บท
ตั้งค่า

บทที่ 7 กิเลนเพลิง

กลิ่นหอมของเนื้อย่างที่ล่องลอยเข้ามาปะทะจมูกทำให้ไป๋เฟิงตัดสินใจตามกลิ่นหอมไป เขารู้ดีว่าบริเวณชายป่าของป่าต้องห้ามไม่มีผู้ใดกล้าเหยียบย่างเข้ามาแน่ เพราะมีสำนักถงซานขวางกั้นเอาไว้จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่บุคคลภายนอกจะเข้ามาจนถึงที่นี่ ยิ่งเป็นศิษย์ของสำนักถงซานยิ่งแล้วใหญ่ หากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าสำนัก ประตูหลังของสำนักไม่มีทางเปิดให้ศิษย์ในสำนักออกมาแน่ แต่สิ่งที่ทำให้ไป๋เฟิงคาดไม่ถึงก็คือ คนที่กำลังย่างเนื้ออยู่จะเป็นเด็กสาวที่สวมใส่ชุดลูกศิษย์ขั้นฝึกตนของสำนักถงซาน อีกทั้งยังเป็นเด็กสาวที่เขาเคยเห็นตอนที่นางกำลังมีเรื่องกับคนสกุลซวีเมื่อหลายวันก่อนอีกด้วย

‘ไม่เลว! ไม่ใช่แค่เพียงหลอมยาได้แต่ยังสามารถหลบหนีออกจากสำนักมานั่งย่างเนื้อที่นี่ได้อีกด้วย’ ไป๋เฟิงคิดอยู่ในใจพลางยืนจ้องมองนางอยู่บนโขดหินที่อยู่ไม่ไกลจากบริเวณหน้าผาที่เด็กสาวคนนั้นนั่งย่างเนื้ออยู่

เขาจงใจปิดบังกลิ่นอายของตนเองเอาไว้ด้วยกังวลว่าปี้จื่อสัตว์อสูรที่เขาเลี้ยงเอาไว้ในป่าต้องห้ามแห่งนี้จะตามหาเขาจนเจอ แล้วการมาของปี้จื่ออาจจะทำให้เด็กสาวคนที่กำลังย่างเนื้ออยู่ตื่นตกใจเพราะมัน แต่แล้วค้างคาวโลหิตที่สุดแสนจะดุร้ายก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของเด็กสาว ไป๋เฟิงตั้งใจว่าจะเข้าไปช่วยเหลือนาง แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวไม่เพียงไม่ตื่นตกใจแถมนางยังมีความกล้าเสียยิ่งกว่าเขา นางยื่นเนื้อย่างในมือของตนเองให้ค้างคาวโลหิตอย่างไม่เกรงกลัว ไป๋เฟิงตั้งใจว่าจะรีบเข้าไปห้ามปรามนางและช่วยนางให้พ้นจากความดุร้ายของค้างคาวโลหิต แต่สิ่งที่ทำให้เขาคาดไม่ถึงก็คือค้างคาวตัวนั้นจะรับเนื้อย่างจากนางแล้วบินหายลับไปด้วยความยินดี

“…” ไป๋เฟิงจ้องมองท่าทีของเด็กสาวและเสียงบ่นพึมพำว่าเสียดายเนื้อย่างของนางด้วยความประหลาดใจ ยิ่งนางเอ่ยออกมาว่าน่าจะกัดเนื้อชิ้นนั้นก่อนสักคำ เขาก็ยิ่งสรรหาคำพูดที่ตั้งใจว่าจะเข้าไปต่อว่านางไม่ออก ยังไม่ทันที่เขาจะได้เดินเข้าไปตำหนินาง ค้างคาวโลหิตตัวนั้นก็บินกลับมาพร้อมด้วยหญ้าค้างคาวโลหิตจำนวนหนึ่ง…

หลังจากนั้นเด็กสาวคนนั้นก็เดินกลับไปนั่งย่างเนื้อต่อแล้วนำเนื้อย่างมาแบ่งปันกับค้างคาวโลหิตอย่างเป็นกันเอง นางกัดกินเนื้อย่างไปพลางชักชวนให้ค้างคาวโลหิตกินแป้งย่างกับนางไปพลาง ทั้งนางและค้างคาวโลหิตดูกลมเกลียวกันเป็นอย่างยิ่ง ไป๋เฟิงที่เคยถูกค้างคาวโลหิตโจมตีจนได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงกับไร้ถ้อยคำจะเอื้อนเอ่ย เขายืนจ้องมองความกลมเกลียวตรงหน้าด้วยความเลื่อนลอย แล้วสุดท้ายเมื่อได้เห็นว่าเจ้าค้างคาวโลหิตจอมตะกละตัวนั้นบินลงไปนำหญ้าปีกค้างคาวมาให้นางทั้งต้น เขาก็พลันสบถออกมาเสียงเบาในทันที

“เจ้าจอมตะกละ หากรู้ว่าเจ้าซื้อใจได้ง่ายเช่นนี้ เมื่อหลายปีก่อนข้าก็คงจะไม่ต้องบุกไปเผาทลายรังของพวกเจ้าจนตัวข้าได้รับบาดเจ็บสาหัสแน่” เมื่อไป๋เฟิงเอ่ยจบค้างคาวโลหิตตัวนั้นก็เหมือนจะสัมผัสถึงการมีตัวตนของเขาได้ มันจึงพุ่งเป้าโจมตีมาที่เขาในทันที ไป๋เฟิงรีบกระโดดหลบพลางกำหนดจิตแปรเปลี่ยนพลังปราณเป็นพลังเพลิงโจมตีค้างคาวโลหิตตัวนั้นในทันทีเช่นกัน

“พรึบ!” พอค้างคาวโลหิตถูกพลังเพลิงโจมตีมันก็ล่าถอยไป ไป๋เฟิงตั้งใจจะโจมตีซ้ำแต่เด็กสาวผู้นั้นกลับวิ่งเข้ามาขวางเอาไว้

“ท่านปล่อยมันไปเถิด มันไม่ได้เป็นพิษเป็นภัยต่อผู้ใด” ในขณะที่พูดเด็กสาวผู้นั้นก็โบกมือไล่ให้ค้างคาวโลหิตหนีไป ดูเหมือนว่าเจ้าสัตว์อสูรตัวนี้จะเข้าใจสัญญาณมือของนางมันส่งเสียงข่มขู่เขาครั้งหนึ่งแล้วก็รีบบินจากไปในทันที

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกมันเคยโจมตีศิษย์ในสำนักของพวกเรา การโจมตีในครั้งนั้นทำให้ศิษย์ในสำนักคนหนึ่งต้องจบชีวิตลงก่อนวัยอันควร” ไป๋เฟิงส่งเสียงถามออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่นางกลับเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงจริงจัง

“พวกมันไม่เคยออกห่างจากบริเวณที่พวกมันเกิด หญ้าปีกค้างคาวคืออาหารของพวกมันหากไม่มีผู้ใดเข้าไปแย่งชิงอาหารของพวกมัน พวกมันก็จะไม่เปิดฉากโจมตีก่อน” คำพูดของลู่สือม่านทำให้ไป๋เฟิงหรี่ตาลงแล้วเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นคุณหนูใหญ่สกุลลู่กระมัง ลู่สืออินไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าที่นี่เป็นเขตหวงห้ามและอันตรายเป็นอย่างยิ่ง เจ้าที่เป็นแค่เพียงลูกศิษย์ขั้นฝึกตนของสำนักไม่ควรจะมาเยือนสถานที่แห่งนี้ตามลำพัง” เมื่อไป๋เฟิงเอ่ยเช่นนี้ลู่สือม่านก็พยักหน้าแล้วจึงได้เอ่ยออกมาตามตรง

“ในเมื่อท่านรู้จักพี่ใหญ่ของข้าและคาดเดาฐานะของข้าได้ ดังนั้นต่อไปพวกเราก็ต่างคนต่างอยู่เถิด จะอันตรายหรือไม่ข้ารู้ดี ดูจากชุดที่ท่านสวมใส่และพลังปราณที่ใช้เมื่อครู่นี้ ข้าเดาว่าท่านคงจะเป็นศิษย์พี่ที่อยู่ในระดับขั้นที่ไม่ธรรมดาในสำนักถงซานแห่งนี้ ด้วยระดับขั้นพลังปราณอันสูงส่งของท่านขออย่าได้ถือสาข้าที่พึ่งเข้ามาในสำนักได้ไม่กี่วันเลยเจ้าค่ะ” ลู่สือม่านเอ่ยออกมาพลางคารวะด้วยความนอบน้อม เดิมทีนางตั้งใจจะจากไปโดยไม่สนใจคนตรงหน้าแต่ในเมื่อเขารู้จักพี่ชายของนางแถมยังคาดเดาฐานะของนางได้ นางก็จำต้องอ่อนน้อมเข้าไว้เพื่อไม่ให้เขาติดตามหาเรื่องนางได้ในอนาคต

“ในเมื่อเจ้ารู้ดีว่าที่นี่อันตราย แล้วเหตุใดจึงได้มาที่นี่ อีกทั้งเจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร ด้วยลำดับขั้นพลังปราณของเจ้าข้าเชื่อว่าจะต้องไม่มีผู้ใดยินยอมให้เจ้าออกมานอกกำแพงของสำนักตามลำพังเป็นแน่” คำถามของไป๋เฟิงทำให้ลู่สือม่านหรี่ตาลงเช่นเดียวกัน แต่เพราะตั้งใจเอาไว้แล้วว่าจะไม่สร้างศัตรูเพิ่มขึ้น แค่ยามนี้นางมีเรื่องขัดแย้งกับคนสกุลซวีก็นับว่าหนักหนาสำหรับนางแล้ว หากต้องมีเรื่องกับศิษย์พี่ที่มีพลังปราณสูงส่งผู้นี้อีก วันหน้านางคงจะอยู่ในสำนักถงซานแห่งนี้ได้อย่างยากลำบากมากกว่านี้เป็นแน่

“ข้าเป็นลูกศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ฉินแห่งหอจันทรา ศิษย์พี่ทั้งสี่ของข้ายื่นข้อเสนอมาว่าหากข้าสามารถนำหญ้าปีกค้างคาวกลับไปได้ พวกเขาก็จะยินดีที่จะทำตามคำขอร้องของข้าเรื่องหนึ่ง ก่อนหน้านี้ข้าใช้ชีวิตในหอจันทราอย่างยากลำบาก หากสามารถขอร้องให้พวกเขาช่วยดูแลข้าให้ข้ามีชีวิตดีๆ ในหอจันทราได้ ความเป็นอยู่ในหอจันทราของข้าก็คงจะดีขึ้น ข้าจึงจำต้องเสี่ยงอันตรายมาหาหญ้าปีกค้างคาวที่นี่” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ไป๋เฟิงก็จ้องมองนางด้วยความสนใจ เขาสาวเท้าก้าวเข้ามาหานางแล้วยื่นมือมาตรวจจับชีพจรของนางพร้อมกับตรวจสอบพลังปราณของนางด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อพบว่านางไม่มีพลังปราณแต่กลับได้เป็นศิษย์สายตรงของฉินชวนเขาจึงได้เอ่ยออกมาด้วยรอยยิ้ม

“เจ้านี่ไม่ธรรมดาเลยนะ ทั้งที่ไม่มีพลังปราณแต่กลับสามารถเข้ามาอยู่ในสำนักถงซานแห่งนี้ แถมยังได้เป็นลูกศิษย์สายตรงของท่านอาจารย์ฉินแห่งหอจันทราอีกด้วย ยามนี้ยังสามารถซื้อใจค้างคาวโลหิตได้อย่างง่ายดายอีก คุณหนูใหญ่ลู่แท้จริงแล้วเจ้าจงใจซุกซ่อนความสามารถของตนเองเอาไว้ใช่หรือไม่” เมื่อไป๋เฟิงเอ่ยถามเช่นนี้ลู่สือม่านก็ส่ายหน้าแล้วเอ่ยออกมาเสียงเบา

“เป็นแค่เรื่องบังเอิญเพียงเท่านั้นเจ้าค่ะ” เมื่อนางเอ่ยจบก็มีเสียงขู่กรรโชกจากสัตว์อสูรอันทรงพลัง ลู่สือม่านหันไปมองทางทิศที่มาของเสียงแล้วก็พลันเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัวในทันที

“กิเลนเพลิง” นางเอ่ยออกมาพลางขยับกายใช้ร่างของไป๋เฟิงเป็นโล่กำบังทันที

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel