#6
โซ่อี้ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง นึกเห็นใจไป๋ลู่ชิงอยู่เหมือนกัน เท่าที่ฟังมาจากสาวใช้ เหมือนว่าอีกฝ่ายจะฆ่าตัวตาย ครั้นคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ โซ่อี้พลันเอ่ยถาม “เจ้าฆ่าตัวตายหรือ?”
“ไม่ๆ” ลู่ชิงรีบส่ายหน้า “มีคนผลักข้า”
“เจ้าจะบอกว่ามีคนต้องการสังหารเจ้ากระนั้นหรือ?” ฉวนโซ่อี้ คล้ายจะมองเห็นความยุ่งยากเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่ง
“ข้าเองก็ไม่รู้ อาจจะเป็นไปได้” ลู่ชิงตอบพลางครุ่นคิด
โซ่อี้หน้านิ่วคิ้วขมวด ใบหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งขรึมจริงจัง ตอนนี้ มิใช่แค่ต้องสืบหาคนร้ายที่คิดสังหารนาง แต่ยังต้องสืบหาคนร้ายที่คิดสังหารไป๋ลู่ชิงด้วย นี่มันชะตากรรมเยี่ยงไรกัน คิดแล้วโซ่อี้ได้แต่ถอนใจออกมาเป็นคำรบสอง ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขั้นนี้แล้ว นางยังจะทำอันใดได้อีกเล่า ได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ก็ดีแล้วมิใช่หรือ คิดแล้ว นางหันไปกล่าวกับลู่ชิง
“ช่างเถิด มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราคงต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าให้ผ่านไปก่อน เจ้ากลับไปใช้ชีวิตเป็นข้า เอาไว้ ข้าจะไปหาเจ้าเอง อีกอย่าง ช่วงนี้ เจ้าอย่าได้ออกไปไหนเป็นอันขาด รอข้าอยู่ที่จวน เข้าใจหรือไม่?”
ไป๋ลู่ชิงยังจะทำอันใดได้อีก ได้แต่พยักหน้าด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย “ข้าเข้าใจ”
“ข้าต้องไปแล้ว มิเช่นนั้น ท่านพ่อของข้าจะสงสัยเอาได้” โซ่อี้กล่าว
“ข้าจะรอเจ้า” ลู่ชิงตอบกลับเสียงเบา
โซ่อี้ก้าวลงจากรถม้า แสร้งทำสีหน้ากลัดกลุ้ม
“เป็นอย่างไร อาอี้ว่าอย่างไรบ้าง นางความจำเสื่อมจริงหรือไม่?” แม่ทัพใหญ่รีบเอ่ยถาม ท่าทางร้อนใจอย่างยิ่งยวด
ครั้นเห็นความห่วงใยของบิดา กระบอกตาของโซ่อี้พลันร้อนผ่าว ฝืนตอบออกไปอย่างไร้พิรุธว่า “อาอี้ ความจำเสื่อม จริงๆ เจ้าค่ะ นางจำมิได้ แม้แต่ตัวเองเป็นใคร ข้าน้อยคงต้องไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าเองก็...” โซ่อี้พูดแล้วก้มมองชุดที่ยังเปียกชื้นของตน นางยังไม่กล้าอยู่ใกล้บิดานาน เกรงว่าตนเองจะเก็บอาการไม่ไหว
ฉวนไห่หยวนเห็นอย่างนั้น จึงมิได้รั้งนางไว้ “เจ้าไปเถิด”
“ขอบคุณท่านแม่ทัพเจ้าค่ะ”
โซ่อี้เดินกลับไปยังม้าที่อยู่หลังขบวน ก่อนจะโหนตัวกระโดดขึ้นไปบนหลังของมันแล้วควบจากไป
ฉวนไห่หยวนที่มองนางอยู่ตลอด พลันรู้สึกแปลกใจ เพราะท่าทางของนางดูคุ้นตายิ่ง ทว่า ด้วยความเป็นห่วงบุตรสาว จึงจำต้องพักเรื่องเด็กสาวปริศนาผู้นั้นเอาไว้ก่อน
ท่าเรือ
จางถงอิ่นยังคงรออยู่ชายฝั่ง มู่ตานกับเหลียนฮวาเชง้อมองทางด้วยใบหน้าเป็นกังวล
ด้วยนิสัยของมือปราบ จางถงอิ่นมักเป็นคนช่างสังเกต จากที่พิจารณาดู เขาคิดว่าคุณหนูเมื่อครู่ ดูไม่ปกติเท่าใดนัก เขาถึงได้นึกสนใจเด็กสาวนางนี้ขึ้นมา
“นั่น คุณหนูกลับมาแล้ว!” มู่ตานชี้ไปยังหญิงสาวที่กำลังควบม้าเหยาะๆ เข้ามาหา
โซ่อี้ลงจากหลังม้าอย่างชำนาญ ก่อนจะดึงเชือกจูงมันเดินกลับมาคืนให้ชายหนุ่ม “คืนให้ท่าน ขอบคุณมาก”
ถงอิ่นรับเชือกม้ามา ยิ้มรับคำขอบคุณของนาง ใจจริง เขาอยากจะถามไถ่ที่มาที่ไปของนางให้ละเอียดกว่านี้อีกสักหน่อย แต่เกรงว่าจะไร้มารยาท จึงเพียงกล่าวลา “แม่นาง ข้าคงต้องขอตัวก่อน”
โซ่อี้พยักหน้า “ขอบคุณอีกครา หากมีโอกาส ข้าต้องตอบแทนท่านแน่นอน”
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” เขากล่าว ก่อนจะโหนตัวขึ้นไปบนหลังม้า แล้วควบจากไป
“คุณหนู” สองสาวใช้รีบเข้ามาจับเนื้อจับตัวเจ้านายด้วยความเป็นห่วง “ไม่เป็นอันใดนะเจ้าคะ คุณหนูทำให้พวกบ่าวกังวลแทบตายแล้ว หนาวไหมเจ้าคะ สภาพเช่นนี้ พวกเรารีบกลับจวนก่อนเถิด”
โซ่อี้พยักหน้า เหลียนฮวารีบเดินไปตามคนบังคับรถม้า
หลังจากที่ขึ้นมานั่งในรถม้าแล้ว โซ่อี้ก็กล่าวขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง “ข้าต้องบอกพวกเจ้า เมื่อครู่ที่ข้าตกน้ำ ข้าขาดอากาศหายใจนานเกินไป ทำให้ความจำบางส่วนขาดหาย ข้ามิอยากให้คนในจวนรู้ พวกเจ้าช่วยเล่าเรื่องในอดีตให้ข้าฟังหน่อยเถิด”
มู่ตานกับเหลียนฮวาพากันยกมือทาบอก ขยับเข้ามานั่งขนาบข้างคุณหนูของตน “คุณหนู ท่านยังได้รับบาดเจ็บตรงไหนอีกหรือไม่เจ้าคะ”
โซ่อี้ไม่ค่อยคุ้นชินกับการถูกสาวใช้ประคบประหงมนัก พลันวางสีหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง “ข้ามิได้เป็นอะไร พวกเจ้ารีบเล่ามาเถิด ข้าต้องรู้ทุกอย่างก่อนกลับถึงจวน
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ทั้งสองพยักหน้า เชื่อจนหมดใจ ว่าคุณหนูของตนความทรงจำหายไปจริงๆ
อันที่จริงมิใช่เรื่องแปลกที่พวกนางจะเชื่อเช่นนั้น เพราะก่อนหน้านี้ เมื่อใดที่ได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ ไป๋ลู่ชิงมักปิดกั้นความทรงจำของตน ตั้งแต่แต่งเข้าสกุลหลี่ ไป๋ลู่ชิงเคยมีอาการเช่นนี้มาคราหนึ่งแล้ว
มู่ตานกับเหลียนฮวาช่วยกันเล่าเรื่องราวในอดีตตั้งแต่อยู่ในจวนไป๋ จวบจนแต่งเข้าสกุลหยางให้เจ้านายฟัง กระทั่งรถม้าหยุดหน้าประตูจวน
โซ่อี้คิดว่าโชคดีแล้ว ที่ไป๋ลู่ชิงมิได้สนิทสนมกับคนในจวน มิเช่นนั้น นางคงปวดหัวแน่
