บทที่ 3.จบตอน
“สวมแหวนแทนหนูดาวที” อยู่ๆ อิงดาวก็ถอดแหวนทองคำขาวแสนสวยที่ประดับด้วยเพชรเม็ดเล็กสองเม็ดเกี่ยวกระหวัดรัดร้อยกันอยู่อย่างงดงามประณีตสวมใส่นิ้วนางของนวลหงส์ทันที และช่างน่าอัศจรรย์ที่มันสามารถสวมพอดีกับนิ้วเรียวของนวลหงส์ราวมันถูกทำขึ้นเพื่อเธอ อีกทั้งความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั้งร่างเธอนั้นอีกช่างเป็นอะไรที่มันเกินกว่าที่นวลหงส์จะคาดฝัน
“อะไรเนี่ย เธอทำอะไรของเธอนี่หนูดาวอย่าเป็นอะไรไปนะ หนูดาวๆๆ นี่อย่าล้อเล่นนะ ตื่นสิตื่น..” นวลหงส์เขย่าร่างบางของสาวน้อยในชุดโรงพยาบาลชื่อดังและค่ารักษาแสนแพงอย่างตื่นตกใจแล้วอยู่ๆ ร่างของอิงดาวก็ค่อยๆ เลือนหายไปอย่างช้าๆ พร้อมกับสายลมเย็นยะเยือก ราวกับว่าร่างของอิงดาวถูกสายลมพัดพาไป
เป็นไปไม่ได้.. นวลหงส์อุทานในใจเมื่อร่างในอ้อมกอดเธอค่อยๆ สลายเป็นควันสีขาวจางๆ เหมือนอย่างภาพที่เธอเคยดูในภาพยนตร์ไม่มีผิด เป็นไปไม่ได้ คำคำนี้จึงก้องอยู่ในหัวของเธอ
“โอ๊ย.. ปวดหัวจัง..” แล้วอยู่ๆ นวลหงส์ก็รู้สึกปวดศีรษะอย่างรุนแรงและเหมือนร่างทั้งร่างถูกทึ้งจากลมพายุกระหน่ำที่หมุนวนอยู่รอบกายจนแทบหายใจไม่ออก ความรู้สึกหลากหลายเข้าประเดประดังรุมเร้าจนเธอไม่อาจรับรู้ได้ว่าเธอกำลังรู้สึกอย่างไรกันแน่
“แม่ พ่อ..” แล้วในขณะที่เธอกำลังรู้สึกเจ็บปวดและสับสนอยู่นั้นนวลหงส์ก็ได้พบกับบุพการีทั้งสองของเธอซึ่งจากโลกนี้ไปเมื่อยี่สิบปีก่อนนั่งอยู่ที่ม้านั่งยาวสีขาวแต่งกายด้วยเสื้อผ้างดงามกำลังมองดูเธอด้วยสายตาที่อ่อนโยนและยิ้มให้เธออย่างเป็นสุขซึ่งนวลหงส์ไม่เข้าใจว่าทำไมท่านทั้งสองจึงยิ้มด้วยความสุขทั้งๆ ที่เธอกำลังเจ็บปวดอยู่อย่างนี้..
“แม่จ๋า พ่อจ๋า ช่วยหงส์ด้วย..” หญิงสาวร้องเรียกพวกท่านก่อนจะรู้สึกเหมือนว่าร่างถูกเหวี่ยงอย่างรุนแรงอีกครั้งจนเธอปลิวหวือลอยคว้างอยู่ในอากาศซึ่งเธอรู้สึกมึนงงวิงเวียนและหายใจไม่ออกก่อนที่ทุกอย่างรอบกายจะมืดสนิท...
