13. ไม่ยอมถูกหลอก
สือซานถึงกับมึนงง แต่ก็ยอมทำตามแต่โดยดี ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้ก้าวลงจากเก้าอี้ กลับมีคำสั่งใหม่ตามมา
“แขวนไว้ตามเดิม หากข้าเก็บมันแล้ววันหนึ่งนางมาที่นี่อีก หานซืออินต้องคิดว่าข้าเชื่อคำนาง จึงได้เอาภาพนี้ไปซ่อน”
“ท่านโหวไม่เกรงจะมีใครมาขโมยไปจริง ๆ หรือขอรับ”
“หึ ก็แค่ภาพจากขอทาน ใครจะบ้ามาขโมย เจ้าถูกนางมารนั่นหลอกเข้าแล้วรู้หรือไม่” อวิ้นหลางเอ่ยตำหนิคนของตนทันที
“ข้าน้อยแค่มองไม่เห็นถึงความจำเป็น ที่ฮูหยินอยากกล่าวคำหลอกลวงเกี่ยวกับภาพวาดขอรับ” สือซานเอ่ยสิ่งที่คิด
ซึ่งอันที่จริง อวิ้นหลางก็คิดไม่ต่างกัน เพียงแต่ความร้ายกาจของหานซืออินมีมาก จนทำให้คำพูดนางมันไม่น่าเชื่อถือ เขาเลยคิดว่าสิ่งที่นางกับบ่าวทำ มันก็แค่การแสดงที่มีขึ้น เพื่อหวังบางสิ่ง
“ช่างเถอะ เอาเป็นว่าเรามารอดูกันดีกว่า ว่าหลังจากนี้จะมีใครกล้ามาขโมยภาพในเรือนข้าหรือไม่”
“เช่นนั้นข้าน้อยจะออกไปสั่งงานให้คนของเราคอยสืบดูท่าทีนายบ่าวคู่นั้นนะขอรับ” เอ่ยจบ สือซานก็ออกจากห้องไป
ด้านอวิ้นหลางยังคงยืนมองภาพวาดที่แขวนอย่างสนใจ ตั้งแต่เขาได้รับมันมาเมื่อสองเดือนก่อนก็แขวนเอาไว้ที่นี่ตลอด ทว่าจู่ ๆ ฮูหยินที่พึ่งแต่งเข้ามา กลับบอกให้เขาปลดมันลงและเก็บซ่อนให้ดี ที่สำคัญนางยังบอกว่ามันอาจจะถูกขโมยไปในไม่ช้านี้อีก
หึหึ ใครกันจะกล้าเข้ามาขโมยของในจวนโหว หากพวกมันคิดกระทำการเช่นนั้นก็เท่ากับคิดสั้นแล้ว เพราะใคร ๆ ต่างก็รู้ว่าจวนโหวมียอดฝีมือถึงสี่คน และเหตุนี้เองเรือนตำราจึงไม่มียามเฝ้า เพราะหนึ่งในสี่ ประจำการอยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันทั้งคืน
แต่ที่ปล่อยให้หานซืออินขึ้นมาได้ ก็เพราะนางมีฐานะเป็นถึงฮูหยินท่านโหว อีกอย่าง...ต่อให้นางคิดขโมยสิ่งใด หานซืออินไม่มีทางทำได้อยู่แล้ว เพราะทุกอย่างมันอยู่ในสายตาเขาหมด
“นางแค่ยืนมองภาพแล้วก็พึมพำถึงเรื่องที่บอกข้าแค่นั้นจริงหรือ ไม่มีอย่างอื่นใช่หรือไม่” อวิ้นหลางเอ่ยถามองครักษ์ที่เหาะลงมาจากขื่อโดยไม่ได้หันมองหน้ากัน
“ขอรับ” ซือหมิงตอบสั้น ๆ ปกติเขาก็มักจะพูดน้อยอยู่แล้ว
“หรือภาพวาดนี้มีความหมายแฝงอย่างที่ฮูหยินว่าไว้จริง ๆ ขอรับ” สือซานกลับเข้ามาทันได้ยินจึงเอ่ยบ้าง
“มีหรือไม่ก็คงต้องรอดู” นัยน์ตาคมกริบยังคงจับจ้องไปที่ภาพเบื้องหน้า ซึ่งคราแรกเขามองมันเป็นเพียงภาพธรรมดา แต่พอสังเกตดีดีกลับพบหลายสิ่งที่มันประหลาดมากขึ้น โดยเฉพาะรอยแต้มสีแดง “สั่งคนของเราสืบประวัติสาวใช้ผู้นั้นที รวมถึงนายของนางด้วย ข้าอยากรู้ว่าปกติแล้วหานซืออินทำอะไรก่อนแต่งเข้ามา เรื่องราวของนางมันจะเป็นเหมือนข่าวลือที่ข้าได้ยินมาหรือไม่ ที่สำคัญ...สืบให้รู้ว่านางมีความรู้เรื่องภาพหรือเปล่า ข้าอยากรู้ นางไปเอาความเชื่อมั่นมาจากที่ใด ถึงได้พูดอย่างหนักแน่นว่า ภาพนี้มีค่ามหาศาล ทั้งที่มันก็เป็นเพียงภาพทิวทัศน์เท่านั้น”
“ข้าน้อยจะรีบไปจัดการขอรับ” สือซานรับคำแล้วก็ออกไป
โจวเป่ยโหวยังคงยืนมองภาพวาดเบื้องบนอย่างพิจารณา สิ่งที่เห็นมันคือขุนเขาและป่าไม้เขียวขจี มองแบบผิวเผินมันก็เป็นภาพวาดปกติ หากฮูหยินตนไม่พูดถึงเขาก็ไม่ได้สังเกตด้วยซ้ำว่ามันมีจุดที่ต่างออกไป โดยเฉพาะลวดลายที่ตวัดไปมาใต้จุดแดง
“หานซืออินเจ้าคงไม่ได้กำลังปั่นหัวข้าอยู่หรอกนะ”
“เหตุใดท่านโหวถึงคิดเช่นนั้นล่ะขอรับ” ซือหมิงย้อนถามผู้เป็นนาย พร้อมกับจับจ้องภาพวาดที่เป็นปัญหาในยามนี้
“นางดูต่างออกไปจากเดิม” อวิ้นหลางเอ่ยจบก็เดินกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของตน โดยมีคนสนิทเดินตามมายืนฝนหมึกให้
“อย่างไรหรือขอรับ” ซือหมิงจ้องหน้าผู้เป็นนายอย่างใคร่รู้
“ข้าก็บอกไม่ถูก แต่ก่อน...เมื่อได้ฟังคำบอกเล่าที่พูดถึงนาง บอกตามตรงว่าแค่ได้ยินข้าก็นึกรังเกียจเสียแล้ว” อวิ้นหลางหยุดเสียงลง ราวกับกำลังครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ยขึ้นมาอีก
“ทว่าตั้งแต่ข้าได้พบนางเมื่อวันก่อน ข้ากลับเห็นว่าแววตาที่หานซืออินเผยออกมา มันกลับดูไม่มีพิษมีภัย มิหนำซ้ำ นิสัยก็ดูอ่อนโยนและเรียบร้อยไม่เหมือนที่ข้าเคยได้ยินมาสักนิด”
“ท่านโหวคิดว่านางไม่ได้ร้ายเช่นคำเลื่องลือหรือขอรับ”
“ข้าก็ไม่แน่ใจ...หานซืออินในตอนนี้ดูลึกลับและเจ้าแผนการณ์ ราวกับกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ เจ้าก็เห็นท่าทางนางดูสนใจภาพนี้มาก ทว่าพอข้ายกให้กลับไม่ยอมเอากลับไป”
“ข้าน้อยก็ว่าแปลกขอรับ นางเดินเข้ามาไม่ได้แยแสอย่างอื่นเลย นอกจากภาพนี้ หากฮูหยินสนใจมันจริงก็ควรต้องรีบรับไว้ แต่เหตุไฉนนางถึงบอกให้ท่านโหวเก็บซ่อนให้ดี ไม่ก็เผาไปเสีย”
โจวเป่ยโหวนิ่งงันและเขากำลังคิดตามคำคนสนิท รวมถึงคำพูดหนักแน่นของหานซืออินที่เอ่ยกับเขา และท่าทางของสาวใช้ผู้นั้นที่ดูต้องการภาพนี้มากจนแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน
“วันพรุ่งข้าไม่อยู่เจ้าเฝ้าที่นี่ให้ดี โดยเฉพาะภาพวาดนี้อย่าให้ใครนำออกไปได้ แม้แต่หานซืออิน” อวิ้นหลางกำชับเสียงเข้ม
“ขอรับ” คนสนิทรับคำแล้วก็ฝนหมึกต่อ
ด้านหานซืออิน
เมื่อกลับมาถึงเรือนของตนแล้ว นางก็แสร้งเดินไปนั่งเล่นที่สวน พูดคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้กับสาวใช้คนสนิท ซืออินรู้ดีว่าเจียอีคงอยากถามตนเรื่องภาพวาด ทว่านางไม่ยอมปล่อยโอกาสให้อีกฝ่ายได้ถาม สาเหตุก็เพราะซืออินอยากแกล้งนั่นเอง
‘อยากรู้ก็รอหน่อยนะ ใครใช้ให้เจ้ามาวางอำนาจกับข้าล่ะ’ ซืออินนึกในใจ พร้อมกับลอบยิ้มเมื่อเห็นท่าทางร้อนใจของเจียอี
กระทั่งเมื่อถึงเวลาเตรียมอาหารค่ำ เสี่ยวปิงและเสี่ยวจูก็ออกไปทำหน้าที่เหมือนทุกวัน ทิ้งให้เจียอีอยู่รับใช้เพียงลำพังเช่นเคย จึงเป็นโอกาสให้นางได้สอบสวนผู้เป็นนาย
“ไยท่านไม่ยอมเอาภาพมา” น้ำเสียงนางยังคงวางอำนาจ
ซืออินเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยแววตาเรียบเฉย แล้วเอ่ยตอบอย่างไม่ยีหระ “ก็เพราะมันไม่ใช่ภาพทิวทัศน์ที่เจ้าบอก ข้าจึงไม่ได้เอามันมาอย่างไรล่ะ ส่วนภาพที่เจ้าต้องการข้าไม่เห็น”
“แน่ใจหรือ ข้าได้ยินว่าภาพที่นายท่านต้องการ มันถูกแขวนอยู่บนฝาผนังในห้องตำรา แล้วเจ้าจะมาบอกว่ามันไม่มีได้เยี่ยงไรกัน เจ้าโกหกข้าหานซืออิน” เจียอีเอ่ยอย่างหยาบคาย หากมีคนมาได้ยิน คงเข้าใจว่านางต่างหากที่เป็นนาย
“เจ้าไปได้ยินมาจากใครล่ะ แล้วทำไมไม่ให้คนที่เห็นภาพนั้นปลดลงมาเลย จากนั้นก็เอาไปให้นายท่านของเจ้าแค่นี้ก็สิ้นเรื่องแล้ว ไยต้องมารอให้ข้าลงมือ” ซืออินย้อนถาม
“หากทำได้ นายท่านจะส่งเจ้าเข้ามางั้นหรือ”
“รู้แม้กระทั่งเวลาไปมาของคนในจวน ทว่าเหตุใดคนผู้นั้นถึงได้ไร้น้ำยาขโมยภาพกันเล่า” นางเอ่ยปรามาสจนอีกฝ่ายหัวเสีย
“อย่ามาว่าพี่จื่อเทา เขาเก่งมากกว่าที่เจ้าคิดนัก” เจียอีแผดเสียงใส่ผู้เป็นนายอย่างลืมตัว ก่อนจะเดินหนีออกไปเพื่อสงบสติอารมณ์ของตนเอง เพราะสาวใช้อีกสองนางกำลังเดินมาแล้ว
ซืออินมองตามก่อนจะเผยยิ้ม “หึหึ เจ้าหลุดชื่อสายอีกคนออกมาเองนะเจียอี” ซืออินเอ่ยหยันสาวใช้ที่มักทำตัวเหมือนฉลาดเต็มที ทว่าเมื่อถูกนางยั่วหน่อยกลับเผยไต๋ออกมาเสียนี่ เจียอีดูเหมือนจะฉลาด ทว่านางกลับไม่มีความเฉลียว ฉุกคิดถึงสิ่งที่น่าจะเป็นไป คราแรกซืออินก็นึกหวั่นอยู่ไม่น้อย แต่พอเห็นเช่นนี้นางก็รู้สึกโล่งขึ้นมาแล้ว คาดว่าการรับมือกับเจียอีมันคงไม่ยากนัก
“ว่าแต่ทำไม…อีตาจื่อเทาอะไรนั่นถึงไม่ขโมยภาพเองล่ะ ฟังจากที่เจียอีพูด คนคนนี้น่าจะอยู่ที่นี่มานานแล้วด้วย เขาน่าจะเข้านอกออกในง่ายกว่าเราที่พึ่งแต่งเข้ามาเสียอีก แล้วทำไมไม่ขโมยภาพเอง” ซืออินกล่าวพึมพำอย่างฉงน
“เฮ้อ! ยิ่งคิดก็ยิ่งงง ฉันเป็นหมอนะไม่ใช่นักสืบ ทำไมต้องมาทำเรื่องบ้าอะไรแบบนี้ด้วยเนี่ยะ” เอ่ยแล้วก็พ่นหายใจออกมา
สาวใช้ทั้งสองนางที่กำลังเดินเข้ามาก็ได้แต่ขมวดคิ้วมึนงงเพราะผู้เป็นนายเอ่ยคนเดียวอีกแล้ว
นับวันฮูหยินน้อยชักทำตัวแปลกประหลาดขึ้นไปทุกที
ดีหน่อยที่นางไม่อาละวาดและสั่งลงโทษเหมือนแต่ก่อน ดูใจเย็นและสุขุมขึ้นมาก จนตอนนี้ทั้งคู่ไม่รู้สึกตื่นกลัวผู้เป็นนายแล้ว
“ฮูหยินจะให้บ่าวตั้งสำรับเลยไหมเจ้าค่ะ” เสี่ยวปิงเอ่ยถาม
ผู้ที่นั่งเหม่อคิดอะไรเพลินจึงรีบหันมาก่อนจะส่งยิ้มให้
“จัดการเลย” จากนั้นนางก็ตั้งท่าลุก ทว่าสายตานางกลับเหลือบไปเห็นเงาตะคุ่มข้างพุ่มไม้เสียก่อน “นั่นใครน่ะ ออกมานะ”
อึดใจต่อมา ร่างป้อมของซีเหยียนก็โผล่พ้นพุ่มไม้ พร้อมกับรอยยิ้มที่ยยังคงความตื่นกลัวซึ่งยังคงปะปนอยู่ในใจตามประสา
วันนี้มารดาเขา จะใจดีเล่นด้วยเหมือนวันนั้นไหมนะ
