บทที่ 4. คำสัญญาของใคร
“พี่ช้างคะ หนูดาวอยากบอกอะไรพี่ช้างสักอย่าง พี่ช้างสัญญานะคะว่าจะทำตามคำขอของหนูดาวทุกอย่าง” สาวน้อยฉอเลาะพี่ชายที่แสนดีด้วยรอยยิ้มกว้างจนตาหยี
“ว่ามาเลยเพื่อหนูดาวพี่ช้างทำได้ทุกอย่างอยู่แล้ว” ชายหนุ่มขยี้เรือนผมนุ่มเบาๆ อย่างเอ็นดู
“ตอนนี้หนูดาวรู้ตัวค่ะว่าเหลือเวลาอีกไม่นานแล้ว” สาวน้อยหยุดพูดเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่ออย่างแผ่วเบา
“และหนูดาวก็ได้ทำอะไรหลายๆ อย่างที่หนูดาวรักเกือบครบทั้งหมด โดยเฉพาะ การเป็นนักเขียนอิสระ นิยายของหนูดาวขายดี มีการนำไปสร้างละคร และมีคนมากมายส่งความห่วงใยมาให้หนูดาวทั้งๆ ที่ไม่เคยได้เห็นหน้าหรือรู้จักหนูดาว แฟนคลับของหนูดาวรู้จักแค่นามปากกา อิงดารา แต่ก็ให้การต้อนรับและส่งกำลังใจมาให้หนูดาวเสมอๆ ผ่านเว็บบอร์ดของบ้านนิยาย หนูดาวดีใจค่ะ”
“ข้อนั้นพี่รู้แล้วจ้ะ แม่นักเขียนคนเก่ง” ชยพลเอ่ยกระเซ้าหวังเพียงให้น้องน้อยคนนี้หายเศร้าหมองเขารู้ดีว่าเธอกำลังจะพูดถึงอะไร
“ค่า หนูดาวรู้ว่าพี่ช้างรู้แล้ว แต่หนูดาวยังพูดไม่ถึงเรื่องที่หนูดาวกำลังจะบอกพี่ช้างเลยนะ และมันสำคัญมากกก..” สาวน้อยกุมมือหนาของคู่หมั้นหนุ่มไว้ด้วยความรักและเทิดทูน ดวงตากลมโตสดใสในทุกๆ วันทอประกายหมองเศร้าอย่างเห็นได้ชัด
“สิ่งที่หนูดาวยังไม่ได้ทำคือการเป็นเจ้าสาวของพี่ช้าง หนูดาวยังไม่ได้ทำให้ความฝันของพ่อกับแม่เป็นจริงเลย แต่หนูดาวรู้ตัวดีว่าคงไม่อาจฝืนร่างกายรอไปจนถึงวันนั้นได้ แต่พี่ช้างให้สัญญาได้ไหมคะ ว่าหากหนูดาวเป็นอะไรไป พี่ช้างจะหมั้นและแต่งงานกับผู้หญิงที่สวมแหวนของเราเพื่อหนูดาว.. หนูดาวพูดจริงๆ นะคะ”สาวน้อยพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง ทั้งสีหน้าและท่าทางจนชยพลเริ่มใจไม่ดี
“อะไรกันหนูดาวใครบอกใครสอนให้พูดแบบนี้นะ ไม่เอาแล้วไม่พูดเลิกพูดพี่ช้างไม่ชอบเลย..”
“แต่พี่ช้างต้องฟังและต้องทำตามที่หนูดาวขอ หรือว่าพี่ช้างไม่รักไม่สงสารหนูดาวแล้วใช่ไหมคะ..”
“ไม่ใช่แบบนั้นหนูดาวไม่เอาไม่ร้องคนเก่งของพี่ช้าง” ชายหนุ่มรีบโอบกอดน้องน้อยและลูบแผ่นหลังบอบบางอย่างปลอบประโลม ทั้งที่ในใจเบาโหวงอย่างบอกไม่ถูกเมื่อสาวน้อยมีทีท่าว่าน้อยใจเมื่อเขาเสียงดังใส่เมื่อครู่
“หนูดาวพูดจริงๆ นะคะพี่ช้าง หนูดาวรู้ตัวดีว่ากำลังพูดและทำอะไรอยู่ หนูดาวไม่ได้เพ้อเจ้อ ถึงหนูดาวจะเป็นนักเขียน แต่สำหรับเรื่องนี้หนูดาวพูดจากความรู้สึกและจากใจจริงๆ” อิงดาวหยุดพูดและหอบเล็กน้อยเมื่อทั้งพูดไปและสะอื้นไปทำให้เธอต้องใช้พลังงานเยอะมากกว่าปกติ ชยพลเห็นดังนั้นจึงรั้งร่างบอบบางนั้นให้นั่งบนชิงช้าใต้ต้นไม้ใหญ่ที่เขาและเธอกำลังนั่งคุยกันอยู่ก่อนแล้วและตรงนี้คือสถานที่ที่อิงดาวชอบมากที่สุด
“พี่ช้างคะ หนูดาวอาจจะมีวาสนาน้อยนักที่จะได้อยู่ในโลกใบนี้ แต่หนูดาวรู้สึกว่าหนูดาวช่างมีบุญเหลือเกินที่เกิดและเติบโตมาด้วยความรักจากคุณพ่อคุณแม่ และยังได้รับความรักจากคุณป้าดา และพี่ชายที่แสนดีทั้งสองคนของหนูดาว โดยเฉพาะพี่ช้าง ใจดีที่หนึ่งเลย” สาวน้อยเอ่ยชมเสียงสดใส ดวงตากลมโตเจิดจรัสเป็นประกายอีกครั้ง
สองหนุ่มสาวเฝ้ามองพระอาทิตย์ยามอัสดงด้วยความรู้สึกที่แตกต่างกัน แม้วันนี้ฟ้ายามเย็นหลากสีแต่งแต้มท้องฟ้าไกลเหนือเหลี่ยมภูผานกกาโบยบินกลับรังส่งเสียงเซ็งแซ่ ภาพอาทิตย์อัสดงในวันนี้ดูอบอุ่นอ่อนหวาน
ในหัวใจของอิงดาวปรอดโปร่งและเป็นสุขด้วยเธอสามารถยอมรับในชะตากรรมของตนเองได้ โดยไม่เกรงกลัวสิ่งที่ใครๆ เรียกว่า ความตายทุกสิ่งบนโลกล้วนมีตั้งอยู่และดับไป มีเกิด มีแก่ มีเจ็บและมีตายเป็นของธรรมดา
แม้ว่าอิงดาวจะไม่ค่อยได้ไปวัดฟังธรรมหรือได้ไปทำบุญในเทศกาลวันสำคัญทางศาสนามากนัก เพราะสุขภาพร่างกายไม่เอื้ออำนวย แต่ด้วยเป็นคนที่ชอบศึกษาหาความรู้อยู่เสมอ และชอบที่จะอ่านหนังสือทุกประเภทและหนึ่งในนั้นก็คือหนังสือธรรมมะ เธอมีความสุขทุกครั้งที่ได้อ่านหนังสือธรรมมะเหล่านั้น และรู้สึกสุขใจอิ่มเอมด้วยรสพระธรรมราวเสมือนได้ไปนั่งฟังพระเทศนาตรงหน้าธรรมมาสตร์
การเตรียมตัวเพื่อความตาย คือสิ่งที่อิงดาวระลึกถึงเสมอ แม้ไม่ใช่เรื่องที่ทำกันได้ง่ายๆ แต่อิงดาวก็พึงจดจำไว้เสมอว่าวันหนึ่งตนจะต้องจากโลกนี้ไปเธอจึงพยายามทำความดีสะสมบุญกุศลในทุกๆ ครั้งที่มีโอกาส ทั้งการทำบุญและบริจาคทานต่างๆ เธอทำเต็มที่เต็มกำลังเลยทีเดียว
ชยพลถอนใจเมื่อนึกถึงสิ่งที่อิงดาวเคยพูดกับตนไว้ก่อนหน้านี้ ชายหนุ่มนั่งนิ่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินโดยไม่สนใจใคร และไม่รู้ว่าเขานั่งอยู่ตรงนั้นนานเท่าไหร่ จนกระทั่งดวงตาคมค่อยๆ หรี่แคบลงด้วยความอ่อนเพลียกับเรื่องราวที่ตนต้องจัดการมาตลอดวัน...
