บท
ตั้งค่า

#1

บนหลังอาชาสีดำตัวใหญ่ ฉวนโซ่อี้หรี่ตามองกองทัพของพวกโกคูรยอที่กำลังถอยร่นเข้าไปในป่า จากที่ไตร่ตรองในใจจนรอบคอบดีแล้ว พลันยกมือขึ้น ออกคำสั่งไม่ให้ทหารใต้บังคับบัญชาติดตามไป ทว่า ชั่วขณะนั้นเอง ไม่รู้ว่าธนูพุ่งมาจากที่ใด ปักเข้าที่ข้างลำตัว บริเวณที่ไม่มีชุดเกราะอย่างแม่นยำ

ร่างของแม่ทัพน้อย โงนเงนอยู่บนหลังม้าเพียงไม่กี่อึดใจ ก็ร่วงสู่พื้น

ในกระโจม ค่ายทหาร

หลังจากที่ท่านหมอนำลูกธนูออกมาเรียบร้อยแล้ว หันมากล่าวกับแม่ทัพใหญ่ด้วยสีหน้าลำบากใจ “บาดแผลของท่านแม่ทัพมิได้สาหัส แต่พิษจากหัวธนูทำให้ยังมิได้สติขอรับ”

พิษ? พิษอันใด วิญญาณของฉวนโซ่อี้ยืนฟังหมอรายงานอยู่ข้างเตียงอย่างฉงน ตั้งแต่ที่นางตกจากหลังม้า วิญญาณของนางกระเด็นออกจากร่างทั้งที่ยังมีสติ จึงรับรู้ได้ทุกอย่าง หัวธนูฉาบไว้ด้วยยาพิษเยี่ยงนี้ ย่อมหมายความว่าคนลงมือหวังให้นางตายเพียงสถานเดียว ผู้ใดกันที่มีความแค้นล้ำลึกกับนางเพียงนั้น

จะว่าเป็นพวกข้าศึก นางไม่เชื่อเด็ดขาด เพราะหากเป็นพวกข้าศึกจริง คงลงมือกับบิดาของนางที่เป็นแม่ทัพใหญ่ แทนที่จะลงมือกับนางที่เป็นแม่ทัพน้อย คิดแล้ว โซ่อี้ได้แต่เก็บข้อสงสัยทั้งหลายทั้งมวลเอาไว้ด้วยความเจ็บใจ นางยังไม่อยากตาย

“เจ้าว่าพิษหรือ?” แม่ทัพใหญ่ร่างกายเครียดขึงขึ้นมาทันที มองบุตรสาวนัยน์ตาแดงก่ำ ก่อนมาออกศึก นางพึ่งสัญญากับเขาว่าศึกนี้ จะเป็นศึกสุดท้าย แต่ไม่นึกว่า....

โทสะของฉวนไห่หยวน พุ่งทะยานขึ้นทันที ที่นึกไปถึงภาพของบุตรสาวอันเป็นที่รักร่วงลงจากหลังม้า และที่น่าตายที่สุด คือ จนป่านนี้ ยังจับตัวคนร้ายมิได้

ฉวนไห่หยวนพยายามสงบจิตสงบใจ “ท่านหมอ พอจะมีทางรักษาหรือไม่?”

ท่านหมอส่ายหน้าอย่างจนปัญญา “ต้องขออภัยขอรับท่านแม่ทัพใหญ่ ข้าน้อยเป็นเพียงหมอทหาร มิได้สันทัดเรื่องพิษ เพียงแค่รู้ว่าพิษนี้ทำให้หลับไหล ทางที่ดี เมื่อบาดแผลหายดีแล้ว ควรรีบส่งตัวท่านแม่ทัพน้อยกลับเมืองหลวงจะดีกว่า ที่นั่นน่าจะมีหมอที่ชำนาญเรื่องพิษมากอยู่ขอรับ”

ฉวนไห่หยวนเองคิดจะส่งบุตรสาวกลับเมืองหลวงอยู่แล้ว จึงมิได้กล่าวอันใด

หนึ่งเดือนหลังจากนั้น.....

นครฉางอัน หน้าประตูจวนสกุลหยาง

ภาพชายหนุ่มหญิงสาวที่กำลังโอบประคองกัน ลงจากรถม้าด้วยท่าทางทะนุถนอม ทำให้ภรรยาที่มารอรับสามีอย่างไป๋ลู่ชิงถึงกับเข่าแทบทรุด ใครจะรู้ว่า ที่หยางเทียนเล่อออกจากจวนไปสองเดือนกว่า เพื่อไปรับหญิงคนรัก

ความรู้สึกของไป๋ลู่ชิงในยามนี้นั้น เกินคำว่าเจ็บปวดไปไกลโข

ครั้นหยางเทียนเล่อหันมาเห็นนางยืนอยู่บนซุ้มประตู ใบหน้าอ่อนโยนเมื่อครู่พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมาทันใด

“นางคือ?” หญิงสาวข้างกายของเขาเอ่ยถาม

“อย่าไปสนใจเลย มาเถิด ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่เรือน เดินทางมาเหนื่อยๆ พักผ่อนเสียหน่อยจะดีกว่า ข้ายังต้องรีบเข้าวังอีก” หยางเทียนเล่อ ไม่แม้แต่จะชายตาแลภรรยา โอบประคองหญิงสาวในอ้อมแขน เดินผ่านหน้านางไป ราวกับว่าอีกฝ่ายไร้ตัวตน

พ้นหลังทั้งคู่ไปได้ไม่เท่าไหร่ ร่างกายของลู่ชิงพลันซวนเซจะล้ม สาวใช้ข้างกายรีบเข้ามาประคอง

“คุณหนู ให้บ่าวพากลับเรือนนะเจ้าคะ” เหลียนฮวาเห็นเจ้านายแล้วปวดใจยิ่ง แทบจะหลั่งน้ำตาตามอยู่รอมร่อ ลำพังท่านเขยไม่สนใจใยดี ก็ว่าเจ็บพอแล้ว นี่ยังถึงขั้นพาคนรักเข้ามาอยู่ในจวน ช่างเกินไปจริงๆ

ลู่ชิงกลับเรือนมาได้ เอาแต่นั่งน้ำตาไหลพราก สาวใช้ทั้งสอง มิรู้จะเอ่ยปลอบอย่างไรดี

กระทั่งผ่านไปพักใหญ่ หยางเทียนเล่อถึงได้เดินเข้ามาในเรือน เขาหยุดฝีเท้าเบื้องหน้านาง ก่อนจะกล่าวโดยไม่หันมามอง

“ต่อไป เยว่เอ๋อจะมาอยู่ในเรือนชิงอ้าย หากไม่จำเป็นเจ้าอย่าได้เสนอหน้าไปบริเวณนั้นเป็นอันขาด! ข้ามิอยากให้นางเห็นเจ้าแล้วไม่สบายใจ!” พูดจบ เขาก็หมุนตัว เดินออกจากเรือนไป ราวกับนางเป็นตัวน่ารังเกียจ

วาจาของสามีที่พึ่งแต่งงานมาได้สี่เดือน ยังคงก้องอยู่ในโสตของไป๋ลู่ชิง กระทั่งเขาออกไปแล้ว นางยังเรียกสติตนเองกลับมามิได้

ท่านพี่เทียนเล่อ ไฉนท่านถึงได้โหดร้ายกับข้านัก ข้าแค่รักท่าน มันผิดมากเลยกระนั้นหรือ

ไป๋ลู่ชิงเฝ้าถามคำถามนี้กับตนเองมาสี่เดือนเต็ม

หยางเทียนเล่อ คือบุรุษที่นางแอบรักมาตั้งแต่วัยเยาว์ ใฝ่ฝันอยากเป็นภรรยาของเขาตั้งแต่แรกพบ กระทั่งเมื่อห้าเดือนก่อน ตระกูลหยางส่งแม่สื่อมาทาบทาม ด้วยความรักมั่นที่มีต่อเขา นางถึงกับขอร้องบิดามารดาให้รับหมั้นในทันที ทั้งๆ ที่รู้ว่า หยางเทียนเล่อมีคนรักอยู่แล้ว

ตระกูลหยางสืบเชื้อสายมาจากอ๋องหมวกเหล็ก แม้จะมิได้มีบรรดาศักดิ์อ๋องเช่นกาลก่อน ทว่าก็นับเป็นตระกูลเก่าแก่ที่รับใช้ราชสำนักมาหลายชั่วอายุคน ส่วน ฉางฟางเยว่ หญิงคนรักของหยางเทียนเล่อ คือบุตรสาวขุนนางโกงกิน ที่ถูกยึดทรัพย์ถูกเนรเทศ ตระกูลหยาง ไหนเลยจะยอมรับสะใภ้เช่นนั้นได้ การหมั้นหมายของนางกับเขาถึงได้เกิดขึ้น

หยางเทียนเล่อคิดว่านางเป็นต้นเหตุทำให้ตนมิได้แต่งงานกับหญิงอันเป็นที่รัก จึงเกลียดนางเข้ากระดูก ไม่เพียงจะมิยอมร่วมหอกับนาง แม้แต่อยู่ร่วมห้อง เขายังมิยอมกระทำ เจอหน้ากันคราใด ไม่พูดจาเสียดสีทำร้ายจิตใจ ก็หมางเมินเย็นชาใส่ ยิ่งนางพยายามทำดีกับเขามากเท่าใด คล้ายว่าเขาจะยิ่งรังเกียจนางมากเท่านั้น ไป๋ลู่ชิงคิดแล้ว ได้แต่หลั่งน้ำตาออกมา เงียบๆ

สาวใช้สองนางที่พึ่งเดินเข้ามา พากันหันมามองหน้ากัน หนึ่งในนั้นเอ่ยขึ้นว่า

“คุณหนูเจ้าคะ ฮูหยินให้สาวใช้มาตามท่านไปพบเจ้าค่ะ” มู่ตานมองเจ้านายด้วยความสงสาร ตั้งแต่ที่นางติดตามคุณหนูเข้ามาอยู่ที่นี่ ยังไม่มีวันไหนเลย ที่จะไม่เห็นคุณหนูร้องไห้ ท่านเขยช่างใจร้ายใจดำยิ่งนัก

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel