บทที่ 5 หญ้าปีกค้างคาว
เป็นอย่างที่ลู่สือม่านคาดเดาเอาไว้ การฝากตัวเป็นศิษย์สายตรงของปรมาจารย์ด้านการหลอมยาอย่างฉินชวนคือเรื่องดีสำหรับนางเพราะนางชอบปรุงยา ที่ผ่านมานางเรียนรู้วิธีปรุงยาจากตำราและบันทึกที่มารดาของนางทิ้งเอาไว้ให้เพียงเท่านั้น สำหรับคนที่มีความรู้ครึ่งๆ กลางๆ เช่นนาง การมีอาจารย์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ดี
เพียงแต่ศิษย์พี่ในหอจันทราทั้งสี่คนของนางหาได้ทำให้นางอยู่ในหอจันทราได้ง่ายนัก แม้ว่าภายนอกศิษย์พี่ทั้งสี่มักจะยิ้มแย้มแจ่มใสและดูเหมือนว่าจะมีน้ำใจต่อผู้อื่น แต่แท้จริงแล้วทุกคนที่กล้าไหว้วานให้ศิษย์ทั้งสี่ของหอจันทรารักษาและปรุงยาให้จะต้องมอบผลตอบแทนที่คุ้มค่าคืนกลับมาให้พวกเขาด้วย มิเช่นนั้นพวกเขาจะทำทุกวิถีทางที่จะทำให้คนที่กล้าไหว้วานเหล่านั้นรู้สึกเสียใจที่กล้าไหว้วานให้พวกเขาปรุงยาและทำการรักษาให้
ศิษย์น้องที่พึ่งจะฝากตัวเป็นศิษย์สายตรงของหอจันทราอย่างลู่สือม่านและซวีจื่ออิงจึงถูกจับตามองเป็นพิเศษว่าพวกนางจะทนอยู่ที่หอจันทราได้หรือไม่ในเมื่อพวกนางมีศิษย์พี่เช่นนี้
“ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็จะต้องอยู่ที่นี่ให้ได้ ถ้าหากพวกเราไม่ใช่ศิษย์ของหอจันทรา พี่สาวทั้งสองของข้าจะต้องมารังแกพวกเราแน่” ซวีจื่ออิงเอ่ยออกมาพลางใช้พลังเซียนที่มีอยู่น้อยนิดตัดแต่งกิ่งสมุนไพร ส่วนลู่สือม่านที่ไร้พลังเซียนก็ใช้มืออันบอบบางของตนเองถอนหญ้าตามแปลงสมุนไพรออกอย่างตั้งอกตั้งใจ
“ม่านม่าน พวกเราต้องอาศัยบารมีของหอจันทราข้าเข้าใจ แต่ที่ข้าไม่เข้าใจก็คือศิษย์สายตรงของท่านเจ้าสำนักเช่นนางจะมาลำบากที่นี่กับพวกเราทำไม” ซวีจื่ออิงขยับมานั่งข้างกายของลู่สือม่านแล้วพยักพเยิดไปทางลู่สือหลิงที่ยามนี้กำลังควบคุมพลังปราณบังคับน้ำให้โปรยปรายลงมาในแปลงสมุนไพรอย่างตั้งอกตั้งใจ พลังปราณในการควบคุมน้ำของลู่สือหลิงทำได้ดีมากจนมุมปากของนางยกยิ้มน้อยๆ ด้วยความพึงพอใจ
“เจ้าอย่าสนใจนางเลย นางมักจะเป็นเช่นนี้ทุกครั้งที่มีความก้าวหน้าก็มักจะมาโอ้อวดข้าเช่นนี้เสมอ” ลู่สือม่านเอ่ยพลางก้มลงมาจ้องมองฝ่ามือของตนเองที่ยามนี้แดงก่ำจนดูไม่ได้แล้วนางก็โอดครวญออกมา
“และที่สำคัญนางมีความชื่นชอบที่จะได้มองดูข้าในยามที่ข้ากำลังตกต่ำ” ลู่สือม่านเอ่ยพลางหันไปส่งยิ้มให้ลู่สือหลิง
