บทที่ 6 เนื้อย่างกับค้างคาวโลหิต
ลู่สือม่านเก็บของที่ต้องการใส่ถุงหนังใบใหญ่แล้วก็แบกถุงหนังขึ้นหลังเดินลัดเลาะไปยังหน้าผา แม้ว่าลู่สือหลิงและซวีจื่ออิงจะพยายามห้ามปรามแต่นางก็หาได้สนใจ ด้วยรู้ดีว่าหากอยากจะอยู่ในหอจันทราได้อย่างสงบสุขนางจะต้องทำให้ศิษย์พี่ทั้งสี่ยอมรับในความสามารถของนางให้ได้
“หากข้ามีพลังปราณพวกศิษย์พี่ก็คงจะไม่ต่อต้านข้าถึงขั้นนี้” ลู่สือม่านเอ่ยพึมพำออกมาพลางลัดเลาะไปตามแนวชายกำแพงหินของสำนักถงซานเพื่อหาทางออก สำนักถงซานมีทางออกแค่เพียงสองทาง คือประตูหน้าและประตูเล็กทางด้านหลัง แต่ในบันทึกของมารดาของนางเขียนเอาไว้ว่ายังมีรูสุนัขรูเล็กๆ อยู่ทางทิศตะวันตก ขอแค่นางหาเจอก็จะสามารถออกไปหาหญ้าปีกค้างคาวได้แล้ว
“หากท่านแม่วาดแผนที่เอาไว้ก็คงจะดี” นางบ่นพึมพำอีกครั้งแล้วสายตาจ้องนางก็พบต้นจื่อเถิงขนาดใหญ่ เถาของต้นจื่อเถิงพาดปกคลุมกำแพงจนทำให้กำแพงหินบางแห่งมีความเสียหาย ลู่สือม่านยิ้มออกมาในทันทีเพราะในบันทึกของมารดาของนางเขียนเอาไว้ว่ารูสุนัขถูกเถาของต้นจื่อเถิงปกคลุม หากไม่สังเกตให้ดีก็จะไม่รู้ว่ามีรูสุนัขอยู่ภายใต้การปกคลุมขอเถาจื่อเถิง
ลู่สือม่านใช้กิ่งไม้ค่อยๆ เคาะบริเวณกำแพงหินเพื่อฟังเสียงความหนาแน่นของกำแพงหิน แล้วนางก็ยิ้มออกมาเมื่อเห็นว่ามีอยู่บางจุดที่เถาจื่อเถิงปกคลุมแน่นหนากว่าปกติ นางใช้มีดพกอันเล็กๆ ค่อยๆ ตัดเถาจื่อเถิงออกแล้วสำรวจกำแพงหินอย่างละเอียดจนพบรูสุนัขที่มารดาของนางเขียนเอาไว้ในที่สุด
“หุ หุ” ลู่สือม่านหัวเราะออกมาเบาๆ อย่างพึงพอใจแล้วจึงได้แหวกเถาจื่อเถิงออกมาสำรวจดูรูสุนัขอย่างละเอียด พอเห็นว่านางสามารถลอดออกไปได้ อีกทั้งรูสุนัขนี้ก็ดูเหมือนว่าจะปลอดภัยและพอดีต่อการหมอบคลาน นางจึงดันถุงหนังที่แบกมาออกจากรูเพื่อเปิดทางให้ตนเองก่อนแล้วนางจึงได้มุดตามถุงหนังออกไป
เมื่อออกจากกำแพงหินได้แล้วนางก็ดึงเศษเถาจื่อเถิงมาปกคลุมรูสุนัขอีกครั้ง แม้จะรู้ดีว่าไม่มีผู้ใดมาสำรวจบริเวณนี้แน่ แต่นางก็ยังไม่กล้าวางใจด้วยกังวลว่าหากมีคนพบเข้ารูสุนัขนี้จะถูกปิดไป หากรูสุนัขนี้ถูกปิดแล้ววันหน้านางคงจะหาหนทางหนีออกจากสำนักไม่ได้อีก
ลู่สือม่านเดินลัดเลาะไปทางทิศที่นางคาดว่าจะเป็นหน้าผา มารดาของนางเขียนบันทึกเอาไว้ว่า หน้าผาที่มีหญ้าปีกค้างคาวจะอยู่ใกล้กับบริเวณทิศตะวันตกและทิศใต้ของกำแพงสำนัก เบื้องล่างของหน้าผาจะเป็นแนวรอยต่อของป่าต้องห้าม ป่าต้องห้ามเป็นเขตดินแดนที่อันตรายมากสำหรับผู้ที่ไม่มีพลังปราณคุ้มกาย นอกจากจะมีหมอกพิษคอยป้องกันแล้วยังมีสัตว์อสูรจำนวนมากอาศัยอยู่ หากไม่ระมัดระวังเดินหลงเข้าไป มีแต่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งที่นั่นเพียงเท่านั้น
“น่าจะเป็นบริเวณนี้” ลู่สือม่านเอ่ยพลางหลับตาลงเพื่อสูดดมหากลิ่นหอมอ่อนๆ ของหญ้าค้างคาว เป็นอย่างที่ศิษย์พี่ของนางเอ่ยออกมา นางเป็นคนที่มีความจำเป็นเลิศเพียงแต่ไม่ใช่แค่มองผ่านตาก็จดจำได้ แต่นางยังสามารถจดจำกลิ่นและจำแนกชนิดของสมุนไพรจากกลิ่นที่เคยได้รับอีกด้วย นางลืมตาขึ้นมาอย่างยินดีเมื่อได้กลิ่นหอมของหญ้าค้างคาวบริเวณชะง่อนผาที่อยู่ด้านล่างของบริเวณที่นางอยู่ ยามนี้นางอยู่บนหน้าผาเมื่อก้มลงไปมองก็เห็นแค่เพียงผืนป่าที่อยู่ด้านล่าง หากเป็นคนทั่วไปคงจะยอมเสี่ยงชีวิตปีนลงไปเพื่อเก็บหญ้าปีกค้างคาว แต่ลู่สือม่านกลับไม่คิดจะเสี่ยงชีวิตเช่นนั้น
“เนื้อย่างหอมๆ จะดึงดูดค้างคาวโลหิตได้อย่างที่ท่านแม่เขียนเอาไว้หรือไม่คงจะได้เวลาพิสูจน์ความจริงแล้ว” ลู่สือม่านเอ่ยพลางหาที่เหมาะๆ ลงมือก่อกองไฟ ข้อดีของการมีพี่ชายและน้องสาวฝากตัวเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักก็คือนางสามารถใช้ชื่อของพวกเขาไปขอเนื้อชั้นดี สุราเลิศรสและแผ่นแป้งย่างมาได้อีกหลายแผ่น
‘ต่อให้ไม่เป็นไปตามที่ท่านแม่เขียนบันทึกเอาไว้ แต่อย่างน้อยบันทึกนี้ก็ช่วยให้ข้าสามารถหลบมาย่างเนื้อกินพร้อมกับชมทิวทัศน์อันงดงามที่นี่ได้’ ลู่สือม่านคิดอยู่ในใจพลางลงมือหมักเนื้อตามความชอบของตนเอง นางหยดสุราลงไปอีกเล็กน้อยเพื่อเพิ่มกลิ่นหอม พอหมักเนื้อจนได้ที่แล้วนางก็นำไปเสียบไม้แล้วย่างบนกองไฟในทันที
กลิ่นหอมของเนื้อทำให้ลู่สือม่านกลืนน้ำลายพลางคิดชมตนเองอยู่ในใจอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ชิมนางก็รู้แล้วว่าเนื้อชิ้นนี้จะต้องอร่อยมาก ยามที่นางโรยเกลือลงไปกลิ่นหอมของเนื้อย่างก็ยิ่งหอมหวนมากยิ่งขึ้น
“แคว่ก แคว่ก” เสียงร้องพร้อมด้วยเสียงกระพือปีกทำให้ลู่สือม่านเงยหน้าขึ้นไปมองบนท้องฟ้า ปีกของนกสีแดงตัวใหญ่ตัวนั้นทำให้ลู่สือม่านรู้ในทันทีว่ามันจะต้องเป็นค้างคาวโลหิตอย่างแน่นอน ดวงตาอันแดงก่ำที่จ้องมองชิ้นเนื้อไม่วางตาทำให้ลู่สือม่านยื่นไม้ที่มีชิ้นเนื้ออยู่ตรงปลายไปให้ค้างคาวโลหิตในทันที มันโผบินลงมาโฉบเนื้อย่างของนางไปแล้วก็บินหายลงไปในหุบเหว ลู่สือม่านจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยจิตใจอันสับสนแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงคลางแคลงใจ
“แล้วหญ้าปีกค้างคาวของข้าเล่า” ลู่สือม่านเอ่ยถามออกมา แม้จะรู้ว่าเจ้าค้างคาวตัวใหญ่ตัวนั้นอาจจะไม่ได้ยินหรือต่อให้ได้ยินแล้วก็อาจจะไม่เข้าใจ แต่นางก็อดเอ่ยถามออกมาไม่ได้
“...” ไม่เสียงตอบจากเบื้องล่างมีแค่เพียงเสียงของสายลงอันหวีดหวิวเพียงเท่านั้น ลู่สือม่านพลันนึกเสียดายเนื้อย่างชิ้นนั้นในทันที ในใจของนางก็ได้แต่ร่ำร้องออกมาว่า
“หากรู้อย่างนี้ข้ารีบกินก่อนที่จะมอบให้มันสักคำก็ยังดี” ไม่ใช่แค่เพียงคิดอยู่ในใจแต่นางยังเอ่ยออกมาโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย แต่แล้วดวงตาของนางก็เบิกกว้างเมื่อเห็นว่าค้างคาวโลหิตตัวนั้นบินขึ้นมาจากหน้าผา แถมมันยังนำหญ้าปีกค้างคาวมาวางลงตรงหน้าของนางอีกด้วย
“แคว่ก แคว่ก” เสียงร้องของค้างคาวพร้อมกับสายตาที่เต็มไปด้วยความรอคอยทำให้ลู่สือม่านนิ่งงันไปครู่หนึ่งแล้วสุดท้ายก็ร้องอ้อ! ออกมาในทันที
“ข้าจะย่างให้เจ้าอีก เจ้ารอข้าสักครู่นะ” ลู่สือม่านเอ่ยพลางเดินตรงไปที่กองไฟดึงเนื้อในถุงหนังออกมาอีกหลายชิ้น หมักเนื้อตามกรรมวิธีเดิมอีกครั้งแล้วลงมือย่างเนื้ออย่างตั้งอกตั้งใจ ค้างคาวโลหิตตัวนั้นแม้ว่าจะไม่ชอบกองไฟแต่ก็ยังขยับเข้ามาใกล้นางมากยิ่งขึ้น
“เจ้ารอข้าสักครู่นะ หากเนื้อสุกแล้วข้าจะมอบเนื้อให้เจ้า” ลู่สือม่านเอ่ยพลางยิ้มออกมา เนื้ออันหอมกรุ่น รอยยิ้มและคำพูดอันอ่อนโยนของนางทำให้ค้างคาวโลหิตละทิ้งความระแวดระวังหุบปีกลงแล้วกระโดดเข้ามาใกล้กองไฟและลู่สือม่านมากยิ่งขึ้น
“เนื้อชิ้นนี้ของเจ้า ส่วนเนื้อชิ้นนี้ของข้า” ลู่สือม่านเอ่ยพลางมอบเนื้อย่างชิ้นหนึ่งให้ค้างคาวโลหิต ส่วนอีกชิ้นนางนำมากัดกินกับแป้งย่างอย่างเอร็ดอร่อย
“เจ้าจะเอาแป้งย่างด้วยหรือไม่ แป้งย่างกับเนื้อย่างยามกินคู่กันมันอร่อยมากเลยนะ”
“แคว่ก” ค้างคาวโลหิตส่งเสียงร้องออกมาดวงตาที่จ้องมองชิ้นเนื้อที่กำลังถูกย่างอยู่เหนือกองไฟด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรอคอยทำให้ลู่สือม่านหัวเราะออกมา
“เจ้ากินเร็วจริงๆ เอ้าสองชิ้นที่เหลือนี้ข้ามอบให้เจ้าหมดเลย ระวังด้วยเล่ามันร้อนมาก” ลู่สือม่านเอ่ยพลางยื่นชิ้นเนื้อที่เสียบอยู่ตรงปลายไม้ให้ค้างคาวโลหิตทีเดียวสองชิ้น แล้วนางจึงได้ลงมือกินเนื้อย่างในมือต่อ
“หมดแล้ว เอาไว้วันหน้าข้าจะนำเนื้อมาย่างให้เจ้ากินอีกก็แล้วกันนะ” ลู่สือม่านเอ่ยพลางยิ้มออกมา นางพึ่งจะกินเนื้อย่างในส่วนของตนเองหมด ส่วนค้างคาวโลหิตกินเนื้อย่างที่นางมอบให้หมดไปตั้งแต่ตอนที่นางมอบให้แล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยความรอคอยของมันทำให้ลู่สือม่านได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความอ่อนใจ
“แคว่ก แคว่ก” มันร้องออกมาแล้วบินลงไปข้างล่างหน้าผาอีกครั้ง ใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็บินขึ้นมาแล้วนำหญ้าปีกค้างคาวมามอบให้นางทั้งต้น
“ขอบใจเจ้ามาก” ลู่สือม่านหัวเราะออกมาพลางเอ่ยขอบคุณมันด้วยความพึงพอใจ ในใจก็ได้แต่คิดว่าเห็นทีว่านางคงจะต้องหาวิธีปลูกหญ้าปีกค้างคาวเสียแล้ว ถึงอย่างไรการใช้หญ้าปีกค้างคาวที่สดใหม่มาหลอมยาก็น่าจะมีสรรพคุณสูงกว่าการใช้หญ้าปีกค้างคาวตากแห้ง ผู้ที่ชอบหลอมยาเช่นนางย่อมอยากจะใช้วัตถุดิบที่มีสรรพคุณมากที่สุดมาใช้หลอมยา
