14
บทที่ 14
เธออายุยี่สิบกว่าแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องเก็บงำความรู้สึกเอาไว้อีก เขาจะค่อย ๆ เผยความรู้สึกที่ซ่อนเอาไว้ตลอดหลายปี ให้เธอได้รู้ทีละนิด ๆ จนถึงวันที่เธอเรียนจบเมื่อไหร่ เขาจะสารภาพรักและขอเธอแต่งงาน
หัวใจของเธอเต้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง ไม่รู้ว่าที่เขาพูดนั้นหมายถึงอะไร แต่ก็คิดไปไกลว่าเขาชอบเธอ แต่เมื่อคิดดูอีกที เขาอาจจะพูดเพื่อให้กำลังใจเธอ เพราะไม่อยากให้โศกเศร้าเรื่องปู่ก็ได้.. มันคงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า เพราะนักธุรกิจหมื่นล้านที่มีข่าวกับสาวไฮโซมากหน้าหลายตาอย่างเขา คงไม่มาสนใจสาวโลโซแถมยังเป็นลูกเป็ดขี้เหร่อย่างเธอหรอก
“หนูจะเข้มแข็งค่ะ” เธอตอบรับพร้อมรอยยิ้มบาง
ท่าทางที่แสดงออกของเธอทำให้เขาผิดหวังไม่น้อย เพราะเธอเหมือนจะไม่เข้าใจความรู้สึกที่เขามีต่อเธอเลยสักนิด แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเขามีเวลาให้เธอตลอดชีวิตอยู่แล้ว
“ไปกินข้าวกันเถอะ”
“แต่หมอบอกว่าปู่อาจจะ..” เธอไม่กล้าพูดคำที่ไม่อยากให้เกิด
“กินข้าวแค่แป๊บเดียว แต่ถ้าเกิดอะไรขึ้นเดี๋ยวหมอก็โทรตามเราเอง” เขารู้ว่าเธอกังวล แต่การที่เธอนั่งรอเวลา ที่ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหนมันก็ไม่ถูกต้องนัก อย่างน้อย ๆ ข้าวสามมื้อเธอก็ควรกินให้ครบ เขาไม่รอฟังคำพูดของเธออีก โอบไหล่กลมกลึงแล้วพาเดินไปด้วยกัน
ปันหยีเดินตามแรงโอบของชายหนุ่ม ประหม่าอายจนขาแทบจะพันกัน ไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าไปมองเขา
การดูแลเอาใจใส่ของเขาทำให้เธอมีความสุข และลืมคิดถึงเรื่องของปู่ไปได้บ้าง แต่สองวันหลังจากนั้นเธอก็เป็นลมล้มทั้งยืน เมื่อสิ่งที่ไม่อยากให้เกิดได้กลายเป็นจริงขึ้นมา.. ปู่ของเธอจากไปแล้ว จากไปอย่างไม่มีวันกลับ ท่านทิ้งเธอไปแล้วจริง ๆ
งานศพถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย แต่ก็ถูกต้องตามพิธีทุกอย่าง มีเพียงเพื่อนที่มหาวิทยาลัยของเธอประมาณสามสิบคน เขา เอดิสัน และไซม่อนเท่านั้น แต่เธอก็พอใจมากแล้ว เพราะเธอกับปู่ก็เหมือนคนไร้ญาติขาดมิตร มีคนมาร่วมส่งท่านไปสู่สุขคติขนาดนี้ เธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว
หนึ่งอาทิตย์หลังจากงานศพ
ฟิลลิปเตรียมตัวพร้อมที่จะเดินทางกลับฮ่องกงในวันมะรืนนี้ แต่ใจของเขานั้นไม่ได้อยากจะเดินทางไปเพียงคนเดียวเหมือนทุกครั้งอีกแล้ว เขาอยากจะพาเธอไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่นด้วยกัน ไม่อยากทิ้งเธอไว้ข้างหลังให้ตัวเองต้องเป็นกังวล อยู่ที่นั่นถึงแม้เขาอาจจะไม่มีเวลาดูแลเธอมากนัก แต่ก็ยังใกล้หูใกล้ตา มีโอกาสได้เจอกันทุกวัน
ก๊อก ๆ ๆ
ขณะที่เขาจมอยู่กับความคิด ประตูห้องก็ถูกเคาะให้สัญญาณก่อนจะถูกเปิดออก แต่เมื่อเห็นหญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงนั้น เขาก็ต้องชักสีหน้าด้วยความแปลกใจออกมา…
“มิน่าล่ะ” เขาเอ่ยขึ้นอย่างราบเรียบ ไม่ได้แสดงอาการยินดียินร้าย ทั้งที่ไม่ค่อยพอใจกับการกระทำที่ดูไร้มารยาทของอีกฝ่าย และไม่พอใจไปถึงพี่ชายปากโป้งของเธอด้วย
“มิน่าอะไรคะพี่อี้” จินนี่จูงมือเพื่อนสาวคนสนิท เดินเข้าไปในห้องทำงานของญาติหนุ่มที่มีศักดิ์เป็นพี่ชาย เขากับเธอห่างกันสิบหกปี แต่ก็สนิทกันมาก เพราะเขากับพี่ชายแท้ ๆ ของเธอ เป็นทั้งเพื่อนและหุ้นส่วนธุรกิจที่สนิทกันมาก
“มิน่าถึงทำตัวไร้มารยาทในบ้านของพี่ไงล่ะ” ถ้าเป็นปันหยีเธอจะไม่ทำนิสัยแบบนี้เด็ดขาด เธอจะต้องรอให้เขาเปิดประตูและอนุญาตให้เข้ามาเท่านั้น
“ก็พี่อี้ไม่ยอมไปหาจินนี่เลยนี่คะ จินนี่ก็เลยต้องบุกมาที่นี่” หญิงสาวไม่ยี่หระต่อคำตำหนิ กลับมองเป็นเรื่องตลกเสียอีก “พี่อี้คะ นี่เพื่อนจินนี่”
“สวัสดีค่ะพี่อี้” หญิงสาวที่ถูกแนะนำยกมือไหว้ชายหนุ่ม มองใบหน้าหล่อคมเข้มสไตล์หนุ่มโปรตุเกสที่ไม่เคยลืมไปจากใจ “จำบีได้ไหมคะ”
ชายหนุ่มพิศเพ่งหญิงสาวที่แนะนำตัวว่าชื่อบี เพียงอึดใจก็พยักหน้ารับ “ที่เคยไปบ้านพี่กับจินนี่ใช่ไหม”
“ใช่ค่ะ” เธอดีใจที่เขาจำเธอได้
“สวยขึ้นนะ พี่จำเกือบไม่ได้” เขาจำเธอไม่ได้หรอก เพราะเจอกันแค่ตอนอาหารค่ำที่บ้านของมารดามื้อเดียวเท่านั้น แต่เพราะคำถามชี้นำของเธอนั่นแหละที่ทำให้เขาเดาได้ถูกทาง
“ขอบคุณค่ะ” พรพิมลอายจนหน้าแดงเมื่อถูกชม
ชายหนุ่มยิ้มมุมปากเล็กน้อย เมื่อบังเอิญเห็นญาติสาวขยิบตาให้เพื่อนของเธอ แล้วสาวน้อยของเขาล่ะ หายไปไหน เธอจะรู้บ้างไหมว่ามีผู้หญิงคนอื่นกำลังหมายตาเขาอยู่
“ออกไปคุยกันที่ห้องรับแขกดีกว่านะ”
ปันหยีเห็นชายหนุ่มเดินนำหน้าแขกสาวทั้งสองออกมาที่ห้องรับแขก ก็รีบเดินกลับไปที่ห้องครัว หยิบน้ำผลไม้ที่เตรียมเอาไว้มาเสิร์ฟ
“คนใช้บ้านพี่อี้น่ารักจังเลยค่ะ” จินนี่ยกแก้วน้ำผลไม้ขึ้นมาดื่มเมื่อพูดจบ
“หนูหยินมานี่” คำพูดของญาติสาวทำให้หยางอี้ขัดเคืองใจเป็นอย่างมาก จึงเรียกหญิงสาวที่ทำท่าเหมือนจะเดินหลบมุมออกไปให้กลับมา แล้วตบที่นั่งข้างตัว “นั่งลง” แต่ก็ต้องหัวเสียหนักเข้าไปอีก เมื่อเธอไม่ยอมทำตาม ไปนั่งที่โซฟาเดี่ยวที่ยังว่างอยู่
การกระทำของญาติผู้พี่ทำให้จินนี่แปลกใจ จนต้องมองหญิงสาวที่เข้าใจว่าเป็นสาวใช้อีกครั้ง พิจารณาอีกฝ่ายอย่างถี่ถ้วนมากขึ้น เธอสวยและมีเสน่ห์ดึงดูดใจ รูปร่างโปร่งระหง ผิวพรรณก็ผุดผาดมีสีเลือดฝาด ไม่เหมือนคนใช้เลยสักนิด หรือว่าเธอเป็นแฟนของเขา ก็ไม่น่าจะใช่นะ ถ้าใช่เธอคงไม่ยอมให้ตนกับเพื่อนเข้าไปหาเขาได้ง่าย ๆ อย่างนั้นหรอก
พรพิมลเห็นเพื่อนรักเอาแต่มองอีกฝ่าย ไม่ยอมพูดอะไรออกมาสักที ครั้นตัวเองจะพูดออกไปเองก็คงไม่เหมาะ จึงแอบสะกิดให้เธอรู้ตัว
“สรุปเธอเป็นใครเหรอคะ” จินนี่ถามออกไปทันทีที่โดนสะกิดด้วยเท้า
“บอกเขาไปสิ” หยางอี้หรือฟิลลิปให้โอกาสหญิงสาวเป็นคนตอบคำถามด้วยตัวเอง เพราะเขาก็อยากรู้ว่าเธอจะตอบว่ายังไง
“สวัสดีค่ะ ชื่อหยินค่ะ เป็น..” เธอจะตอบว่าอย่างไรดีล่ะ หญิงสาวพยายามคิดหาคำตอบที่เหมาะสม ครั้นจะตอบไปตามความจริงก็คงไม่ดี เพราะอาจจะทำให้เขาถูกมองไปในทางลบ และเธอก็ไม่รู้ว่าหญิงสาวสองคนนี้เป็นอะไรกับเขาด้วย เธอจึงต้องระวังเรื่องคำตอบให้มากที่สุด “คือ.. คือว่าหยินมารับจ้างคุณฟิลลิปทำงานเอกสารในบางครั้งค่ะ” คำตอบนี้คงดีที่สุดแล้ว