“ข้าหาได้ชื่นชอบที่จะได้มองดูพี่หญิงตอนที่ท่านตกต่ำ แต่ข้าชื่นชอบยิ่งนักที่จะได้มองดูพี่หญิงในตอนที่ท่านไม่สามารถใช้ชีวิตตามความปรารถนาของตนเองได้” ลู่สือหลิงเอ่ยพลางหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วค่อยๆ ควบคุมน้ำให้รดต้นสมุนไพรอย่างตั้งอกตั้งใจ
ยามนี้นางได้ผ่านการคัดเลือกเข้าไปเป็นศิษย์สายตรงของเจ้าสำนักเช่นเดียวกับพี่ใหญ่ของนาง ในใจจึงเต็มไปด้วยความยินดี เรื่องรดต้นไม้เหล่านี้เดิมทีควรจะเป็นงานของลู่สือม่าน แต่นางรู้ดีว่าพี่สาวของนางไม่มีพลังปราณ หากจะต้องรดน้ำต้นสมุนไพรทั้งหมดนี้สตรีร่างกายอ่อนแออย่างลู่สือม่านคงไม่อาจจะทำให้แล้วเสร็จตามที่ศิษย์พี่ในหอจันทรากำหนดเอาไว้ นางจึงได้ลงมือช่วยรดน้ำให้
“พวกเจ้าพี่น้อง คนหนึ่งก็มากทิฐิ ส่วนอีกคนก็ปากแข็งแต่ใจอ่อน ทำให้ข้าที่อยู่กับพวกเจ้าทุกเช้าค่ำอดรู้สึกเบื่อหน่ายกับท่าทีเช่นนี้ของพวกเจ้าไม่ได้จริงๆ” ซวีจื่ออิงเอ่ยออกมาพลางส่ายหน้า แล้วก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นว่าศิษย์พี่ทั้งสี่ของตนเองกำลังเดินมาทางนี้
“ศิษย์น้องลู่ ข้าได้ยินมาว่าเจ้ามีความจำดีมากเป็นพิเศษ แค่เพียงผ่านตาเพียงครั้งเดียวก็สามารถจดจำได้แล้ว” ฉินเหยาเอ่ยพลางจ้องมองสตรีตรงหน้าด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชา
นางและสหายเข้ามาอยู่ในสำนักถงซานหลายปีกว่าจะได้รับการยอมรับจากฉินชวน แต่ศิษย์น้องที่เข้ามาใหม่สองคนนี้กลับใช้เวลาในสำนักแค่เพียงไม่กี่วันก็ได้เข้ามาเป็นลูกศิษย์สายตรงของฉินชวนแล้วทำให้พวกนางอดรู้สึกริษยาไม่ได้
“วันนี้พวกข้าก็เลยมีภารกิจมาให้ศิษย์น้องลู่ทำ ฮุ่ยจูเจ้านำหญ้าปีกค้างคาวไปให้นางดู” เมื่อฉินเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินฮุ่ยจูก็นำกล่องใส่หญ้าปีกค้างคาวมาเปิดให้ลู่สือม่านดู เพียงแต่นางเปิดให้ดูแค่เพียงแวบเดียวแล้วก็ปิดฝากล่องแล้วจ้องมองลู่สือม่านด้วยสายตาข่มขู่
“พวกข้าต้องการให้เจ้าไปหาหญ้าปีกค้างคาวมาให้ ในฐานะที่เจ้าเป็นศิษย์น้องคงไม่คิดจะปฏิเสธคำขอร้องของศิษย์พี่เช่นพวกข้ากระมัง” คำพูดของหลินฮุ่ยจูทำให้ลู่สือม่านยิ้มออกมาในทันที
“ข้าพึ่งจะเข้ามาพวกท่านก็มอบหมายงานใหญ่ให้ข้าเสียแล้ว เพียงแต่งานใหญ่ที่พวกท่านไหว้วานให้ข้าทำมีรางวัลตอบแทนหรือไม่” คำถามของลู่สือม่านทำให้ฉินเหยา หลินฮุ่ยจู เสิ่นหว่านอี้และมู่หนานกวงหันไปสบตาซึ่งกันและกัน แล้วสุดท้ายฉินเหยาจึงได้เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความท้าทาย
“พวกข้าไม่เคยทำเรื่องให้ใครโดยไม่หวังผลตอบแทน ในขณะเดียวกันพวกข้าก็ไม่คิดจะไหว้วานผู้ใดโดยไร้ซึ่งผลตอบแทนเช่นเดียวกัน หากเจ้าไปหาหญ้าค้างคาวมาให้พวกข้าได้พวกข้ายินดีที่จะยอมรับปากเจ้าเรื่องหนึ่ง” เมื่อฉินเหยาเอ่ยเช่นนี้หลินฮุ่ยจูก็เอ่ยต่อ
“เพียงแต่หากเจ้าทำเรื่องที่พวกข้ามอบหมายให้เจ้าทำไม่ได้ เจ้าเองก็ต้องทำตามความต้องการของข้าเรื่องหนึ่งเช่นเดียวกัน”
“ได้! หากข้าทำสำเร็จแล้วพวกท่านอย่าได้ลืมคำพูดของพวกท่านเล่า” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ซวีจื่ออิงก็ยื่นมือมาเหนี่ยวรั้งชายแขนเสื้อของลู่สือม่านเอาไว้ในทันที
“ม่านม่าน...” เสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของซวีจื่ออิงทำให้ลู่สือม่านยิ้มออกมา
“เจ้าวางใจเถิด หากข้าไม่มั่นใจข้าก็ไม่มีทางรับปากส่งเดชแน่” คำพูดของลู่สือม่านทำให้ฉินเหยาหันไปยิ้มกับสหายของตนเองในทันที
“แต่ข้าได้ยินมาว่า หญ้าปีกค้างคาวจะมีสัตว์อสูรระดับม่วงคอยคุ้มกันอยู่” เสียงกระซิบของซวีจื่ออิงทำให้ลู่สือม่านพยักหน้าพลางเอ่ยชมสหายของตนเองด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า
“ไม่เลวเลย แสดงว่าเจ้าอ่านตำราสมุนไพรที่ข้าเคยมอบให้” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ซวีจื่ออิงก็อยากจะดุด่าสหายของตนเองแต่เพราะอยู่ต่อหน้าของบรรดาศิษย์พี่ทั้งสี่นางจึงไม่กล้าเอ่ยอันใดออกมา
“เรื่องที่พวกข้าไหว้วานห้ามให้ผู้อื่นช่วย” มู่หนานกวงเอ่ยออกมาพลางจ้องมองลู่สือหลิงด้วยสายตาเย็นชา เด็กสาวผู้นี้เข้าออกหอจันทราโดยไม่สนใจถ้อยคำห้ามปรามของเขาทำให้เขารู้สึกไม่พอใจแต่ก็ไม่สามารถทำอันใดนางได้
“แน่นอนเจ้าค่ะ ศิษย์พี่ทั้งสี่ไม่ต้องกังวล ข้าจะต้องทำเรื่องที่พวกท่านไหว้วานมาได้สำเร็จด้วยตนเองอย่างแน่นอน” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ศิษย์พี่ทั้งสี่ของนางก็ยิ้มออกมาอย่างสาสมใจ ส่วนซวีจื่ออิงและลู่สือหลิงต่างก็จ้องมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง แต่ลู่สือม่านกลับไม่ได้มีความกังวลใจด้วยหญ้าปีกค้างคาวนี้อยู่ในบันทึกที่มารดาของนางทิ้งเอาไว้
มารดาของนางเคยเขียนบันทึกเอาไว้ว่า ตามปกติหญ้าปีกค้างคาวมักจะขึ้นอยู่ริมหน้าผาบริเวณใกล้ดินแดนของป่าต้องห้าม ค้างคาวโลหิตคือสัตว์อสูรที่เฝ้าอารักขาหญ้าชนิดนี้อยู่ แต่หากมีของกินที่มันถูกใจนำไปแลกเปลี่ยน ค้างคาวโลหิตก็มักจะตอบแทนด้วยหญ้าปีกค้างคาวชั้นดี ความลับนี้มารดาของนางไม่เคยเปิดเผยให้ผู้ใดรู้นอกจากบุตรสาวเช่นนางที่ชอบอ่านบันทึกของมารดาที่จากไปแล้วเพียงเท่านั้น
