บท
ตั้งค่า

ตอนที่ 2 บ้าน

นิลเนตรจอดรถจักรยานไว้ข้างเรือนหลังเก่า ๆ ที่มุงด้วยสังกะสี เสาเป็นไม้สูงประมาณหน้าอกของเธอ บ้านเอียงไปทางขวาเกือบสามสิบจุดห้าองศา เธอกำลังจะก้าวขาขึ้นบันไดที่มีอยู่เพียงสี่ขั้น ผู้หญิงอายุราวห้าสิบเศษก็เดินออกมาจากบ้านของเธอพอดี รูปร่างของเธอค่อนไปทางอวบ ผมสั้นหยักศกเพราะการดัด ผมสีดำแซมด้วยสีดอกเลายาวประมาณติ่งหู

“อ้าวนิล กลับมาแล้วเหรอ เปียกหมดเลย”

“ค่ะป้ามิ่ง” มิ่งพรคือป้าข้างบ้านที่บ้านอยู่ทางฝั่งซ้าย แกคอยมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ย่าตอนที่เธอไม่อยู่ ผู้หญิงคนนี้ใจดีและมีเมตตาต่อเธอกับย่ามาก เป็นคนหนึ่งที่มีส่วนทำให้เธอเติบโตมาก็ว่าได้

“ฉันมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ยายเจิม”

นิลเนตรพนมมือขึ้นพร้อมเอ่ย “ขอบคุณมากค่ะ”

มิ่งพรยืนงงไปครู่หนึ่งกับการยกมือไหว้ของเธอเป็นครั้งแรก แต่ไหนแต่ไรนิลเนตรไม่เคยไหว้และกล่าวขอบคุณเธอเช่นนี้ เหตุเพราะมิ่งพรช่วยเหลือนิลเนตรกับเจิมจันทร์มานาน จึงเป็นเหมือนญาติสนิทมิตรสหายกันไปแล้ว “เออ ไปหาข้าวให้ย่ากินเถอะ”

“ค่ะ” นิลเนตรรีบเดินขึ้นบ้านไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เสื้อผ้าของเธอมีแต่ผืนเก่า ๆ และมีกลิ่นเหม็นอับ บางตัวทั้งเก่าทั้งขาด เสร็จแล้วจึงเดินเข้าไปในห้องที่ย่านอนอยู่

เจิมจันทร์นอนบนแคร่ไม้ไผ่ที่ปูด้วยที่นอนยัดนุ่นและใช้ผ้าห่มผืนบางปูทับอีกชั้น ส่วนเธอนอนบนพื้นเรือนปูแค่เสื่อกก ทั้งสองมีมุ้งเก่า ๆ คนละหลัง

เสียงคนเดินเข้ามาในห้องเจิมจันทร์รู้ได้ทันทีว่าเป็นเสียงใคร “นิลกลับมาแล้วเหรอลูก”

“ค่ะย่า ย่ารอหนูแป๊บนึงนะคะ หนูอุ่นก๋วยเตี๋ยวแป๊บเดียวค่ะ”

“เออ ๆ ย่ารอได้ ยังไม่หิวเท่าไร”

นิลเนตรใช้ไฟคาดศีรษะส่องนำทางแล้วรีบเดินไปก่อไฟ บ้านของเธอไม่มีไฟฟ้าใช้ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าไฟมาสองปีแล้ว ในห้องที่เป็นห้องนอนป้ามิ่งจุดตะเกียงไว้ให้ย่าแล้ว

นี่มันสมัยไหนแล้วหนอ ทำไมยังมีคนยากจนข้นแค้นแบบนี้อยู่อีก นิลเนตรช่างมีชีวิตที่น่าเวทนาเหลือเกิน ขนาดเธอโตเป็นผู้ใหญ่ขนาดนี้ยังรู้สึกท้อเลยถ้าได้อยู่กับย่าที่นอนป่วยเช่นนี้ แล้วเด็กอายุสิบแปดสิบเก้าอย่างเจ้าของร่างนี้ละ จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหนที่ต้องหาเลี้ยงสองชีวิตให้อยู่รอด ก่อไฟพลางคิดไปพลาง โชคดีที่เธอเป็นเด็กบ้านนอกเหมือนกัน เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน การก่อไฟจึงไม่ยากสำหรับเธอนัก บ้านนี้ใช้แค่ถ่านกับฟืนเท่านั้น

อุ่นอาหารเสร็จก็รีบเทใส่ชามแล้วยกเข้าไปในห้องนอน นิลเนตรช่วยพยุงย่าลุกขึ้นแล้วป้อนก๋วยเตี๋ยว แสงไฟสะท้อนจากเปลวเทียนทำให้ผู้เป็นย่ามองเห็นแผลที่หน้าผากหลานสาวที่นั่งอยู่ข้างเตียง

มือเหี่ยว ๆ ยื่นไปลูบคลำสะเก็ดเลือดแห้งกรังที่หน้าผากหลานเบา ๆ “หัวไปโดนอะไรมา” เจิมจันทร์อายุหกสิบสองปี เธอลื่นล้มในห้องน้ำเมื่อสี่ปีที่แล้ว หลังจากนั้นก็ล้มป่วยและเดินไม่ได้เลย

“แฮ่! หนูปั่นจักรยานล้มค่ะ หัวก็เลยไปโขกกับตอไม้” นิลเนตรไม่ได้โกหกย่า เพียงแต่เธอบอกไม่หมดแค่นั้นเอง

น้ำตาของย่ารินไหลออกมาด้วยความสงสาร “เจ็บมากไหม” ยาทาแผลที่บ้านก็ไม่มี แล้วเมื่อไรแผลของเธอจะหาย

นิลเนตรส่ายหน้า “เจ็บนิดเดียวเท่ามดกัดค่ะ”

เจิมจันทร์กลั้วขำในลำคอ นิลเนตรคงโตขึ้นมาก เพราะบาดเจ็บครั้งนี้เธอไม่ร้องไห้งอแงเมือนเช่นที่ผ่านมา

“วันนี้ขายผักได้เงินกี่บาท”

“ห้าสิบบาทค่ะ” ตอนนี้เธอมีเงินติดตัวอยู่สามสิบบาท

“ถ้าไม่มีย่า แกก็คงไม่เหนื่อยขนาดนี้” เจิมจันทร์บอกหลานทั้งน้ำตาที่อยู่เป็นภาระให้หลานเลี้ยงดู

ดวงตาสีนิลกระตุกวูบเมื่อได้ยินย่าพูดเช่นนั้น “ย่าอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ ถ้าไม่มีย่าหนูจะอยู่ยังไง หนูจะอยู่กับใคร หนูจะนอนกับใครถ้าไม่มีย่า”

เจิมจันทร์เอื้อมมือไปลูบผมหลานด้วยความรัก วันนี้นิลเนตรมวยผมขึ้นแล้วใช้ปิ่นปักผมปักไว้ ซึ่งเป็นภาพที่เธอไม่คุ้นนัก แต่ก็ถือว่าน่ารักดี “ย่าจะอยู่กับแก” เลี้ยงมาตั้งสิบแปดสิบเก้าปีแล้ว จะมาอ่อนไหวอะไรตอนนี้ เจิมจันทร์นึกตำหนิตัวเองที่คิดอะไรไม่เข้าท่า

ป้อนอาหารย่าเสร็จ นิลเนตรก็กินอาหารที่เหลือต่อจากย่าจนหมดถ้วย ถือถ้วยเดินออกมาจะไปอาบน้ำก็มีน้ำหยดติ๋ง ๆ จากหลังคาลงมาที่พื้นบ้าน นิลเนตรส่องไฟขึ้นดู

อา! หลังคารั่ว สังกะสีบางแผ่นเก่าจนผุและเป็นสนิม ถ้าวันนี้ฝนไม่ตกก็คงมองดูดาวได้เลย

นิลเนตรเดินเอาถังมารองน้ำไว้ ดีหน่อยที่ตรงนี้ห่างจากที่นอนของเธอกับย่า

จากนั้นเธอก็ปลีกตัวไปอาบน้ำ ไม่ลืมที่จะตัดเล็บมือเล็บเท้าด้วย นิลเนตรทนไว้เล็บยาวขนาดนี้ได้อย่างไร เห็นครั้งแรกคิดว่าเล็บคนที่แสดงเป็นปอบภาคสิบเอ็ด เธอรู้สึกไม่ไหวกับตัวเองแล้ว คันไปทั้งตัวแม้กระทั่งบนศีรษะก็คันจนอยากจะร้องไห้ แถมยังรู้สึกเหมือนมีตัวอะไรมาไต่อยู่บนหัวด้วย ตอนป้อนอาหารให้ย่าเธอก็เกาอยู่หลายครั้ง ผมก็เหนียวเหนอะหนะไปหมด
ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel