#4
หลังจากวันนั้น หยางเทียนเล่อมิได้เหยียบเข้ามาในเรือนอีก ส่วนลู่ชิงกลายเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวไม่ค่อยพูดค่อยจา จนสาวใช้ทั้งสองเห็นแล้วเป็นกังวลยิ่ง
กระทั่งฮูหยินอนุญาติให้พวกนางออกจากจวนในวันที่สี่ สีหน้าของลู่ชิงถึงได้ดูดีขึ้นมาเล็กน้อย
นางตัดสินใจที่จะไม่ไปหาบิดามารดา เพราะเกรงว่าจะทำให้ทั้งสองเป็นห่วง จึงเลือกไปที่ท่าเรือเลย
อีกด้านหนึ่ง
วิญญาณของฉวนโซ่อี้ เดินทางกลับฉางอันมาพร้อมกับร่างไร้สติของตน นางมั่นใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าตนนั้นเสียชีวิตแล้วแน่นอน แต่ที่ไม่กระจ่างก็คือ ไฉนร่างของนางถึงได้ยังมีลมหายใจอยู่ ทั้งที่ไม่มีวิญญาณอยู่ในนั้น หรือว่าจะเป็นเพราะพิษ?
ยังมีคำถามอีกมากมายที่ฉวนโซ่อี้ยังหาคำตอบมิได้ โดยเฉพาะเรื่องคนร้ายที่ลอบสังหารนาง นางยังมิอยากตาย แต่สุดปัญญาที่จะหาทางกลับเข้าร่าง
เรือใหญ่หยุดเทียบท่า ณ.ท่าเรือเมืองฉางอัน ฉวนโซ่อี้มองตามร่างของตนที่ถูกหามลงจากเรือด้วยความแค้นใจ นางมิอยากตามกลับไป เพราะยังทำใจมิได้ กลัวว่าจะต้องเห็นความตายของตนเอง
ฉวนโซ่อี้ตัดสินใจแยกทางกับขบวนของบิดา ล่องลอยไปตามถนนริมฝั่งแม่น้ำ พยายามคิดใคร่ครวญหาสาเหตุที่นางกลับเข้าร่างมิได้ อีกครั้ง
ขณะที่โซ่อี้กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น สายตาพลันเหลือบไปเห็นร่างหนึ่งที่กำลังตะเกียกตะกายจมลงไปใต้น้ำ ไม่มีเวลาให้หยุดคิด นางรีบกระโดดตามลงไปทันที ด้วยความที่ใต้น้ำเป็นสายน้ำวน จึงพัดพาร่างนั้นห่างออกไปไกล
ก่อนที่ร่างนั้นจะสิ้นลมเพียงเสี้ยวลมหายใจ ฝ่ามือของฉวนโซ่อี้พลันจับเข้าที่มือของหญิงสาวนางนั้นพอดี
พรึบ! เกิดแสงสว่างเจิดจ้าราวกับมีใครกำลังจุดพลุอยู่ใต้น้ำ ผู้คนบนฝั่งไม่มีผู้ใดสังเกตเห็น
ชั่วขณะนั้น แม้แต่ฉวนโซ่อี้ยังต้องหลับตา ครั้นลืมตาขึ้นมาอีกครา กลับรู้สึกว่าตนเองกำลังจะขาดอากาศหายใจ โซ่อี้พลันรีบถีบตัวแหวกว่ายขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ ลอยคอโกยอากาศเข้าปอด
มีบางอย่างไม่ถูกต้อง ข้าเป็นวิญญาณ จะหายใจไม่ออกได้อย่างไร ฉวนโซ่อี้พึ่งนึกขึ้นได้
เวลาเดียวกันนั้นบนหัวสะพานท่าน้ำ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือดังระงมไปทั่ว ผู้คนเริ่มเข้ามามุงดู
“นั่น! คุณหนูใช่หรือไม่ มู่ตาน เจ้ามาดูเร็ว!” เหลียนฮวาชี้ไปยังจุดดำที่มองเห็นจากไกลๆ ให้มู่ตานดู
“คุณหนู! คุณหนู! คุณหนู เจ้าคะ ใครก็ได้ ช่วยคุณหนูของพวกเราที!” เสียงโวยวายของทั้งสอง ทำให้มีคนผู้หนึ่งกระโดดลงน้ำ เพื่อจะไปช่วยคน ทว่าเขายังมิทันว่ายไปถึง ก็เห็นคุณหนูที่คิดว่ากำลังจะจมน้ำ ว่ายสวนกลับมา
