บท
ตั้งค่า

บทที่15 สตรีเลือดเย็น

หลังจากส่งให้อวี้หลิงหรงกลับเรือน ฉินเฉินอวี้ก็กลับมานั่งในห้องตำราด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ความเงียบภายในห้องยิ่งทำให้อารมณ์ของเขาดูหนักอึ้งยิ่งขึ้น คำพูดของเสด็จแม่ในวันนั้นยังดังก้องอยู่ในหัว

“หากไม่สามารถรักนางฉันสามีภรรยาได้ อย่างน้อยก็ดีกับนางเหมือนน้องสาวคนหนึ่งเถิด”

เขาพยายามเปิดใจและเปลี่ยนมุมมองที่มีต่ออวี้หลิงหรง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้กลับทำให้เขารู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง

คนที่น่าสงสารในสายตาเขา กลับกลายเป็นคนที่ถือมีดหมายปลิดชีวิตผู้อื่น ความคิดนี้ทำให้เขากดขมับแน่น พยายามหาคำตอบว่าทำไมนางถึงได้เลือดเย็นเพียงนี้

"องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ" เสียงของหลี่เฉียนอันดังขึ้นพร้อมเสียงเคาะประตูเบา ๆ

"เข้ามา" ฉินเฉินอวี้เอ่ยอนุญาต

เมื่อหลี่เฉียนอันก้าวเข้ามา เขาเริ่มรายงานคำให้การของสาวใช้ในเหตุการณ์ห้องครัวอย่างละเอียด ฉินเฉินอวี้ฟังอย่างตั้งใจ และยิ่งฟังไป สีหน้าของเขาก็ยิ่งเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความสงสัย และในที่สุดก็เป็นความเข้าใจ

"เจ้ากำลังจะบอกว่าสาวใช้ในตำหนักรวมหัวกันกลั่นแกล้งไม่ยอมส่งข้าวส่งน้ำไปที่เรือนของพระชายางั้นหรือ!!" เขาเข้าใจในที่สุดว่าการกระทำของอวี้หลิงหรงไม่ได้เกิดจากความบ้าคลั่งไร้เหตุผล แต่เป็นเพราะนางและสาวใช้คนสนิทถูกกลั่นแกล้ง..

"ปลดสาวใช้ที่ก่อเรื่องออกให้หมดและให้พวกนางไปทำหน้าที่ซักล้างในวัง!" ฉินเฉินอวี้ออกคำสั่งเสียงแข็ง หากนางเลือกมาบอกเขาตรง ๆ เขาย่อมจัดการให้นางเป็นอย่างเป็นธรรมอยู่แล้ว แต่นางกลับเลือกใช้วิธีรุนแรงแทน

ตัวเขาเองที่ฝึกฝนวิชาดาบมาทั้งชีวิตยังต่อกรกับนางอย่างยากลำบาก นางกล้าที่จะใช้มีดทำร้ายคนมือเปล่าได้อย่างไร

ฉินเฉินอวี้ถอนหายใจยาว เขาเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ด้วยท่าทีเหนื่อยหน่าย สุดท้ายแล้วอันจิ่นเยว่ก็ปลอดภัย ส่วนอวี้หลิงหรงเองก็ได้รับโทษแล้ว เขาควรจะปล่อยเรื่องนี้ให้จบลงได้แล้วใช่หรือไม่?

"องค์ชายเพคะ หม่อมฉัน..แม่บ้านอัน ขอเข้าเฝ้าเพคะ" เสียงจากหน้าประตูดังขึ้นอีกครั้ง

ฉินเฉินอวี้ขมวดคิ้วแน่น ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง "เข้ามา"

ร่างของหญิงวัยกลางคนรูปร่างอวบอ้วนก้าวเข้ามาด้วยใบหน้าที่เปื้อนคราบน้ำตา นางคืออันหลี่เม่ย มารดาของอันจิ่นเยว่ และเป็นแม่บ้านใหญ่ของตำหนัก

"องค์ชาย โปรดให้ความเป็นธรรมแก่จิ่นเยว่ด้วยเพคะ!" แม่บ้านอันทรุดตัวลงกับพื้น น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความคับแค้นใจ "หากวันนี้องค์ชายไม่เสด็จไปช่วย เกรงว่าจิ่นเยว่คงไม่มีชีวิตรอดกลับมาหม่อมฉันแล้ว!"

ฉินเฉินอวี้ฟังโดยไม่ขัดจังหวะ ปล่อยให้นางระบายต่อไป

"นางเป็นแค่เชลยที่แต่งงานเข้ามาได้เพียงไม่กี่วัน กลับอวดเบ่งอำนาจ ใช้กำลังอย่างป่าเถื่อน องค์ชายเพคะ ท่านจะปล่อยคนอันตรายเช่นนี้ไว้ในตำหนักต่อไปไม่ได้!"

คำพูดของแม่บ้านอันทำให้ฉินเฉินอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แม้เขาจะเข้าใจว่าแม่บ้านอันเพียงแค่ต้องการปกป้องลูกสาวของตน

"แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรทำเช่นไร?" เขาถามเสียงเรียบ

แม่บ้านอันยกยิ้มที่มุมปาก นางรีบเสนอความคิดด้วยน้ำเสียงมั่นใจ "ขับไล่นางออกไปจากจวน หรือไม่ก็ฝังนางทั้งเป็นเพคะ!"

คำตอบนั้นทำให้ดวงตาของฉินเฉินอวี้วาวโรจน์ เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ

"เช่นนั้นข้าควรบอกเสด็จพ่ออย่างไรดี? การแต่งงานครั้งนี้เป็นการเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างแคว้นฉินและแคว้นหาน อวี้หลิงหรงแม้จะเป็นเชลยในสายตาเจ้า แต่นางก็คือบุตรสาวของขุนนางใหญ่ในแคว้นหาน หากพวกเขามาเยี่ยมเยียน ข้าควรอธิบายกับพวกเขาอย่างไรว่าเราฝังลูกสาวของพวกเขาทั้งเป็น?"

คำพูดของฉินเฉินอวี้ทำให้แม่บ้านอันหน้าซีดเผือด นางลอบกลืนน้ำลายด้วยความหวาดหวั่น เข้าใจในทันทีว่าองค์ชายไม่ได้อยู่ฝ่ายนางตั้งแต่แรก เขาเพียงหยั่งเชิงเพื่อทดสอบนางเท่านั้น

"มะ..หม่อมฉันเลอะเลือนไปชั่วขณะ ขอองค์ชายทรงให้อภัย"

ฉินเฉินอวี้มองแม่บ้านอันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความเยือกเย็น ริมฝีปากบางของเขายังคงความดุดัน

"ไม่ว่านางจะแต่งเข้ามาในฐานะอะไร แต่นางก็มีศักดิ์เป็นชายาของข้า.. ตอนนี้เองจิ่นเยว่เองก็ปลอดภัยแล้ว ส่วนพระชายาก็ถูกลงโทษไปแล้ว เจ้าคิดว่าโทษโบยสามสิบไม้มันเบาหรือ?"

แม่บ้านอันขนลุกไปทั้งตัวเมื่อได้ยินองค์ชายหกกล่าวเช่นนั้น นางจึงทำได้เพียงโขกศีรษะลงกับพื้นครั้งแล้วครั้งเล่า "บะ..บ่าวเข้าใจแล้วเพคะ บ่าวเข้าใจแล้ว"

"เช่นนั้นแม่บ้านอันก็กลับไปพักเถิด"

"ขะ..ขอบพระทัย ขอบพระทัยเพคะองค์ชาย"

อวี้หลิงหรงลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกที่หนักอึ้ง ราวกับมีก้อนหินขนาดใหญ่ทับอยู่บนร่างของตน คิ้วโก่งดุจคันศรโค้งเข้าหากันด้วยความรู้สึกแปลกใจ นางมิได้รู้สึกเจ็บปวดจากบาดแผลที่แผ่นหลัง ทว่านางกลับไม่สามารถขยับตัวได้ตามใจชอบ

นางตัวร้อนอีกทั้งยังรู้สึกอ่อนเพลีย นี่คงเป็นพิษไข้จากบาดแผลแน่นอน

"พระชายาท่านตื่นแล้วหรือเพคะ" จื่อรั่วกล่าวด้วยน้ำเสียงดีใจ ก่อนจะรีบเข้ามาประคองร่างของผู้เป็นนายให้ลุกขึ้นนั่ง

"วันนี้องค์ชายให้คนยกสำรับรวมถึงยามาให้ท่านด้วยนะเจ้าคะ" อวี้หลิงหรงได้ยินเช่นนั้นก็มิได้ตอบอะไรกลับมา นางทำเพียงแค่ลุกขึ้นมากินข้าว กินยา ทายา แล้วก็นอนต่อ

จะว่าเป็นเรื่องโชคดีได้หรือไม่ ด้วยร่างกายของนางตอนนี้ทำให้นางสามารถลุกขึ้นมาเดินเหินได้อย่างปกติ แม้จะใช้เวลารักษาบาดแผลเพียงแค่สองสามวันก็ตาม

"พระชายา..ท่านมิรู้สึกเจ็บปวดจริง ๆ ใช่ไหมเพคะ" จื่อรั่วเอ่ยถามอย่างร้อนใจ นางเป็นคนดูแลพระชายาเองกับมือ บาดแผลของท่านเป็นอย่างไรนางย่อมรู้ดีที่สุด เป็นไปได้จริง ๆ น่ะหรือที่สตรีบอบบางอย่างท่านจะมีแรงลุกขึ้นมาเดินทั้งที่บาดแผลก็ยังไม่หาย

"อาจเป็นเพราะผ่านประตูนรกมาครั้งแล้วครั้งเล่ากระมัง.. ข้าจึงเคยชินกับความเจ็บปวด" อวี้หลิงหรงกล่าวอย่างไม่จริงจังนัก ก่อนจะออกไปเดินเล่นรับลมที่สวนด้านหลังเรือน

เรือนเร้นเมฆาที่พระชายาหกอาศัยอยู่นั้น อยู่ห่างจากหน้าตำหนักมากโข นับว่าเป็นเรือนที่อยู่ห่างไกลที่สุดเลยก็ว่าได้ โดยปกติแล้วเรือนแห่งนี้แทบจะเป็นเรือนร้าง เพราะมิมีผู้ใดมาอาศัยอยู่ อีกทั้งเรือนแห่งนี้ยังถูกโอบล้อมไปด้วยป่าไผ่ ถึงทำให้บรรยากาศดูอึมครึมอยู่เสมอ

"พระชายาเพคะไยท่านต้องมาอยู่เรือนร้างห่างไกลผู้คนเช่นนี้ ยามดึกลมพัดแรงเสียงไม้ไผ่ก็ดังเอี๊ยดอ๊าด น่าขนลุกเหลือเกิน"

จื่อรั่วยกมือขึ้นมาลูบเรียวแขนของตนพลางเดินตามหลังเจ้านายไปยังลานด้านหลังเรือน

ตำหนักเทียนเหิงนั้นมีการขุดสระยาวพาดผ่านเรือนใหญ่หลายเรือน จึงมีศาลานั่งเล่นและสะพานอยู่หลายแห่ง ด้านหน้าเรือนเร้นเมฆาเองก็มีสระน้ำขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าเช่นกัน ทว่าเรือนของพระชายาหกนั้น ดูไม่ต่างจากตำหนักเย็น

ด้านหน้าเรือนมีเพียงสวนหิน โต๊ะหินอ่อน และต้นเหมยที่เหมือนถูกปลูกขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ ส่วนด้านหลังนั้นเป็นเพียงลานกว้าง ๆ ที่มีต้นไผ่ล้อมรอบ แม้ว่าอวี้หลิงหรงจะถูกจัดให้อยู่เรือนนี้ราวกับโดนกลั่นแกล้ง แต่นางกลับรู้สึกชอบเรือนแห่งนี้มากกว่า

"เป็นเช่นนี้น่ะดีแล้ว ข้าชอบที่ที่สงบ"

"หากท่านว่าเช่นนั้น บ่าวก็คงต้องชอบด้วยนั่นแหละเพคะ.."

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel