บทที่ 6.ต่อ.
สาวน้อยเอ่ยตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมท่าทางประกอบเหมือนว่าตนลอยล่องอยู่บนสวรรค์กระนั้น นวลหงส์ทำหน้างงๆ แต่ก็ยังไม่หลงประเด็น
“เอาเถอะๆ หนูดาวจะเป็นอะไรก็ช่างแต่พี่ก็อยากรู้ว่าอีตาช้างน้ำตกมันนั่นเขาว่าอะไรพี่” เมื่อได้พูดคุยกับสาวน้อยที่ไม่ใช่ทั้งผีและวิญญาณบาปซ้ำอิงดาวยังเรียกเธออย่างให้เกียรติ์ว่าพี่ทุกคำ นวลหงส์จึงให้เกียรติอิงดาวด้วยการเรียกสาวน้อยน่ารักว่าหนูดาว และแทนตัวเองว่าพี่เช่นเดียวกัน
“ก็พี่ช้างบอกว่าพี่หงส์น่ะนะ เป็นพวกขี้โวยวาย และเจ้าปัญหาแถมยังร้ายกาจมากๆ อีกด้วย” แม้จะเป็นดวงจิตที่ยังคงล่องลอยอยู่ในภพภูมิที่กั้นกลางระหว่างโลกมนุษย์และวิญญาณพูดจ้ออย่างมีนัยแฝงโดยที่คนอย่างนวลหงส์ไม่อาจจะคิดทันแผนการของสาวน้อยตรงหน้า
“หน็อย อีตาช้างน้ำตกมันบ้า กล้าว่าฉันขนาดนี้เลยเหรอผู้ชายอะไรปากจัดชะมัด ไม่เปลี่ยนเล้ย อย่าให้เจอนะ..”
“ดูเหมือนพี่หงส์กับพี่ช้างนี่รู้จักกันดีมากเลยนะคะ”
“ใคร ใครจะไปอยากรู้จักคนนิสัยไม่ดีแบบนั้นกัน” นวลหงส์ค้านทันควันหน้าตาบึ้งตึง...
“อ้าว.. หนูดาวก็นึกว่ารู้จักกันดีเสียอีกเห็นทั้งพี่หงส์กับพี่ช้างพูดถึงกันทีไรหน้าดำหน้าแดง และเหมือนจะจดจำกันได้ดี แหม เหมือนคู่กัดคู่รักในนิยายของหนูดาวเลย”
“ไม่มีทาง.. พี่ไม่มีทางรักคนอย่างนั้นแน่นอน สู้อยู่กับนังทิมมี่ไปตลอดชีวิตยังจะดีกว่าเร้าใจกว่ากันเยอะเลย”
“อ๋อ พี่ผู้ชายคนนั้นน่ะหรือคะ เขาเป็นสาวหรอกหรือคะ”
“ประมาณนั้นล่ะ เอาล่ะ เรามาคุยเรื่องของเราดีกว่า” เมื่อเริ่มรู้สึกคุ้นเคยและลดทอนความหวาดกลัวลงไปได้บ้างหญิงสาวก็วกเข้าเรื่องที่เธอสงสัยและข้องใจมานาน
“ทำไมพี่จะต้องฝันถึงหนูดาวตลอดสามวันที่ผ่านมา แล้วทำไมพี่ถึงมาคุยกับหนูดาวอยู่ในที่แบบนี้ยังกะฉากในหนังผีไม่มีผิด สลัวๆ มีควันจางๆ บรรยากาศเงียบเหงาวังเวง แต่เอ๊ะ ไม่วังเวงสิมีเสียงเพลงแว่วๆ เหมือนเสียงสวดมนต์เลย”
“ใช่ค่ะที่นี่คือวัดในดินแดนระหว่างภพภูมิภูต กับภพภูมิของมนุษย์” อิงดาวบอกเธอยิ้มๆ ในขณะที่นวลหงส์ ยังคงทำหน้างงๆ กับเรื่องใหม่ที่เธอเพิ่งรับรู้ มันมีที่แบบนี้ด้วยหรือ...
“พี่หงส์ตามหนูดาวมาสิคะ” อิงดาวบอกแล้วเดินนำหน้าไปทำให้นวลหงส์ต้องรีบเดินตามเพราะไม่อยากอยู่ลำพังในสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย
ดวงตากลมโตกวาดมองไปรอบๆ ตัวอย่างอยากรู้อยากเห็นแล้วภาพที่สลัวลางในไอหมอกจางๆ ก็กระจ่างชัดขึ้นทุกทีๆ เธอกำลังเดินอยู่บนทางที่ปูด้วยหินศิลาแลงดูเก่าคร่ำคร่า สองข้างทางเดินปลูกแซมด้วยพุ่มดอกโมกข์ที่ตัดตกแต่งเป็นแนวยาวสูงเท่าสะเอวและกำลังชูช่อออกดอกสีขาวเล็กๆ แซมตามใบสีเขียวขจีส่งกลิ่นหอมเย็นละมุน เบื้องหน้าเธอคือ ศาลาทรงไทยที่สร้างจากไม้สักทองทั้งหลังและสร้างแบบเปิดโล่งจนสามารถมองเห็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ส่องประกายเหมือนสีรุ้งประดิษฐานอยู่บนศาลานั้น พื้นศาลาเป็นไม้สักขัดมันเงาวับจนสามารถมองเห็นเงาตัวเองได้ชัดเจนราวกระจกเงา ลมเย็นๆ ที่พัดโชยโอบล้อมกายก็เย็นชื่นฉ่ำและหอมละมุน มันเป็นกลิ่นหอมที่เธอไม่เคยได้กลิ่นมาก่อน ความหอมที่สัมผัสได้ในจิตใจ มันสร้างความสงบและอบอุ่นอยู่ในเนื้อหนังราวกับว่ามันถูกกลั่นกลิ่นออกมาจากน้ำปรุงของเทพธิดาบนสรวงสวรรค์...
เมื่อนวลหงส์เข้ามานั่งอยู่ในศาลางามเธอจึงได้มีโอกาสมองเห็นองค์พระประธานชัดๆ เต็มสองตาก็พบว่าพระพุทธรูปนั้นไม่ได้สร้างขึ้นจากทองหรือสำริดแต่อย่างใด ทั้งองค์ของพระพุทธรูปสว่างแวววาวสะท้อนแสงที่ตกกระทบให้ออกมาเป็นรุ้งงดงามจับตา พระพุทธรูปสร้างจากเพชรทั้งองค์ พระพักตร์ของพระพุทธรูปงดงามด้วยรอยแย้มยิ้มน้อยๆ เป็นรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรมซึ่งเพียงแค่เมื่อมองความเอิบอิ่มก็แผ่ซ่านไปทั้งใจราวกับพระพุทธรูปนั้นมีชีวิตจิตใจ...
“กราบนมัสการค่ะหลวงพ่อ” เสียงใสๆ ของอิงดาวทำให้นวลหงส์ตื่นจากภวังค์หันไปมองก็พบว่าไม่ได้มีแค่ตนกับอิงดาวบนที่แห่งนี้ มีพระสงฆ์หนึ่งรูปนั่งหลับตาขัดสมาธิอยู่เบื้องหน้าพระประทาน แล้วพระสงฆ์รูปนี้นั่งอยู่ตรงนี้ตอนไหนกัน…
“เจริญพรเถอะโยม” เสียงของพระรูปนั้นกังวานและเปี่ยมด้วยเมตตายิ่งนัก
“พระพุทธรูปเจ็ดสีนั่นคือชื่อขององค์พระประทาน” เสียงของพระสงฆ์วัยชราซึ่งมีใบหน้าผ่องใสผิวพรรณผุดผ่องราวทาบทาด้วยทองคำ สว่างกระจ่างใสผ่องงามด้วยศีลศักดิ์กล่าวเบาๆ เหมือนว่ารู้ความนึกคิดของนวลหงส์โดยไม่ได้ลืมตา หญิงสาวทำหน้าเหรอหราแล้วก้มกราบท่านอย่างอ่อนช้อย
“กราบนมัสการค่ะหลวงพ่อ”
“เจริญพรเถอะโยม...” หลวงพ่อกล่าวด้วยเมตตาแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ ดวงตาของท่านสว่างสดใสราวกับดวงแก้วอันวิจิตรสุกใสเปล่งปลั่งด้วยบุญกุศล
“ท่านคือ หลวงพ่อเย็น ค่ะพี่หงส์ หลวงพ่อคะหนูดาวพาพี่นวลหงส์มากราบหลวงพ่อค่ะ” อิงดาวพนมมือแล้วค้อมศีรษะเมื่อกล่าวกับหลวงพ่อ ด้วยกริยาที่งดงามใบหน้าสวยน่ารักเปี่ยมด้วยรอยยิ้มผุดผาด
“โยมอิงดาวพาเพื่อนมาฟังเทศน์หรือ” ท่านถามด้วยด้วยเมตตาจิตและระลึกรู้ความในใจของสาวน้อยที่ยังพลัดหลงในมโนนึกและห่วงกรรมที่ยังไม่ถึงภพภูมิที่แท้จริงของตน
“เจ้าค่ะหลวงพ่อ”
“การฟังเทศน์น่ะ ฟังได้ทุกที่ ฟังได้จากทุกอย่างที่อยู่รอบกายเรานั่นล่ะไม่จำเป็นจะต้องฟังจากพระเพียงอย่างเดียวหรอกนะโยม ธรรมมะคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติเป็นไปตามกฎเกณฑ์อันเป็นสากลและตามวาระกรรมอันเป็นเครื่องกำหนด บางครั้งเราก็ละเลยที่จะฟังเทศนาจากธรรมชาติที่กำลังเทศนาให้เราฟังจึงทำให้เรามักแสวงวหาสิ่งที่ไกลตัวและลืมมองสิ่งที่อยู่กับตัวเอง” หลวงพ่อเย็นหันมามองใบหน้าที่เหรอหราของนวลหงส์แล้วแย้มริมฝีปากเล็กน้อยเหมือนจะยิ้มแต่ก็เพียงแย้มริมฝีปากบางๆ เท่านั้น
“เรามีกรรมเป็นธรรมชาติหรือคะหลวงพ่อ” นวลหงส์พนมมือขึ้นแล้วเอ่ยถามอย่างอยากรู้ให้ถ่องแท้ หลวงพ่อเย็นพยักหน้ายิ้มๆ
“มนุษย์มีกรรมเป็นเครื่องกำเนิดมีกรรมเป็นความผูกพันมาตั้งแต่เกิดซึ่งการเกิดแก่เจ็บตายก็เป็นธรรมชาติของสรรพสิ่งบนโลก และกรรมใดๆ ก็ล้วนเกี่ยวเนื่องกันกับอีกหนึ่งชีวิตเสมอ เพราะมนุษย์ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวในโลก การที่เราได้มาพบเจอกันก็สืบเองมาจากกรรมอันเคยได้กระทำไว้ต่อกัน หากเราได้พบเจอกันแล้วมีทุกข์ นั่นเพราะกรรมอันก่อให้เกิดบาปนำพา หากเราได้พบกันแล้วทำให้เราสุขและอิ่มใจนั่นก็เพราะกรรมที่นำบุญส่งเสริมให้เราเป็นสุข”
“ความผูกพันที่เกี่ยวรัดร้อยคนเราไว้ด้วยกันไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขล้วนเกิดขึ้นจากกรรมคือการกระทำร่วมกันทั้งนั้น ไม่ว่าดีหรือร้ายและเราก็ยังคงจะดำรงอยู่เกี่ยวเนื่องกัน จนกว่าจะหมดสิ้นความพันผูกที่เกี่ยวรัดไว้”
“หากเราเข้าใจกรรม เข้าใจจิตของตน เข้าใจธรรมชาติของกรรมเราก็จะไม่ทุกข์เพราะการกระทำใดๆ ของใคร แม้แต่ของตนเอง ดังนั้น หากคนเราต้องการพบความสุขแห่งชีวิต ก็ต้องเรียนรู้ที่จะรู้เท่าทันกรรมและกิเลสในจิตใจของตนเสียก่อน เมื่อรู้ใจตนเองก็รู้ใจผู้อื่น เข้าใจตนเอง ก็เข้าใจผู้อื่น แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าอย่างไรการดำรงชีวิตเราก็ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ไม่ประมาทในที่นี้ คือ ไม่ประมาทในอบาย ไม่ประมาทในอกุศล ความประมาทคือหนทางสู่หายนะ ซึ่งคนเราส่วนใหญ่มักมองข้ามและไร้สติ โดยธรรมชาติของมนุษย์มักประมาทต่อกิเลสในใจของตนเสมอ จำไว้นะโยม อย่าประมาท และจงมีสติระลึกชอบอยู่เสมอ มันจะทำให้โยมพบหนทางแห่งสุข..” หลวงพ่อท่านกล่าวเพียงเท่านั้นแล้วก็หลับตาลงก่อนจะกล่าวต่อไปอีกว่า
“หากวันใดที่จิตใจและการกระทำของคนเราไร้ข้อผูกพัน เมื่อนั้น ดวงจิตก็จะเป็นสุขและสงบ เมื่อสิ้นอายุขัยในโลกนี้ ดวงจิตก็จะไปสู่ภูมิภพที่สงบเย็น จงจำไว้ว่าทุกชีวิตต้องพบเจอกับความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก กฎของธรรมชาติ เมื่อถึงเวลาต้องสูญเสียสิ่งใดจงคิดเสียว่ามันเป็นเรื่องของธรรมชาติอันเป็นปกติธรรมดาของโลก เจริญพร..” นวลหงส์กับอิงดาวก้มกราบหลวงพ่ออีกครั้งพลางค่อยๆ คลานเข่าออกมาจากชายคาศาลาหลังงามนั้น...
