#5
ไป๋ลู่ชิงที่คิดว่าตนเองตายไปแล้ว มองสาวใช้สองนางด้วยความประหลาดใจ
พวกนางเองก็มองกลับมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ เช่นกัน “ทะ..ท่าน..ท่านแม่ทัพน้อย?”
“เกิดอันใดขึ้น พวกเจ้าโวยวายอันใดกัน!” เสียงทรงอำนาจของแม่ทัพใหญ่ ดังสาดเข้ามาก่อนที่ประตูรถม้าจะถูกกระชากเปิดออก ฉวนไห่หยวนที่กำลังมีโทสะ ถึงกับชะงักงัน
“อาอี้?” ครั้นเห็นว่าบุตรสาวได้สติ ฉวนไห่หยวนรีบหันกลับไปตะโกนเรียกหมอทันที “ท่านหมอ เร็ว! รีบมาดูบุตรสาวข้า นางฟื้นแล้ว!”
หมอที่ติดตามมากับขบวนรีบวิ่งเหยาะๆ เข้ามา
ไป๋ลู่ชิงตื่นตระหนกจนทำอันใดไม่ถูก ด้วยอารามตกใจระคนหวาดกลัว นางพลันลุกขึ้น กระโดดลงมาจากรถม้า
ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ฉวนโซ่อี้ กระโดดลงมาจากหลังม้าที่หยุดอยู่ท้ายขบวนพอดี
โซ่อี้ฉวยโอกาสตอนที่องครักษ์กำลังให้ความสนใจเรื่องกลางขบวน วิ่งฝ่าเข้าไป กระทั่งมาหยุดยืนเบื้องหน้า ร่างของตน
ลู่ชิงตกใจ อ้าปากค้าง มองดรุณีน้อยเบื้องหน้าอย่างไม่อยากเชื่อสายตา
“เจ้าเป็นใคร ออกไปเดี๋ยวนี้!” องครักษ์ที่พึ่งจะเห็นว่ามีคนบุกเข้ามา ตั้งท่าจะมาดึงฉวนโซ่อี้ออกไป
ฉวนไห่หยวนมองทหารองครักษ์คุ้มกันขบวนด้วยสายตาเย็นชา เจ้าพวกนี้เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ คนมายืนประชิดเพียงนี้แล้ว ถึงพึ่งรู้ตัว นี่หากเป็นนักฆ่า เขากับบุตรสาวจะมิตายก่อนหรือ “ลากนางออกไป!” แม่ทัพใหญ่ตวาดเสียงกร้าว
“ช้าก่อน ท่านแม่ทัพ ต้องขออภัยที่ข้าน้อยบุกเข้ามา แต่ข้าแค่เป็นห่วงสหายมากไปหน่อย” ฉวนโซ่อี้ไหนเลยจะมิรู้ใจบิดา ตอนนี้คงมีแต่คำอธิบายนี้เท่านั้น ที่จะทำให้นางได้มีโอกาสพูดคุยกับวิญญาณที่อยู่ในร่างของตนเอง
ลู่ชิง ยังคงตกอยู่ในอาการมึนงง นางเป็นเพียงคุณหนูในห้องหับ ทั้งยังมีนิสัยอ่อนแอขี้ขลาด ย่อมมิอาจตั้งสติได้เร็วเหมือนอย่างฉวนโซ่อี้
“อาอี้ เจ้าจำข้ามิได้หรือ หรือว่าเจ้าความจำเสื่อม?” โซ่อี้ที่อยู่ในร่างของผู้อื่นรีบกล่าวขึ้น เพื่อให้วิญญาณที่อยู่ในร่างของตนรับรู้ หวังว่าอีกฝ่ายจะเข้าใจความหมาย
ทว่าลู่ชิงนั้นไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่ท่าทางของนางตอนนี้ ราวกับคนความจำเสื่อม
ฉวนไห่หยวน เริ่มพิศมองบุตรสาวอย่างละเอียด พร้อมกับยกมือห้ามทหารองครักษ์มิให้เข้ามาจับตัวดรุณีน้อย
“อาอี้” เขาลองเอ่ยเรียกบุตรสาวดู หากแต่นางกลับมองมาราวกับเขาเป็นคนแปลกหน้า หรือว่านางจะความจำเสื่อมจริงๆ ?