ชายผู้นั้น ถึงกับหยุดลอยคอมองนางอย่างแปลกใจ เขาแน่ใจเป็นอย่างยิ่ง ว่าในนครฉางอันนี้ หาสตรีที่ว่ายน้ำเป็นได้ยากยิ่ง ยิ่งมิต้องกล่าวถึงคุณหนูในตระกูลสูงศักดิ์ แต่หญิงสาวที่พึ่งว่ายน้ำสวนกับเขาเมื่อครู่ ดูเหมือนว่านางจะชำนาญการว่ายน้ำยิ่งกว่าเขาเสียอีก ชายผู้นั้นคิดแล้ว พลันรีบว่ายตามนางกลับเข้าฝั่ง
ฉวนโซ่อี้จับยึดเสาสะพาน ปีนป่ายขึ้นไปอย่างคล่องแคล่ว ทำให้ชายผู้นั้น ต้องประหลาดใจเป็นคำรบสอง ก่อนจะปีนกลับขึ้นมา
“คุณหนู ท่านเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ท่านอย่าได้คิดสั้นนะเจ้าคะ หากคุณหนูเป็นอันใดไป พวกบ่าวจะทำอย่างไร ฮือๆ” สองสาวใช้รีบเข้ามากอดฉวนโซ่อี้ ร้องห่มร้องไห้ราวกับมีใครตาย ท่าทางของพวกนาง มองปราดเดียวก็รู้ ว่ากำลังหวาดผวา
หากแต่สีหน้าของผู้ที่ถูกเรียกว่าคุณหนูนั้น มีแต่ความฉงน โซ่อี้เป็นถึงแม่ทัพที่เคยผ่านสงครามมา ย่อมมิตื่นตระหนกง่ายๆ นางเพียงกำลังทำความเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้นกับตนเอง
เมื่อครู่ตอนที่มือของนางแตะถูกมือของหญิงสาวนางนั้น นางรู้สึกราวกับว่าวิญญาณถูกดูดเข้าไปหาร่างนั้นด้วยแรงมหาศาล หรือว่า? .. โซ่อี้คิดแล้ว รีบหยิกเข้าที่แขนของตน ใช่จริงเสียด้วย ข้าเข้ามาอยู่ในร่างผู้อื่น แล้วสตรีนางนั้นเล่า โซ่อี้พลันฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ รีบหันไปกล่าวกับดรุณีน้อยสองนางที่กำลังร้องห่มร้องไห้ กอดตนอยู่
“พวกเจ้าปล่อยข้าก่อน!” ด้วยความที่เคยบัญชาการรบมาก่อน แน่นอน ว่าน้ำเสียงที่โซ่อี้ใช้ย่อมมิได้เบาบางเฉกเช่นเจ้าของร่างเดิม
มู่ตานกับเหลียนฮวา ถึงกับตกใจจนเผลอหยุดร้องไห้ “คุณหนู?”
“รออยู่ที่นี่” โซ่อี้ไม่มีเวลามาอธิบาย รีบวิ่งกลับเข้าฝั่ง
“ข้าขอยืมม้าของท่านสักครู่ได้หรือไม่?”
ชายหนุ่มเนื้อตัวเปียกปอนพึ่งจะปลดเชือกม้าของตน กำลังจะจากไป กลับต้องประหลาดใจเป็นคำรบสาม เขามองดรุณีน้อยเนื้อตัวเปียกปอนอย่างฉงน ด้วยความที่นางทำให้เขาสนใจ เขาจึงยอมส่งม้าให้โดยมิกล่าวอันใด
ฉวนโซ่อี้รับเชือกมาแล้ว พลันรีบโหนตัวกระโดดขึ้นหลังม้า ควบจากไปทันที
“คุณหนู จะไปไหนเจ้าคะ คุณหนู!” มู่ตานกับเหลียนฮวาได้แต่ตะโกนไล่หลังอย่างนึกกังวล ในความคิดของพวกนางนั้น คือกลัวว่าคุณหนูของตนจะคิดสั้นอีก จนลืมแม้กระทั่งว่า ไป๋ลู่ชิงขี่ม้าไม่เป็น
อีกด้านหนึ่ง
ร่างไร้สติของแม่ทัพน้อยฉวน อยู่ๆ ก็ดีดตัวลุกขึ้นนั่งอย่างกะทันหัน ทำให้สาวใช้สองนางตกใจ กรีดร้องเสียงหลง เป็นเหตุให้แม่ทัพใหญ่ต้องสั่งหยุดขบวน
