอกว่าเป็นหน้าที่ของผู้จัดการของกูไม่ใช่เหรอ?” วีรพัทธ์สะบัดแขนออกจากการเหนี่ยวรั้งของเพื่อน แล้วก้าวขึ้นไปนั่งยังฝั่งคนขับ
“มึงต้องรับปากกูก่อนว่าจะไม่ทำอะไรไมล์” ประตูรถไม่สามารถปิดลงได้เพราะชานนท์ดึงไว้พร้อมกับบังคับให้เพื่อนรับปาก แม้ชานนท์จะรู้ว่าวีรพัทธ์ยังรักสหัสสะมาก แต่เขาก็ไม่ไว้ใจอีกฝ่ายที่อยู่ในสภาวะอารมณ์หึงหวงและเมามากแบบนี้
“กูทำแน่”
แต่แทนที่วีร์พัทธ์จะรับปากว่าไม่ทำร้าย เขากลับยืนยันว่าจะเอาให้ตาย ก่อนจะใช้จังหวะที่ชานนท์กำลังตกใจดึงประตูรถปิดลง แล้วกระชากเกียร์เหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว
“ไอ้เหี้ยวีร์!” ชานนท์สบถเสียงดังอย่างตกใจพร้อมกับมองตามท้ายรถเพื่อนอย่างเป็นห่วงสหัสสะว่าจะรับอารมณ์ของวีรพัทธ์ไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจวิ่งไปขึ้นรถของตัวเอง แล้วขับตามไปในทันที
ภายในรถ Porsche สีขาว สหัสสะนั่งตัวลีบติดกับประตูอีกด้านอย่างระวังตัว เขารู้ดีว่าวีรพัทธ์กำลังโกรธจัด แต่สาเหตุมาจากอะไรกลับไม่กล้าเดา
เพราะเขาไปปรากฏตัวที่นั่น หรือเพราะเขาคุยกับรุ่นพี่ที่เคยไม่ถูกกันกับวีรพัทธ์มาก่อน หรือเพราะ… สหัสสะไม่กล้าคิดว่าเป็นเพราะวีรพัทธ์หึงหวง เพราะตลอดเวลาสองเดือนที่อยู่ด้วยกันมันมีแต่ความเกลียดชัง ทั้งสายตาที่วีรพัทธ์มองเขา ทั้งคำพูด ทั้งการกระทำ ไม่มีตรงไหนที่จะบอกว่าอีกฝ่ายยังเหลือเยื่อใย และเขาเองก็ไม่เคยคิดจะหวัง
หลังจากที่ออกมาจากผับวีรพัทธ์ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเหยียบคันเร่งราวกับจะเหาะไปให้ถึงคอนโดไว ๆ ใบหน้าหล่อบึ้งตึงตั้งตรงมองไปบนถนนเบื้องหน้า สายตาคมแข็งกร้าวแทบไม่กะพริบ ริมฝีปากเม้มเข้าหากันเป็นระยะราวกับกำลังพยายามจะสะกดกลั้นความโกรธ ไม่สนใจสิ่งรอบข้าง แม้ว่าที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือจะส่งเสียงดังเพราะสายเรียกเข้าจากชานนท์ วีรพัทธ์ก็ไม่คิดจะรับ จนสหัสสะตัดสินใจเอื้อมมือไปหยิบมารับสายเสียเอง
“ครับพี่นนท์”
[ไมล์ เป็นอะไรหรือเปล่า]
“ไม่ครับ ไมล์ไม่เป็นไรครับ” สหัสสะพยายามทำเสียงใสเพื่อให้ชานนท์สบายใจ ในขณะที่วีรพัทธ์ได้ยินเช่นนั้นก็ยิ่งไม่สบอารมณ์ เขาจึงกดเท้าเหยียบคันเร่งจนมิด
[บอกไอ้วีร์ว่าให้ลดความเร็วลงเพราะข้างหน้ามีตำรวจตั้งด่าน]
“ครับ”
[แล้วอีกอย่างมันก็ดื่มไปเยอะ พี่ว่าจอดก่อนดีกว่า ถ้าถูกเรียกเป่าแอลกอฮอล์จะเป็นเรื่องใหญ่]
สหัสสะหันขวับไปมองใบหน้าแดงก่ำของวีรพัทธ์ในทันที ที่เข้าใจว่าหน้าแดงเพราะโกรธจัดอาจเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่คงผสมกับอาการเมาด้วย
“ขอบคุณครับ แค่นี้ก่อนนะครับพี่นนท์” ทันทีที่วางสาย สหัสสะก็รีบบอกวีรพัทธ์ “พี่นนท์บอกว่าข้างหน้ามีด่าน ผมว่าคุณวีร์จอดรถก่อนเถอะครับ ถ้าถูกเรียกเป่าแอลกอฮอล์จะเป็นข่าวนะครับ”
“ช่างแม่งปะไร!” นั่นเป็นวลีแรกที่วีรพัทธ์พ่นออกมาหลังจากที่ขึ้นมานั่งอยู่หลังพวงมาลัย
“ไม่ได้นะครับ” สหัสสะกึ่งห้ามกึ่งขอร้อง “คดีเมาแล้วขับมันเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีสำหรับศิลปินนักแสดง อนาคตในวงการจะไม่เป็นไปอย่างที่คุณเคยฝันนะครับ โดยเฉพาะกับคอนเสิร์ตที่กำลังจะเกิดขึ้นเดือนหน้า”
ทันทีที่สหัสสะใช้ความฝันของวีรพัทธ์มาเป็นข้อต่อรอง เขาก็ตบไฟเลี้ยวแล้วหักพวงมาลัยเข้าข้างทางทันที ไม่ใช่เพราะกลัวไม่มีอนาคตในวงการบันเทิง แต่เป็นเพราะคนที่เอามันมาอ้างเคยวาดฝันไว้ด้วยกันแต่กลับทิ้งเขาไว้กลางทางเพียงลำพัง
“นายกล้าพูดได้ยังไงในเมื่อนาย…” เขาอยากจะด่าว่าสหัสสะที่เป็นคนทิ้งมันไป และเขาเองไม่เหลือใจจะเดินต่อ แต่เพราะสหัสสะนั่นแหละที่เข้ามาเจ้ากี้เจ้าการสานต่อทุกอย่างเพียงเพราะต้องการเงิน!
แต่เพราะแววจริงใจในดวงตาคู่เศร้าที่มองสบมาพร้อมกับน้ำตาที่เอ่อคลอทำให้วีรพัทธ์กลืนคำพูดเหล่านั้นไป เพราะไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรื้อฟื้น เมื่อสหัสสะกลับเข้ามาเพราะต้องการเพียงแค่เงิน เขาก็จะทำให้ แต่จะต้องแลกกับอะไรก็ตามแต่ที่เขาต้องการ
วีรพัทธ์เอื้อมมือไปกระชากร่างเล็กกว่าเข้ามาหาตัว ก่อนจะเอ่ยเสียงต่ำ “ถ้าไม่อยากให้ฉันโดนจับ ก็มาขับ” เขายื่นข้อเสนอแกมบังคับ
สหัสสะเมินใบหน้าหลบสายตาแข็งกร้าวที่กำลังจับจ้อง ก่อนจะรับคำเพราะคิดว่ามันเป็นหนทางที่ดีที่สุด “ปล่อยก่อนสิครับ ผมจะลงไปสลับที่”
“ไม่ต้องลง”
วีรพัทธ์ดึงตัวสหัสสะข้ามคอนโซลกลางมายังเบาะคนขับโดยที่เขายังนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะดึงเบาะให้ถอยไปด้านหลังแล้วตัวเองก็ถอยตามไป โดยมีคนตัวเล็กกว่านั่งอยู่ในหว่างขา
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะครับ”
“ใครบอกว่าไม่ได้ ตำรวจหรือนาย ถ้าเป็นนาย ไม่มีอะไรที่ฉันต้องการแล้วไม่ได้หรอกนะ”
“ถ้าตำรวจเรียกตรวจแล้วเห็นเรานั่งแบบนี้ มีหวังโดนอีกคดี”
“คดีอะไร?”