โซ่อี้เห็นท่าทางของบิดาก็รู้ทันที ว่านางทำให้ท่านพ่อเชื่อได้แล้ว จึงหันไปกล่าวกับเขาว่า “ท่าน พอ.. เอ่อ ท่านแม่ทัพใหญ่ ขอให้ข้าได้คุยกับอาอี้ตามลำพังสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ บางทีนางอาจหวาดกลัวผู้คน”
ฉวนไห่หยวนหันไปมองท่านหมอ เพื่อถามความเห็น
หมอผู้นั้นไม่มีความมั่นใจเช่นกัน เขาตอบกลับมาว่า “คงต้องให้นางลองดูขอรับ”
แม่ทัพใหญ่ หันกลับมามองดรุณีน้อยแปลกหน้า เขายังมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับเรื่องที่นางบอกว่าเป็นสหายของบุตรสาว แต่คิดว่ามิใช่เวลาจะไต่ถาม จึงกล่าวเพียงว่า “เจ้าพานางกลับขึ้นไปคุยบนรถม้าเถิด แต่จำเอาไว้ ว่าหลังจากลงมาแล้วต้องเล่าให้ข้าฟังอย่างละเอียด”
“เจ้าค่ะ” โซ่อี้รับคำ ก้าวเข้าไปคว้ามือร่างของตน บีบ แรงๆ สองครา เพื่อเรียกสติวิญญาณที่อยู่ในนั้น ลู่ชิงถึงได้ยอมตามนางกลับขึ้นไปบนรถม้า
ครั้นได้อยู่กันลำพังแล้ว โซ่อี้ก็เอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “นั่นเป็นร่างของข้า และถ้าข้าเดาไม่ผิด นี่คงเป็นร่างของเจ้าด้วยใช่หรือไม่”
ลู่ชิงพยักหน้า ในที่สุดก็ค่อยๆ เรียกสติตนเองกลับมาได้ รีบถามกลับไป “มันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
“ข้าเองก็ไม่รู้ แต่เรื่องนั้น เอาไว้ก่อนเถิด ปัญหาสำคัญตอนนี้ คือ พวกเรามิอาจให้ผู้ใดรู้ได้ เจ้าคงมิอยากถูกจับไปเผาไฟกระมัง” โซ่อี้กล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึมจริงจัง ท่าทางของนาง ทำให้ลู่ชิงมองร่างของตนเองราวกับเป็นคนแปลกหน้า ไม่นึกว่าใบหน้าของตนจะงดงามเช่นนี้
ครั้นเห็นว่านางนั่งเหม่อ โซ่อี้จึงเลิกคิ้วถาม “มีอันใดหรือ?”
ลู่ชิงรู้สึกตัวรีบกล่าว “ไม่มีอะไร ข้าแค่พึ่งเคยเห็นหน้าตนเองชัดๆ เป็นครั้งแรก จึงดูไม่คุ้นตา”
เมื่อลู่ชิงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา โซ่อี้จึงพิศดูใบหน้าตนเองบ้าง ผิวของนางนั้นออกจะคล้ำกว่าหญิงสาวทั่วไป แต่ใบหน้านับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง “เจ้าพูดถูก เอาล่ะ มาคุยเรื่องสำคัญกัน เจ้าชื่อแซ่อะไร ตอนนี้ข้าอยู่ในร่างของเจ้า และจะต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นเจ้า ส่วนเจ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตเป็นข้า จนกว่าจะหาคำตอบได้ ฉะนั้น เราต้องมีข้อมูลเบื้องต้นของกันและกัน มิเช่นนั้น ผู้อื่นคงผิดสังเกตแน่”
“ข้าแซ่ หยาง มีนามว่า ลู่ชิง แซ่เดิมของข้าคือแซ่ไป๋” ลู่ชิงแนะนำตัว
“แซ่เดิม? เจ้าแต่งงานแล้วหรือ?” โซ่อี้หน้านิ่วคิ้วขมวด รู้สึกถึงความยุ่งยากที่กำลังจะตามมา เพราะนางก็แต่งงานแล้วเช่นกัน แต่เจ้าบุรุษน่าตายนั่น...
ลู่ชิงพยักหน้า สีหน้าพลันหมองลงทันใด โซ่อี้จับสังเกตท่าทางของนางได้ รีบสลัดเรื่องของตัวเองออกจากหัว ถามต่อไปว่า “เจ้ามีปัญหากับสามีหรือ?”
“ก็ไม่เชิง เพียงแต่..” ลู่ชิงมิรู้จะอธิบายถึงความสัมพันธ์ของนางกับหยางเทียนเล่อได้อย่างไร จึงได้แต่ส่ายหน้า
“ช่างเถิด พวกเรามีเวลาไม่มาก ประเดี๋ยวข้าไปหลอกถามสาวใช้ของเจ้าเอง ส่วนเจ้าตอนนี้ แกล้งความจำเสื่อมไปก่อน เพื่อให้ดูสมจริง ข้าจะไม่บอกข้อมูลของข้าแก่เจ้า เจ้าจะได้ไม่หลุดพิรุธออกไป” โซ่อี้กล่าว นางมิอยากให้อีกฝ่ายตกใจ จึงมิคิดจะบอกเรื่องคนร้าย โซ่อี้เชื่อแน่ว่า หากคนร้ายรู้ว่านางยังไม่ตาย ต้องไม่ยอมรามืออย่างแน่นอน ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัยของร่างตนเอง นางต้องเร่งสืบหาตัวคนร้ายให้ได้เร็วที่สุด
“พวกเราจะจากกันเช่นนี้หรือ ข้ากลัว” ไป๋ลู่ชิงกล่าวด้วยสีหน้ากังวล น้ำตาเริ่มคลอหน่วย
