#2
ลู่ชิงเช็ดน้ำตาที่กำลังรินไหลอย่างลวกๆ ก่อนจะค่อยๆ ลุกจากเก้าอี้ ยืนสูดหายใจแรงคราหนึ่ง เมื่อปรับอารมณ์ตนเองได้แล้ว ถึงได้หันไปกล่าวกับสาวใช้ “เตรียมน้ำมาให้ข้าเช็ดหน้าเช็ดตาที”
“เจ้าค่ะ” มู่ตานรับคำ หมุนตัวออกไปจัดการ
“คุณหนู อย่าได้เสียใจไปเลยนะเจ้าคะ บ่าวว่าฮูหยินต้องช่วยจัดการเรื่องนี้ไห้แน่เจ้าค่ะ” เหลียนฮวา สาวใช้อีกคนเอ่ยปลอบ ในความคิดของนางนั้น คือหยางฮูหยินไม่ชอบฉางฟางเยว่ ฉะนั้น ไม่น่าจะยินยอมให้ท่านเขยพานางเข้ามาอยู่ที่นี่
ทว่า ในความคิดของไป๋ลู่ชิง กลับแตกต่างออกไป
“ข้าก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น” ลู่ชิงกล่าวอย่างเหม่อลอย กับแม่สามีผู้นี้ นางพึ่งพาได้จริงหรือ ตอนนั้น นางโง่เขลา คิดว่าตนโชคดี ที่ถูกสกุลหยางเลือก หลังจากแต่งเข้ามา ถึงได้กระจ่าง ที่แท้สกุลหยางเคยส่งแม่สื่อไปทาบทามคุณหนูมาหลายตระกูลแล้ว แต่ถูกปฏิเสธ เพราะข่าวลือเรื่องความรักมั่นของหยางเทียนเล่อที่มีต่อฉางฟางเยว่ สุดท้ายสกุลหยางถึงได้มาทาบทามนาง
ไป๋ลู่ชิงหยุดความคิดวุ่นวายอลหม่านในหัว หันมารับผ้าจากมู่ตานมาเช็ดหน้า สำรวจตนเองเรียบร้อย ถึงได้ก้าวออกจากเรือน
เรือนหยางฮูหยิน
สุ่ยหัวเซียนมองลูกสะใภ้ที่กำลังยอบกายให้ตนด้วยสายตาไม่บ่งบอกอารมณ์ กับลูกสะใภ้ผู้นี้ นางเองหาได้พึงใจ แต่เพราะไม่มีทางเลือก ถึงได้จำใจไปทาบทาม มิใช่ว่านางมิรู้มาก่อน ว่าไป๋ลู่ชิงมีใจให้บุตรชาย หากแต่ที่นางไม่เลือกสกุลไป๋ตั้งแต่แรก เพราะฐานะของสกุลไป๋นั้นต่ำกว่าสกุลหยาง ซ้ำบิดาของไป๋ลู่ชิงยังไม่มีทีท่าว่าจะก้าวหน้าทางการงาน มิอาจช่วยส่งเสริมบุตรชายของนางได้ ถ้าไม่เพราะอาเล่อประกาศจะแต่งฉางฟางเยว่เป็นภรรยา นางไหนเลยจะยอมให้สะใภ้สกุลไป๋แต่งเข้ามา อย่างน้อยแต่งกับไป๋ลู่ชิง ย่อมดีกว่าฉางฟางเยว่
“เจ้าคงทราบแล้วกระมัง ว่าอาเล่อพาฉางฟางเยว่เข้ามาอยู่ในจวน” หยางฮูหยินเอ่ยถาม หลังจากที่เห็นนางลงนั่งเรียบร้อยแล้ว
“ทราบแล้ว เจ้าค่ะ” ลู่ชิงตอบเสียงเบาราวกับยุง มองดูก็รู้ว่าประหม่าเพียงใด
และความอ่อนแอขี้ขลาดของลู่ชิง นับเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้หยางฮูหยินมิพอใจ เด็กคนนี้แต่งเข้ามาตั้งสามเดือนแล้ว ยังเอาชนะใจบุตรชายนางมิได้ ช่างไร้ประโยชน์สิ้นดี!
“เจ้าพูดจาให้เสียงดังกว่านี้หน่อยจะได้หรือไม่ หรือว่าต้องให้แม่สามีอย่างข้า คอยเงี่ยหูฟัง?” น้ำเสียงของหยางฮูหยินเริ่มเย็นชา
“เจ้าค่ะ” ลู่ชิงก้มหน้ารับคำเสียงดังขึ้นมาอีกเล็กน้อย
สุ่ยหัวเซียนคร้านจะสนใจนาง จึงกล่าวเข้าประเด็น “ต่อไป ฉางฟางเยว่จะต้องกลายเป็นอนุของอาเล่อ ฉะนั้น ช่วงนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ไปสร้างความลำบากใจให้นาง ข้ามิอยากให้อาเล่อไม่สบายใจ แค่งานในราชสำนักก็หนักหนาพอแล้ว เจ้าในฐานะภรรยา ควรช่วยแบ่งเบา ข้าเองก็มิได้อยากยอมรับ แต่เรื่องนี้ ต้องโทษที่เจ้าไร้สามารถ มิอาจเปลี่ยนใจอาเล่อได้”
ลู่ชิงฟังแล้ว ยังจะกล่าวอันใดได้อีก ได้แต่ฝืนข่มมิให้น้ำตาไหลออกมา ก้มหน้ารับคำเสียงแผ่วเบายิ่งกว่าเดิม “เจ้าค่ะ”
“เจ้าไปได้แล้ว” หยางฮูหยินเอ่ยไล่ “แล้วอย่าได้สร้างปัญหาให้อาเล่อเป็นอันขาด!”
“ทราบแล้ว เจ้าค่ะ” ลู่ชิงรับคำอีกครา ก่อนจะลุกยอบกายให้แม่สามี หมุนตัวก้าวออกจากเรือนใหญ่ราวกับไร้ชีวิต ทันทีที่พ้นประตูออกมา น้ำตาที่พยายามกลั้นเอาไว้ พลันไหลทะลัก
เหลียนฮวาที่รออยู่ด้านนอกตกใจยิ่ง รีบเข้าไปประคอง “คุณหนู เกิดอันใดขึ้นเจ้าคะ”
“พาข้ากลับเรือนที” ลู่ชิงเอ่ยทั้งน้ำตา รู้สึกหมดแรงแม้แต่จะก้าวเดิน เป็นเพราะนางรักหยางเทียนเล่อใช่หรือไม่ ถึงต้องทุกข์ตรมเช่นนี้
เรือนชิงอ้าย
“คุณหนูเจ้าคะ คุณชายออกจากจวนไปแล้วเจ้าค่ะ บ่าวยังทราบมาอีกว่า ฮูหยินเรียกตัวฮูหยินน้อยเข้าไปพบด้วยเจ้าค่ะ”
ฉางฟางเยว่ฟังสาวใช้รายงานแล้ว วางผ้าที่กำลังปักลงตะกร้า ก่อนจะลุกขึ้นยืน “ไปเถิด ข้าสมควรต้องไปทักทายนางเสียหน่อย”
‘นาง’ ที่ฉางฟางเยว่กล่าวถึงย่อมต้องหมายถึงไป๋ลู่ชิง หญิงสาวไร้ยางอายที่บังอาจแย่งตำแหน่งฮูหยินขุนนางขั้นสี่ของตนไป
ฉางฟางเยว่ ปีนี้อายุสิบเจ็ด ก่อนหน้านั้น นางกับหยางเทียนเล่อ คือ คู่รักวัยเยาว์ เป็นที่โจษจันในเมืองหลวง ผู้คนต่างรู้กันทั่ว ว่าตำแหน่งฮูหยินน้อยสกุลหยาง ต้องเป็นของนาง ทว่าก่อนที่นางจะถึงวัยปักปิ่นเพียงสองเดือน บิดากลับถูกจับกุมในข้อหาโกงกิน ตระกูลถูกริบทรัพย์ บิดาถูกประหาร คนสกุลฉางทั้งหมดถูกเนรเทศ ชีวิตของนางพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากคุณหนูสูงศักดิ์กลายเป็นนักโทษ หยางเทียนเล่อวิ่งเต้นขออภัยโทษให้นางมาสองปี ที่สุดนางถึงได้กลับมา
แต่แค่กลับมานั้น มันจะไปพออันใดเล่า! หากมิได้แต่งเป็นภรรยาของเขามันจะมีประโยชน์อันใด จะให้นางยอมเป็นอนุน่ะหรือ ไม่มีทางเด็ดขาด!