“อนาจารมั้งครับ” สหัสสะประชดอย่างเหลืออด แม้วีรพัทธ์จะไม่ได้คุกคามหรือมีทีท่าจะทำเรื่องอย่างว่า แต่การนั่งขับรถในท่านี้มันก็หมิ่นเหม่เกินไป
“มีกฎหมายข้อไหนห้ามไม่ให้นั่งแบบนี้งั้นเหรอ ก็ลองดูสิว่าตำรวจจะจับมั้ย ในเมื่อฉันดื่มไม่ขับ ส่วนนายเป็นคนขับแต่ไม่ได้ดื่ม”
ดูเหมือนว่าการที่สหัสสะมานั่งอยู่ในหว่างขา การที่เขาได้สัมผัสร่างนุ่มนิ่มแนบชิดแผ่นหลังแล้วจะทำให้อารมณ์โกรธของวีรพัทธ์ลดลง เหลือเพียงความกวนโทสะให้สหัสสะอึดอัดใจเท่านั้น แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จึงจำใจต้องออกรถไปในท่านั้น
สหัสสะเข้าเกียร์และเหยียบคันเร่งอย่างช้า ๆ เพราะห่างหายจากการนั่งหลังพวงมาลัยรถคันหรูมาเสียนาน ก็ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อนนั่นแหละ
แสงไฟจากสองข้างทางในเวลาห้าทุ่มสาดเข้ามากระทบสายตาพร้อมภาพความหลังไหลผ่านเข้ามาเป็นฉาก ๆ ภาพในวันที่ความรักกำลังผลิบาน
“เหยียบเบรก เข้าเกียร์ แล้วค่อย ๆ ปล่อยเบรก อย่าเพิ่งเหยียบคันเร่งนะครับ”
สหัสสะลองทำตามที่วีรพัทธ์สอนอย่างช้า ๆ แต่ท่าทางก็ยังดูเก้กังกลัว ๆ กล้า ๆ
“ถ้าไมล์ปล่อยเท้ามันจะพุ่งไปข้างหน้ามั้ยครับพี่วีร์”
วีรพัทธ์ยกยิ้ม แล้วสอนคนรักที่นั่งอยู่ในหว่างขาหลังพวงมาลัยอย่างใจเย็น “ค่อย ๆ ปล่อยช้า ๆ อย่างนั้น เก่งมากครับ” พอสหัสสะทำได้เขาก็เอ่ยชม “ทีนี้ขยับเท้าไปแตะที่คันเร่ง ค่อย ๆ นะครับ อย่าเพิ่งกดลงไป”
รถยนต์คันหรูเคลื่อนตัวไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า ห่างไกลจากสมรรถนะที่มันทำได้ เพราะคนขับยังเป็นมือใหม่
“ตั้งพวงมาลัยตรง ๆ ก่อนนะครับ อื้มอย่างนั้น” คนสอนก็ใจเย็นและใจดีให้รางวัลมือใหม่หัดขับอยู่บ่อยครั้งด้วยการหอมลงบนหัวไหล่บ้างข้างแก้มบ้าง
“ฮื่อพี่วีร์ อย่ารบกวนสมาธิไมล์สิครับ” คนขับต้องคอยย่นคอหนี จะผละมือออกจากพวงมาลัยมาตีก็ไม่กล้าเพราะกลัวว่าจะบังคับล้อไม่ได้
“ไม่ต้องกลัวน่า พี่นั่งอยู่ตรงนี้ ไม่ปล่อยให้ไมล์ขับตกถนนแน่” แม้จะเป็นถนนกว้างขวางขนานกับชายหาดริมทะเลที่ไม่ค่อยมีรถผ่านสักเท่าไรก็ตาม
คู่รักวัยมหาวิทยาลัยอาศัยวันหยุดสุดสัปดาห์ขับรถมาพักผ่อนต่างจังหวัดสองวันหนึ่งคืน และสถานที่โปรดที่วีรพัทธ์กับสหัสสะมาบ่อยที่สุดก็คือชายหาดอันเงียบสงบในจังหวัดจันทบุรี เพราะที่นี่เป็นสถานที่แห่งความทรงจำ เป็นที่ที่วีรพัทธ์ขอสหัสสะเป็นแฟนเมื่อครั้งที่ทั้งสองมาร่วมกิจกรรมรับน้องคณะนิเทศศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังที่พวกเขาเรียนอยู่
เมื่อมือใหม่หัดขับเริ่มขับคล่องขึ้น ก็ใจกล้าขอคนรักขับกลับไปยังโฮมสเตย์ที่พักที่เป็นถนนแคบ ๆ ด้านหนึ่งเป็นป่าอีกด้านเป็นนากุ้ง
ในขณะที่สหัสสะนั่งตัวเกร็ง สายตาเล็งมองทางเบื้องหน้าเพราะกลัวว่าจะพารถยนต์คันหรูของวีรพัทธ์ตกลงไปในนากุ้ง ฝ่ายวีรพัทธ์ก็เอาแต่นั่งขำกับท่าทางน่ารักของอีกฝ่าย เขาแกล้งด้วยการเอื้อมมือมาจากด้านหลัง ลูบ ๆ คลำ ๆ อยู่บนหน้าขาของคนข้างหน้า
