13
บทที่ 13
เด็กสาวพยายามกลั้นน้ำตา เมื่อได้ยินคำพูดที่เหมือนเป็นลางร้ายของปู่ “หนูให้ปู่ได้ทุกอย่าง แต่เราค่อยมาคุยกันหลังจากปู่หายป่วยดีกว่านะจ๊ะ”
“หยิน ลูกเอ๊ย...” มือที่เหี่ยวย่นเอื้อมไปแตะใบหน้าที่บวมช้ำด้วยความเจ็บปวดใจ “ถ้าไม่มีคุณฟิลลิปก็ไม่มีเราในวันนี้ หนูจะต้องกตัญญูต่อท่าน ต้องอดทนและเข้มแข็งให้มาก ๆ ไม่ว่าหนทางข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หนูรับปากปู่ได้ไหมลูก ว่าหนูจะไม่ทิ้งท่านไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”
“ปู่อย่าเพิ่งพูดอะไรเลยครับ หายดีแล้วค่อยมาคุยกันอีกทีดีกว่า” ฟิลลิปเห็นอาการเหนื่อยหอบของชายชรา ที่กำลังถ่ายทอดคำพูดเหมือนสั่งเสียก็ห้ามเอาไว้
“อย่าห้ามปู่เลยนะ เพราะปู่รู้ตัวดีว่าปู่คงอยู่ได้อีกไม่นานแล้ว ขอให้ปู่ได้สั่งเสียเป็นครั้งสุดท้ายเถอะนะคุณท่าน” อุดมจับมือของชายหนุ่ม มองเขาด้วยสายตาเลื่อมใสศรัทธา “ปู่ขอฝากหลานสาวของปู่ไว้กับคุณท่านด้วยนะ ไม่ต้องรักเธอเท่ากับที่ผมรักก็ได้ แต่ขอให้เมตตาเอ็นดูเธอ สงสารเธอให้มาก ๆ ก็พอ” เขารู้ว่าชายหนุ่มคนนี้รักหลานสาวของเขามาตลอด แต่เขาก็ไม่รู้ว่าความรักนั้นจะหมดลงเมื่อไหร่
“ครับปู่ ผมจะดูแลหนูหยินอย่างดี ผมสัญญา” เห็นแววตาฝ้าฟางที่มองมาอย่างมีความหวัง เขาก็พยักหน้าตอบรับพร้อมกับบีบมือท่านแรงขึ้นเล็กน้อย
“รถพยาบาลมาแล้วค่ะ” เด็กสาวเอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงไซเรน และกำลังจะวิ่งออกไปต้อนรับเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาล แต่ผู้เป็นปู่ก็ไม่ยอมปล่อยมือ
“เดี๋ยวฉันออกไปเอง” ฟิลลิปบอกกับหญิงสาวแล้วปล่อยให้ปู่กับหลานได้อยู่ด้วยกัน
อุดมเริ่มหายใจโรยรินลงเรื่อย ๆ รู้ซึ้งดีกว่าใครว่าร่างกายของตนนั้นเป็นอย่างไร
“หยิน”
“จ๋าปู่” หญิงสาวเริ่มน้ำตาไหลเมื่อเห็นอาการสูดลมหายใจแรง ๆ ของปู่
“หนูต้องรักและเคารพคุณฟิลลิปเขาให้มาก ๆ ให้สมกับที่เขารักและเอ็นดูหนูนะลูก รับปากปู่สิ”
“ปู่อย่าเพิ่งพูดเลยนะ หายแล้วเราค่อยมาคุยกันใหม่นะจ๊ะ” เด็กสาวไม่ตอบเพราะกลัวว่าสิ่งที่คิดจะเป็นเรื่องจริง
“รับปากปู่สิลูก ปู่อยากได้ยินตอนที่ปู่ยังรู้สึกตัว”
“จ้ะปู่ หนูรับปากก็ได้จ้ะ แต่ปู่สัญญากับหนูก่อนนะว่าจะต้องรักษาตัวให้หาย อย่าทิ้งหนูไป”
“ปู่จะพยายาม” อุดมรับปากพร้อม ๆ กับที่แพทย์และเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเข้ามาถึงในห้อง หลังจากนั้นเขาก็ถูกจับตรวจร่างกาย และถูกอุ้มใส่เปลไปขึ้นรถพยาบาล ทุกอย่างที่เกิดในเวลาอันรวดเร็วนั้นเขารู้สึกตัวตลอด
หลังจากนั้นอีกหนึ่งวัน เขาก็มีไข้ขึ้นสูงกว่าเดิมจนถึงขั้นเพ้อและไม่รู้สึกตัวอีกเลย แต่เขากลับเห็นภรรยา ที่มาพร้อมกับลูกชายและลูกสะใภ้ มายืนรายล้อมอยู่ข้างเตียง ไม่ยอมพูดยอมจาแต่มีใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
สิบห้าวันแล้วที่อาการของปู่ไม่ตอบสนองต่อการรักษา ท่านหายใจได้ก็เพราะมีเครื่องช่วยหายใจ แต่เวลานี้ร่างกายก็เริ่มจะไม่ตอบสนองต่อเครื่องช่วยหายใจแล้วเช่นกัน หมอบอกให้เธอทำใจ เพราะปู่น่าจะอยู่กับเธอได้อีกไม่เกินหนึ่งหรือสองวันนี้เท่านั้น
แม้จะทำใจมาตั้งแต่วันแรก ๆ แต่เธอก็ยังไม่อาจยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้ ตลอดชีวิตของเธอมีเพียงปู่เท่านั้นที่คอยดูแลเอาใจใส่ จะอดหรืออิ่มก็ยังยิ้มและมีความสุขกันตามอัตภาพ เธออยากจะเอาชีวิตของเธอต่อชีวิตให้ท่านไปอีกสักยี่สิบ สามสิบปี ให้ท่านได้อยู่ดูความสำเร็จของเธอ ให้เธอได้ตอบแทนบุญคุณของท่านบ้าง ไม่ใช่ทิ้งกันไปแบบนี้
ฟิลลิปเห็นหญิงสาวที่นั่งปาดน้ำตาอยู่หน้าห้องไอซียูแล้วรู้สึกหดหู่ใจเหลือเกิน เขาไม่อยากเห็นเธอเป็นแบบนี้เลย เขาอยากให้เธอมีความสุขและร่าเริงเหมือนตลอดห้าปีที่ผ่านมา แต่มันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่เธอรักมากที่สุดกำลังจะจากเธอไป
“หนูหยิน”
หญิงสาวเจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นไปมองทางต้นเสียง เมื่อเห็นว่าเป็นใครก็รีบปาดน้ำตาแล้วลุกขึ้นยกมือไหว้เขา.. เขาก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ต้องมาลำบากเพราะเธอ เพราะตลอดระยะเวลาหลายวันมานี้ เขาเดินทางไปมาระหว่างฮ่องกงกับประเทศไทยแทบจะวันเว้นวัน
“กินข้าวบ้างหรือเปล่า ทำไมปล่อยให้ตัวเองโทรมแบบนี้ล่ะ” เขาดึงให้เธอนั่งลงข้าง ๆ สำรวจใบหน้าที่ตอบไปจนผิดหูผิดตา ทั้งที่ไม่ได้เจอกันแค่สามวัน
“ทานค่ะ แต่ก็ทานได้ไม่มาก” เธอพยายามที่จะกินให้มาก ๆ เพราะรู้ว่าร่างกายอยู่ได้ด้วยอาหาร แต่ท้องมันไม่ยอมรับท่าเดียว กินได้อย่างมากก็แค่สองสามคำ ถ้าฝืนไปมากกว่านั้นก็จะอาเจียนออกมาจนขมคอ
“กลัวเหรอ”
ดวงตากลมโตมองสบดวงตาสีนิลที่ล้อมไว้ด้วยแพขนตาดกดำ ให้มองยังไงก็เหมือนคนอินเดียผสมฝรั่งมากกว่าคนจีนถึงเจ็ดในสิบส่วน
“กลัวสิคะ ถ้าท่านจากหนูไปแล้ว แล้วหนูจะอยู่กับใคร” เธอตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ
“อยู่กับฉันนี่ไง ฉันไม่มีวันทิ้งเธอหรอกหนูหยิน”
คำตอบของเขาทำให้หัวใจของสาวน้อยเต้นรัว รีบหลบสายตาเพราะกลัวเขาจะมองเห็นความรู้สึกที่เก็บซ่อนเอาไว้.. อยู่กับเขาจะเหมือนอยู่กับปู่ได้อย่างไร ในเมื่อปู่ของเธอรักเธอมาก แต่กับเขา..เธอก็เป็นได้แค่เด็กที่ถูกอุปการะเอาไว้
“ขอบคุณค่ะ”
“เธอไม่เชื่อที่ฉันพูดเหรอหนูหยิน” เขารู้สึกได้จากน้ำเสียงของเธอ
“เชื่อสิคะ คุณก็พิสูจน์ให้หนูเห็นมาตลอดห้าปีแล้วนี่คะว่าไม่เคยทิ้งหนูกับปู่ คุณให้ความเมตตาแก่พวกเรา ดูแลเราอย่างดีมาตลอด จนถึงตอนนี้หนูยังให้คำตอบกับตัวเองไม่ได้เลยว่า ปู่ของหนูเป็นลูกจ้างของคุณจริงหรือเปล่า”
คิ้วเข้มดกดำขมวดเข้าหากัน เพิ่งจะรู้ว่าตลอดห้าปีมานี้เธอมีคำถามแบบนี้อยู่ในใจ “ปู่ของเธอช่วยดูแลบ้านให้ฉัน แลกกับการศึกษาเล่าเรียนของเธอ มันก็สมน้ำสมเนื้อแล้วนี่”
“มันคุ้มเหรอคะคุณท่าน”
“ฉันไม่ได้มองที่ความคุ้ม ฉันมองที่ความพอใจของฉันเป็นหลัก แต่เมื่อได้เห็นผลการเรียนของเธอ ฉันก็คิดว่ามันคุ้มค่ามาก ๆ ฉันไม่เสียดายเงินที่เสียไปเลยสักนิด” มือใหญ่วางลงบนศีรษะของหญิงสาวที่อายุห่างกันถึงสิบหกปีแล้วลูบเบา ๆ “เธอคือปาฏิหาริย์ของฉัน ดังนั้นเธอต้องเข้มแข็งและเป็นกำลังใจให้ฉัน เพราะถ้าเธออ่อนแอฉันก็คงจะอ่อนแอตามไปด้วย”
