ตอนที่ 1 คุณหนูบ้านใด [2/2]
หลังจากที่ถูกรับตัวจากกองคาราวานสินค้ามาจนถึงจวนแม่ทัพ อาโหยวก็เฝ้าถามคำถามกับนายสาวไม่ขาดปาก
ก็ใครใช้ให้คุณหนูของนางเสนอตัวเองไปเป็นตัวแทนสตรีที่หายไปเมื่อแปดเดือนก่อนมาเป็นอนุแม่ทัพกันเล่า จนพวกนางต้องมาอยู่ในจวนแม่ทัพแคว้นเส้าในตอนนี้
“อาโหยว เจ้านี่ช่างไม่รู้อะไรเอาเสียเลย เจ้าลืมความสามารถของคนในตระกูลข้าไปแล้วหรือ?”
พอชิวว่านเอ่ยประโยคนี้ออกมา ในที่สุดอาโหยวก็เลิกถาม จนกระทั่งทั้งสองลงจากรถม้า และถูกพามายังเรือนหลังหนึ่ง
“นี่เป็นเรือนพักของพวกเจ้า และข้าขอเตือนเอาไว้ ว่าอย่าได้สร้างความวุ่นวายที่นี่เป็นอันขาด สตรีของท่านแม่ทัพมีมากมาย คำว่าอนุ ก็แค่คำเรียกขานให้ฟังดูดี แต่ความจริงหญิงสาวอย่างพวกเจ้าก็ไม่ต่างอะไรกับนางโลม หรือบางที นางโลมพวกนั้นอาจดีกว่าพวกเจ้าด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นจงรู้ฐานะตัวเองเข้าใจหรือไม่!”
วาจาดูถูกเหยียดหยามของแม่บ้านจวนแม่ทัพ เกือบจะทำให้อาโหยวลงมือ แต่ถูกเจ้านายปรามด้วยสายตา เลยได้แต่กัดฟันก้มหน้ารับฟังด้วยความอดทน ส่วนชิวว่านยอบกายชดช้อยอย่างมีสัมมาคารวะให้กับหญิงสาววัยราวสามสิบกว่าอย่างนอบน้อม
“ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่บ้านไม่ต้องเป็นห่วง”
“หึ! เข้าใจแล้วก็ดี เรือนหลังนี้ เจ้าจะต้องอยู่รวมกับอนุคนอื่นอีกสามคน พวกนางจะบอกเจ้าเองว่าควรทำตัวอย่างไร ข้าไปล่ะ ไม่อยากมัวมาเสียเวลากับสตรีชั้นต่ำอย่างพวกเจ้า!” เอ่ยจบแม่บ้านจวนแม่ทัพก็เดินจากไป
“คุณหนูน่าจะปล่อยให้บ่าวทุบตีแม่บ้านผู้นั้นซักยกนะเจ้าคะ”
“จะทำไปทำไมให้เปลืองแรง คนเช่นนั้นเจ้าต้องประจบประแจงถึงจะถูก ว่าแต่เข้าไปในเรือนเถิด ข้าอยากพักผ่อนแล้ว เดินทางมาเหนื่อยๆ”
ชิวว่านสาวเท้าเดินนำเข้าไปในเรือนด้วยท่าทางเรื่อยเฉื่อย ภายในมีหญิงสาววัยราวยี่สิบปีสามคนนั่งรอนางอยู่ก่อนแล้ว
“เจ้าคงเป็นอนุที่รับเข้ามาใหม่ พวกเราเตรียมฟูกจัดที่นอนของเจ้าเอาไว้ให้แล้ว อยู่ที่นี่ลำบากหน่อยนะ แต่เดี๋ยวอีกหน่อย เจ้าก็จะชินไปเอง ข้าแซ่อั่ว นามว่ารุ่ยรุ่ย” หญิงสาวคนแรกแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอ่อน ตามด้วยอีกสองคนที่เหลือ
“ข้าแซ่ติง นาม ผานลู่”
“ส่วนข้า ซีเหลียน”
“เยว่ฮวา คารวะพี่สาวทั้งสามเจ้าค่ะ” ชิวว่านยอบกายคำนับทุกคนอย่างชดช้อยไม่ต่างจากที่ทำกับแม่บ้าน
เรือนหลังนี้ มีขนาดไม่ใหญ่ไม่เล็ก ภายในมีห้องนอนแยกเพียงห้องเดียว เป็นห้องนอนรวม ไม่ต่างอะไรกับที่พักของบ่าวไพร่อย่างที่แม่บ้านผู้นั้นว่า แต่นั่นกลับไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับสาวน้อยที่เคยอยู่กินในป่า
หลังจากที่พูดคุยทักทายอนุทั้งสาม ชิวว่านก็นอนหลับเป็นตาย จนกระทั่งเย็น
“น้องเยว่ น้องเยว่ ตื่นได้แล้ว”
ชิวว่านค่อยๆ ลืมตา ลุกขึ้นมาบิดขี้เกียจ ยิ้มให้หญิงสาวที่มาปลุก แต่อีกคนกลับส่ายหน้า เอ่ยออกมาอย่างร้อนรน
“ยังจะมัวมายิ้มอยู่อีก รีบล้างหน้าล้างตาเถิด พวกเราต้องไปต่อแถวรับมื้อเย็น หากชักช้าคงได้อดข้าว”
“เห? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่าเจ้าคะ พี่สาวซีเหลียน ให้สาวใช้ไปเอามาไม่ได้หรือ?” ชิวว่านเลิกคิ้วถามออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง
“มันเป็นกฎนะสิ รีบไปก่อนเถิด เอาไว้กลับมา ข้าค่อยเล่าให้เจ้าฟัง”
อาโหยวส่งผ้าชุบน้ำให้นายสาวเช็ดหน้าเช็ดตา ทั้งสองมองสบตากัน แต่ไม่ได้พูดอะไร จากนั้นชิวว่านก็เดินตามอนุทั้งสามไปยังโรงครัว
ในตอนที่เด็กสาวมาถึง นางถึงกับต้องยืนกะพริบตาถี่ๆ มองแถวของสตรีเบื้องหน้าซ้ำอยู่หลายรอบ
“น้องเยว่ เป็นอะไรไป รีบเข้าไปต่อแถวเถิด” จนกระทั่งหนึ่งในสามอนุหันกลับมาเรียก ชิวว่านถึงได้ก้าวตามพวกนางไปต่อแถว
การแจกจ่ายอาหารของจวนแม่ทัพ ไม่ต่างอันใดกับการแจกโจ๊กให้ขอทาน ทุกคนจะได้รับข้าวเพียงคนละหนึ่งชาม ราดด้วยกับข้าวหนึ่งอย่าง มิหนำซ้ำข้าวที่ใช้ยังเป็นข้าวชั้นเลวที่บ้านเศรษฐีส่วนใหญ่เอาไว้เลี้ยงหมู กับข้าวก็มีเพียงผัดผักเน่าๆ บางทีการแจกโจ๊กอาจจะดีกว่าด้วยซ้ำ
หลังจากที่พากันกลับมายังเรือนพัก ชิวว่านได้แต่นั่งมองชามข้าวของตัวเองสลับกับมองไปยังอนุทั้งสามที่กำลังนั่งกินข้าวในชามอย่างเอร็ดอร่อยราวกับมันเป็นอาหารเลิศรส จนอดไม่ไหว ต้องเอ่ยถามออกมา
“พวกท่านทานกันเข้าไปได้อย่างไร อาหารสุกรบ้านข้ายังดีกว่านี้เลย”
“จริงเจ้าค่ะ ดูอาหารของพวกบ่าวสิเจ้าคะ” อาโหยวรีบเอ่ยเสริม พร้อมกับมองชามข้าวของตัวเองและของสามสาวใช้ อาหารของชิวว่านและเหล่าอนุว่าแย่แล้ว แต่ของข้ารับใช้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
“พวกเราต้องกินเพื่อความอยู่รอด เจ้าเองก็รีบกินเถิด อิ่มแล้วค่อยคุยกัน” รุ่ยรุ่ยหันมาตอบ
ชิวว่านได้แต่พ่นลมหายใจออกจากปาก ไม่ได้แตะต้องอาหารสุนัขในชามเบื้องหน้า แต่กลับหันไปมองสบตากับสาวใช้ จากนั้น อาโหยวก็เดินเลี่ยงไปอย่างรู้งาน