“พี่วีร์อย่า!” คนขับก็เกร็งมือบังคับพวงมาลัย คนขี้แกล้งก็ไม่ยอมหยุด ยังขยับลำตัวมาเบื้องหน้า เอาแผงอกแนบกับแผ่นหลังบอบบาง จมูกโด่งเฝ้ากดลงตรงข้างขมับบ้าง ข้างแก้มบ้าง บางทีก็ทำเป็นซุกไซ้ จนมือใหม่หัดขับถึงกับร้องโวยวาย “ถ้าไมล์ทำรถป้ายแดงของพี่วีร์ตกลงไปในนากุ้ง จะมาว่าไมล์ไม่ได้นะครับ”
“พี่ให้คุณแม่ซื้อคันใหม่ให้ก็ได้” ไม่ได้อวดรวยหรอกนะ แต่วีรพัทธ์คิดว่ามันเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับลูกชายคนเดียวทายาทเจ้าของธุรกิจมูลค่าหมื่นล้านอย่างเขา
“เหม็นคนรวย”
สหัสสะต่อว่าอย่างไม่จริงจังนัก เพราะแม้วีรพัทธ์จะรวยล้นฟ้า แต่ก็ไม่เคยแสดงตนข่มคนที่ด้อยกว่าโดยเฉพาะกับเขาที่เป็นแค่ลูกคนงานเย็บผ้าหาเช้ากินค่ำ วีรพัทธ์สามารถจอดรถคันหรูไว้ข้างถนนแล้ววิ่งตามเขาขึ้นรถเมล์ กินข้าวแกงข้างทาง หรือแม้แต่ไปนั่งรอเขาทำงานพิเศษเพื่อหาเงินมาจ่ายค่าเทอม
ตัวสหัสสะเองก็ไม่เคยแบมือขอเงินแม้รู้ว่าวีรพัทธ์จ่ายทุกอย่างให้ได้ และนั่นอาจเป็นหนึ่งในเหตุผลที่วีรพัทธ์ชอบเขา เพราะชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้เกลียดนักพวกหิวเงินและเข้าหาเพราะหวังรวยทางลัด
ทั้งสองตกอยู่ในห้วงแห่งความรักเป็นเวลากว่าสองปี ก่อนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไป…
“ขับช้าแบบนี้อีกกี่ปีจะถึง เหยียบให้มันเร็ว ๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
วีรพัทธ์ตะคอกใส่คนที่นั่งอยู่ในหว่างขาหลังพวงมาลัย เมื่อทั้งสองผ่านด่านตรวจมาได้โดยที่ไม่ต้องเป่าแอลกอฮอล์ แต่ตำรวจก็มองบนนิดหน่อยที่พวกเขาอยู่ในท่าล่อแหลม และตักเตือนว่ามันไม่ควร หลังสหัสสะยิ้มหวานให้ตำรวจก็เคลื่อนรถออกมา แต่ขับช้าราวกับว่าสติไม่ได้อยู่กับตัว
เสียงตะคอกที่ดังอยู่หลังใบหูปลุกให้สหัสสะตื่นจากภวังค์ความหวานเมื่อสี่ปีก่อน ก่อนที่จะคิดได้ว่าวีรพัทธ์คนเดิมไม่มีอีกต่อไปแล้ว และเขาเองก็ไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป เพราะทุกลมหายใจเข้าออกของสหัสสะคือเงินเท่านั้น และที่เขาต้องเข้ามาในชีวิตของวีรพัทธ์อีกครั้งก็เพราะต้องการหาเงิน!
หลังสะกดจิตตัวเองไม่ให้เคลิ้มไปกับสัมผัสของคนด้านหลังแม้ว่ามันจะไม่ได้อ่อนโยนนักก็ตาม สหัสสะก็เริ่มเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็ว ไม่นานทั้งสองก็กลับมาถึงคอนโดที่พัก
หลังเข้ามาในห้องชุดวีรพัทธ์ก็ทำท่าจะล้มตัวลงนอนบนโซฟากลางห้อง ในขณะที่สหัสสะกำลังอ่านข้อความจากหน้าจอโทรศัพท์มือถือด้วยสีหน้ากังวล เขาสูดลมเข้าปอดแล้วปิดหน้าจอก่อนจะหันมาพูดกับวีรพัทธ์ด้วยน้ำเสียงเรียบที่พยายามบังคับไม่ให้มันสั่น
“ผมอยากได้เงินสองหมื่น”
วีรพัทธ์ที่เพิ่งล้มตัวลงบนโซฟาหรี่ตามอง เขากระตุกยิ้มเยาะ ก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงเรียบไร้ความรู้สึก
“อย่างนั้นก็ทำอย่างที่นายถนัดสิ แล้วฉันจะโอนเศษเงินนั่นให้”
“ตรงนี้เหรอครับ?”
“ตรงนี้! และ เดี๋ยวนี้!”
