ผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อน
“ท่านแม่ ลายปักนี้ข้าเพิ่งเคยปักเป็นครั้งแรกอาจดูไม่งดงามเท่าใดนัก” นางยื่นผ้าที่ปักลวดลายดอกเหมยให้ฮูหยินเฉินดู
“เจ้าปักดอกเหมยใช่หรือไม่”
“ดูออกด้วยหรือเจ้าคะ”
“ฝีมือใช้ได้ทีเดียว”
“ที่จริงนี่เป็นครั้งแรกที่ข้าปักผ้า” นางตอบอย่างอาย ๆ เพราะไม่เคยร่ำเรียนเรื่องพวกนี้มาก่อน
“ที่จวนสกุลจินไม่มีผู้ใดสอนเจ้าหรอกหรือ”
จินซูซินส่ายหน้าเป็นคำตอบ นางเติบโตมากับสาวใช้หนึ่งคน อีกทั้งบิดายังไม่ค่อยได้อยู่ที่จวนเพราะต้องไปทำศึกอยู่บ่อยครั้ง นานทีปีหนถึงจะได้พบกันสักครา ครั้นบิดากลับมาที่จวนก็ถูกผู้อาวุโสในตระกูลชี้แนะให้แต่งฮูหยินคนใหม่เข้าจวนมา ตอนนั้นเห็นทีนางอายุได้หกขวบกระมัง เผลอพริบตาเดียวเวลาก็ล่วงเลยมาถึงสิบปีแล้วรึนี่
“นับตั้งแต่ข้าจำความได้ ข้างกายข้ามีเพียงซิ่วอิง แต่ช่างน่าเสียดายที่นางจากไปเร็ว” น้ำเสียงเศร้าดังจากปากนาง ยามหวนคิดถึงสาวใช้คนสนิทที่จากไปนานแล้ว
“ตอนนี้เจ้ามีข้าอยู่ทั้งคน ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยวเพียงลำพัง คิดเสียว่าข้าเป็นมารดาของเจ้าอีกคนก็แล้วกัน” ว่าพลางลูบหัวของหญิงสาวด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณท่านแม่”
เฉินเฟยฉีลอบมองทั้งคู่โผกอดกันราวกับว่าเป็นแม่ลูกกัน ยิ่งพาลทำให้รู้สึกไม่ชอบขี้หน้าจินซูซินมากขึ้นไปอีก เหตุเพราะมารดาของตัวเองเอาแต่ประคบประหงมหญิงสาวเหมือนดั่งไข่ในหิน จนลูกแท้ ๆ อย่างเขาอดรู้สึกหมั่นไส้ไม่ได้
“อะ...แฮ่ม” เสียงกระแอมของผู้มาใหม่ทำให้สตรีทั้งสองหันมองไปยังต้นเสียงก็พบร่างสูงใหญ่ยืนกอดอกจ้องมองอยู่ถึงได้ผละออกจากกัน
“ร้อยวันพันปีเจ้าไม่เคยมาที่นี่ มีเรื่องอะไรงั้นหรือ” เป็น ฮูหยินเฉินที่เอ่ยถามบุตรชาย
“ท่านพ่อให้คนส่งม้าเร็วมาส่งข่าวขอรับ”
“พ่อของเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”
“ท่านพ่อกล่าวว่าไม่อาจกลับเมืองหลวงได้ตามกำหนดเดิม เห็นทีอีกครึ่งปีถึงกลับมาพบหน้าท่านได้”
“ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เกิดอะไรขึ้นกับเขาอย่างนั้นหรือ” นางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วงสามี
“ท่านพ่อตกจากหลังม้าทำให้ขาหักน่ะขอรับ ตอนนี้พักอยู่ที่จวนของเราที่เมืองเป่ยจิง”
“เหตุใดถึงได้สะเพร่าจนตกหลังม้าได้ แก่จนปูนนี้แล้วแท้ ๆ”
“ท่านพ่อยังบอกอีกว่าไม่พบหน้าท่านแม่นานแล้ว อยากกลับมาพบหน้าท่านใจแทบขาดแต่สังขารไม่เอื้ออำนวย จึงได้แต่อ้อนวอนสวรรค์เผื่อว่าท่านแม่จะเมตตาเดินทางไปเยี่ยมเยียน”
“ท่านพ่อของเจ้ามีเวลาพูดจาเลอะเลือนเช่นนี้ ดูท่าแล้วคงไม่เป็นอะไรมาก”
“ท่านแม่จะไปหาท่านพ่อไหมขอรับ”
“ข้าต้องไปอยู่แล้ว เพียงแต่”
“แต่อะไรหรือขอรับ”
“แม่นางจินเป็นแขกของข้าแท้ ๆ แต่ข้ากลับต้องออกเดินทางไปไกลถึงเมืองเป่ยจิง”
“เรื่องนี้ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกขอรับ ข้าจะดูแลนางเอง”
“เฟยฉี ที่ลูกเอ่ยเมื่อครู่เรื่องจริงหรือ” นางถามย้ำด้วยน้ำเสียงดีใจจนถึงกับเปลี่ยนสรรพนามที่ใช้เรียกบุตรชาย
“ขอรับ บุรุษล้วนพูดแล้วไม่คืนคำ”
“เช่นนั้นแม่ก็วางใจ ซูซิน หากมีเรื่องใดขาดเหลือก็บอกพี่เฟยฉีของเจ้าได้เลย ระหว่างที่ข้าไม่อยู่ดูแลนางให้ดี ถ้าหากเจ้ากล้ารังแกนางล่ะก็แม่จะให้ท่านพ่อของเจ้าลงโทษเจ้าแน่” ท้ายประโยคมิวายหันไปสั่งแกมข่มขู่บุตรชาย
“ตอนนี้นางกลายเป็นลูกรักของท่านแม่ ลูกจะกล้าทำอันใดนางได้ล่ะขอรับ”
“รู้เช่นนั้นก็ดี”
ทั้งสองคนเดินมาส่งฮูหยินเฉินขึ้นรถม้า ครั้นล่ำลากันเสร็จจินซูซินที่ยืนขนาบข้างกับชายหนุ่มยืนมองรถม้ากำลังเคลื่อนตัวออกไปเรื่อย ๆ ได้เอ่ยขึ้น
“ท่านแม่ทัพ”
“มีอะไรก็ว่ามา”
“ฮูหยินกับใต้เท้าเฉินดูรักใคร่กันยิ่งนัก”
“ท่านพ่อกับท่านแม่รักกัน ไม่แปลกที่จะเป็นเช่นนั้น ผิดกับข้าที่ไม่ได้รู้สึกอันใดต่อเจ้าแม้สักนิดเดียว”
“แต่ข้า...”
“ท่านแม่ทัพขอรับ” เสียงของเหว่ยหลิงแทรกขึ้นกลางบทสนทนาของทั้งคู่
