5. ระวังปากหน่อย
“พูดอะไรให้มันระวังปากหน่อยนะลุง” นิรณาเหลืออด “หนูโอนเงินให้ใช้ก็ดีแค่ไหนแล้ว เลี้ยงดูอะไรกัน ให้หนูอยู่เป็นขี้ข้า ใช้งานอย่างกับคนรับใช้ ใครจะไปทนอยู่”
“เดี๋ยวนี้มึงกล้าขึ้นเสียงใส่กูเรอะ”
วินัยยกมือขึ้นหมายจะฟาดใส่ซีกหน้าของนิรณา หญิงสาวยกมือขึ้นป้องศีรษะทำเช่นทุกครั้งที่ถูกลุงตบตี ทว่าครั้งนี้มือข้างนั้นยังไม่ทันได้กระทบใบหน้าของเธอ ร่างของวินัยกลับถูกถีบกระเด็นจนหงายหลังก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย!”
นิรณาได้ยินเสียงร้องจึงลดมือที่ป้องศีรษะลงทำให้เห็นภาพได้ชัดเจน
“คุณนานาเป็นอะไรหรือเปล่าครับ” น้ำเสียงทุ่มต่ำเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง สีหน้าเป็นกังวลอย่างชัดเจน ทั้งที่เขาเพิ่งถีบคนที่กำลังจะทำร้ายเธอลงไปหงายหลังอยู่ตรงพื้นห้อง
นิรณาพูดอะไรไม่ออก เธอลืมไปเสียสนิทว่าตัวเองไม่ได้ขึ้นห้องมาคนเดียว เพราะเอาแต่มองหาแมวและทะเลาะกับลุงวินัย
“คุณนานา” จิรายุถามซ้ำเพราะเห็นหญิงสาวยืนนิ่งไป เขาเห็นสภาพห้องที่ถูกรื้อค้นกระจัดกระจายแล้วก็เลือดขึ้นหน้า ยิ่งเห็นว่าผู้ชายคนนั้นจะทำร้ายเธอ เขาก็ช่วย(ถีบ)อย่างไม่ลังเล อย่างมากก็แค่ให้ทนายของบริษัทมาจัดการไป
“ไม่เป็นไรค่ะ” นิรณาได้สติรีบส่ายหน้าไปมา
ลุงวินัยยันตัวลุกขึ้นยืนแล้วชี้หน้าหลานสาว “มึงเลี้ยงผู้ชายไว้จริงๆด้วย”
“มะ...ไม่... ไม่ใช่”
“แล้วคุณเป็นใครครับ” จิรายุพูดขึ้นก่อนที่นีรณาจะพูดจบคำเสียอีก ใจจริงเขาก็เป็นคนไม่ความรุนแรงแต่เพราะสองมือไม่ว่าง ข้างซ้ายหิ้วถุงข้าวสาร ข้างขวาถือถุงทรายแมว ก็เหลือแค่เท้าที่ยังว่างเลยถีบไปเต็มแรงก็เท่านั้น
“กูเป็นลุงของมัน” วินัยพูดด้วยคิดว่าตัวเองเหนือกว่า “เป็นผัวมันหรือไง นังนี้ก็โง่จริงๆ กูบอกแล้วจะมีผัวให้มันเอาฟรีๆ ทำไม ไม่สู้ขายตัวได้ทั้งเงินได้ทั้งเสียว”
“ลุงนัย!” นิรณาอับอายอย่างที่สุด หนีมาไกลแล้วยังถูกรังควานขนาดนี้
“สำหรับผมแล้ว นานาเป็นคนสำคัญที่สุด และผมจะไม่ให้คนพิเศษของผมถูกคนอื่นรังแกเอาแบบนี้” จิรายุพูดน้ำเสียงราบเรียบแต่เยียบเย็น “ดูจากสภาพห้องแล้ว ผมสามารถแจ้งความข้อหาบุกรุก ทำลายทรัพย์สิน ขโมยของ ทำร้ายร่างกาย ข่มขู่ทำให้ตกใจ สามารถเรียกค่าทำขวัญได้...”
“เฮ้ยๆ มึงพล่ามอะไรออกมา”
“ผมว่าทางที่ดี คุณรีบไสหัวออกไปก่อนที่ผมจะโทรเรียกตำรวจดีกว่าครับ และขอบอกไว้ก่อนว่าผมสนิทกับสารวัตรที่สน.นี้มาก ถ้าคุณไม่เชื่อลองดูไหมครับ”
วินัยเห็นท่าไม่ดี ท่าทางไอ้หมอนี้ไม่ยอมคนเสียด้วย แต่ยังทำเก่งชี้หน้าด่านีรณาก่อนจะรีบแผ่นออกไปอย่างรวดเร็ว
“กะทิ”
นิรณาได้สติรีบร้องหาแมวแสนรัก ปกติกะทิอยู่แต่ในห้องไม่ค่อยได้ออกไปไหน ชีวิตมีแค่ในห้องนี้ นานๆ ทีนีรณาถึงจะอุ้มกะทิใส่ตะกร้าออกไปเที่ยวเล่นนอกบ้านสักครั้ง เธอรีบส่งเสียงร้องหาแมวอวบ พลันนึกได้ว่า ทุกครั้งที่กะทิกลัวเสียงดัง ไม่ว่าจะเป็นเสียงพลุหรือดอกไม้ไฟ หรือเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า แมวตัวนั้นจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ตู้เสื้อผ้า เธอก้าวข้ามข้าวของที่กระจัดการะจายบนพื้นไปที่ตู้เสื้อผ้า ปกติเธอไม่ได้ปิดตู้ไว้เพราะรู้ว่ากะทิจะใช้ที่นี่เป็นที่หลบภัย เพียงเธอแหวกเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ออกก็มองเห็นแมวสีครีมนอนขดตัวกลัวด้วยท่าทีหวาดกลัวอยู่ในนั้น
“กะทิ” นิรณาช้อนร่างแมวแล้วเดินมาที่โต๊ะที่ยังดีอยู่ วางอย่างแผ่วเบาสำรวจดูว่ามีบาดแผลหรือไม่
“กะทิปลอดภัยไหมครับ” จิรายุถามแล้วหลังจากหาที่วางข้าวของที่หิ้วมาได้แล้ว
“คงตกใจค่ะ แต่ไม่มีบาดแผลอะไร” เธอลูบหัวแมวอ้วนเบาๆ “ขอโทษนะ ตกใจมากใช่ไหม”
“พาไปหาหมอให้ตรวจดูให้แน่ใจดีไหมครับ” เขารู้ว่านิรณารักแมวตัวนี้มาก เขาเห็นเจ้าอวบนี้ในไลฟ์สดของเธอบ่อยๆ วันนี้เพิ่งได้เจอตัวจริงกันครั้งแรก เสียดายที่ไม่ได้มีขนมแมวเลียมาฝาก
“ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วนิรณาก็เพิ่งนึกได้ “ขอโทษด้วยนะคะ คุณมาเจอเรื่องวุ่นวายแบบนี้ด้วย”
“ไม่เป็นไรครับ”
จิรายุยิ้มให้ ดีใจที่เขามาอยู่ถูกที่ถูกเวลา ถ้าเขาไม่ได้ตื้อช่วยเธอถือของมาส่งที่ห้อง เธอคงถูกลุงคนนั้นทำร้ายร่างกายไปแล้ว เขาเดินไปที่ประตู ดูท่าทางลูกบิดและตัวล็อกจะใช้งานไม่ได้แล้ว
“คุณนานาจะทำยังไงต่อไปครับ”
“คะ?” เธองุนงงกับคำถามของเขา
“ประตูนี่ ผมว่าคงล็อกไม่อยู่แล้ว แล้วสภาพห้องแบบนี้ คุณคงนอนไม่ได้แน่”
นิรณามองตามสายตาของเขาแล้วก็ร้องโอดครวญในอก ฟูกนอนถูกกรีดขาด คงเพราะลุงวินัยคิดว่าเธอซ่อนเงินในฟูกนอนเหมือนป้าอำพร
“คุณนานาไปอยู่กับผมก่อนไหมครับ”
“คะ?” เธอเงยหน้าสบตากับผู้ชายตรงหน้า น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้เธอรู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น
“คือผมมีทาวน์โฮมอยู่หลังหนึ่ง เพิ่งรีโนเวทเสร็จอาจจะยังไม่เรียบร้อยเท่าไหร่แต่สามารถเข้าอยู่ได้ทันที คุณนานาพาน้องกะทิไปอยู่ที่นั้นได้ครับ ผมไม่คิดค่าเช่า เอาแค่ค่าน้ำกับค่าไฟฟ้าก็พอ”
‘ถ้าจะไม่คิดเงินเลย เธอคงปฏิเสธแน่ๆ’