ในเวลาเดียวกันขณะที่ทั้งสองสาวยังคงอยู่ในห้วงเวลาแห่งความเป็นความตายและอยู่ระหว่างความฝันและกึ่งความจริง นวลหงส์ซึ่งอยู่ๆ เกิดช็อกกะทันหันโดยไม่มีสาเหตุก็ถูกนำตัวเข้าห้องฉุกเฉินในเวลาเดียวกับที่อิงดาวซึ่งอาการทรงตัวมาตั้งแต่เมื่อคืนก่อนนั้นก็เกิดช็อกโดยไม่มีสาเหตุเช่นกันและพวกเธอก็หยุดหายใจไปราวสองนาทีเท่าๆ กัน ทีมแพทย์ทั้งชายหญิงก็พยายามยื้อชีวิตทั้งสองสาวอย่างสุดความสามารถ
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับทีมแพทย์เป็นอย่างมากสำหรับนวลหงส์ซึ่งไม่ได้มีบาดแผลใดๆ รุนแรงน่าเป็นห่วง และร่างกายของเธอก็ปกติดีทุกอย่างทั้งความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจ อาการของนวลหงส์ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงอะไรพอที่จะทำให้เธอถึงกับช็อกหมดสติและหยุดหายใจไปเกือบสองนาทีได้เช่นนี้ หากเธอมีบาดแผลฉกรรจ์หรือเป็นโรคร้ายแรงมาก่อนก็น่าจะสมเหตุสมผลมากกว่า แต่ทีมแพทย์ก็พยายามช่วยชีวิตนวลหงส์เต็มความสามารถไม่แตกต่างจากทีมแพทย์ที่กำลังยื้อชีวิตของอิงดาว...
“ฮือๆๆ หงส์จะเป็นไรมากรึเปล่าคะคุณท่าน” แสงเทียน น้าสาวของนวลหงส์ซึ่งเดินทางมาโรงพยาบาลพร้อมด้วยหยดเทียน บุตรสาวของตนถามคุณญดาทั้งน้ำตาด้วยความเป็นห่วง เพราะนางเลี้ยงดูนวลหงส์มาตั้งแต่เล็กๆ เพราะนวลหงส์นั้นกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ห้าขวบ เนื่องจากพี่สาวพร้อมพี่เขยประสบอุบัติเหตุและนางก็เลี้ยงดูนวลหงส์เพียงลำพังอยู่หลายปี
โชคดีที่นางแสงเทียนได้อาศัยใบบุญของคุณญดาซึ่งให้งานและที่พักพิงแก่หญิงสาวบ้านนอกกับหลานสาวได้พักพิงในขณะนั้น จนนางได้พบกับสามีและแต่งงานออกเรือน และต่อมาก็ได้ร่วมกันรื้อฟื้นก่อร่างสร้างตัวด้วยการฟื้นฟูโรงงานผลิตกล่องกระดาษเล็กๆ ของสามีซึ่งก่อนหน้านั้นเกือบจะถูกขายทอดตลาดให้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งด้วยความรักและความร่วมไม้ร่วมมือกันของทุกคนในครอบครัว
“เราต้องรอหมอจ้ะสาว สักครู่ก็คงออกมาอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้” คุณญดาเอ่ยปลอบทั้งที่ในใจก็มิวายจะห่วงทั้งสองสาวที่ถูกส่งเข้าไปในห้องฉุกเฉินพร้อมๆ กัน
“คุณพี่คะ น้ำอิงกลัวจังเลยค่ะ กลัวว่าครั้งนี้อาจจะไม่เหมือนครั้งก่อนๆ” คุณน้ำอิงกล่าวทั้งน้ำตาเมื่อความรู้สึกในใจในคราวนี้เบาโหวงอย่างประหลาด
“ใจเย็นๆ ที่รัก มันต้องผ่านไปด้วยดีเหมือนทุกครั้งเชื่อผมสิ” คุณชัยยศบีบมือบางของภรรยาอย่างปลอบโยน ด้วยความหวังว่าครั้งนี้จะผ่านไปได้ด้วยดีเหมือนทุกครั้ง อิงดาวมักจะมีกำลังใจที่ดี และต่อสู้กับโรคร้ายที่เผชิญอยู่จนสามารถรอดพ้นความเป็นความตายมาได้หลายครั้ง แต่สำหรับครั้งนี้คุณชัยยศเองก็รู้สึกไม่แตกต่างจากภรรยาแต่เพราะตนเป็นหัวหน้าครอบครัวเขาจะอ่อนแอไม่ได้...
แล้วเวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึงเมื่อนายแพทย์ใหญ่เดินออกมาจากห้องฉุกเฉินด้วยใบหน้าไม่ใคร่จะสู้ดีนัก ทุกคนก็ปรี่เข้าไปหาคูณหมอทันที
“คุณหมอคะ หลานสาวฉันเป็นอย่าไรบ้างคะ” คุณแสงเทียนละล่ำละลักถามอย่างร้อนใจ
“คนไข้ชื่อนวลหงส์ปลอดภัยแล้วครับและอาการของเธอปกติทุกอย่าง ไม่มีอะไรต้องห่วงตอนนี้หมอให้พักฟื้นที่ห้องพักฟื้นพิเศษแล้ว แต่ยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมนะครับ” นายแพทย์ใหญ่กล่าวพลางหันมาทางคุณญดาและคุณน้ำอิงซึ่งกำลังมองมาที่แพทย์อาวุโสอย่างรอคอยความหวังเช่นกัน
“เอ่อ.. ส่วนหนูดาว ตอนนี้ร่างกายของหนูดาวอ่อนแอมาก และ ร่างกายเธอไม่สนองตอบการรักษา หมอเกรงว่าเธออาจจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้..” นายแพทย์วัยกลางคนเอ่ยเรียบๆ แต่น้ำเสียงก็แฝงไว้ด้วยความเศร้าหมองเพราะโดยส่วนตัวก็รู้จักและสนิทสนมกับสองครอบครัวนี้มานาน และอิงดาวก็เป็นเสมือนลูกหลานคนหนึ่ง
“ไม่จริงใช่ไหม หมอใหญ่ ที่พูดมาแค่ล้อเล่นใช่ไหม ไม่จริงหนูดาวเข้มแข็งจะตายที่ผ่านมาหนูดาวแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเธอเข้มแข็ง...” คุณน้ำอิงร้องไห้โฮพูดทั้งน้ำตาพร้อมกับโถมเข้าหาอกกว้างของสามีที่ยืนนิ่งไม่อาจเอื้อนเอ่ยคำใดออกมา ชยพลกับมารดาก็โอบประคองกันด้วยความรู้สึกที่ไม่แตกต่างจากสองสามีภรรยานัก
“หมอพยายามถึงที่สุดแล้วครับ หมอต้องผ่าตัดคนไข้คนอื่นต่อ ผมขอตัวก่อนนะครับ คุณดา คุณน้ำอิง..” นายแพทย์ใหญ่เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่พยายามให้เป็นปกติที่สุดและสูดหายใจลึกๆ แม้รู้สึกใจหายแต่ก็ต้องทำหน้าที่สำคัญต่อไป
ลับหลังนายแพทย์ใหญ่คุณน้ำอิงก็ปล่อยโฮออกมาอย่างไม่อายใคร ชยพลเบือนหนีภาพสองสารมีภรรยากอดกันร้องไห้ด้วยความรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก ก้อนสะอื้นปวดปร่าจุกอยู่ในลำคอแกร่ง ส่วนคุณแสงเทียนและหยดเทียนเองก็พลอยรู้สึกเศร้าและเจ็บปวดไปกับครอบครัวของคุณน้ำอิงด้วย
“ฮือๆๆ นี่เราจะต้องเสียลูกไปจริงๆ หรือคะคุณ”
“ใจเย็นๆ ที่รัก หมอแค่บอกว่าหนูดาวร่างกายอ่อนแอมากเท่านั้นเอง” คุณชัยยศพยายามปลอบภรรยาทั้งที่รู้ว่าไม่สามารถยื้อชีวิตลูกสาวเพียงคนเดียวของตนไว้ได้อีกต่อไป
“คุณแม่ไปพักผ่อนก่อนดีกว่านะครับเราอยู่ตรงนี้มาตั้งแต่เช้าแล้ว เดี๋ยวไม่สบายไปอีกคน แล้วผมจะดูแลทุกอย่างเอง” ชยพลบอกมาดาอย่างอ่อนโยนแล้วเดินไปปลอบคุณน้ำอิงกับสามี จนเมื่อทั้งสามยอมกลับไปพักผ่อนชยพลเองก็เบาใจ เขารู้ว่าจะต้องมีวันนี้ วันที่ร่างกายบอบบางของอิงดาวจะทานทนกับโรคร้ายรุมเร้าไม่ไหว แต่ถึงแม้จะรู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงแต่เขาก็ยังไม่อาจจะทำใจรับมันได้ในตอนนี้...
