บทที่ 4 หอจันทรา
คำตอบของลู่สือม่านทำให้ฉินชวนขยับกายลุกขึ้นแล้วเดินตรงมาตรวจสอบพลังปราณในกายของลู่สือม่านทันที เขาตรวจสอบพลังปราณของนางด้วยสีหน้าอึมครึม เมื่อคิดได้ว่าก่อนหน้านี้ลู่สืออินพึ่งจะแนะนำนางว่าเป็นน้องสาวของเขาฉินชวนก็สามารถคาดเดาได้ในทันทีว่าลู่สือม่านน่าจะเป็นน้องสาวที่เป็นบุตรสาวคนโตของเจ้าเมืองเทียนเหอ เมื่อคาดเดาฐานะของลู่สือม่านได้แล้วสุดท้ายเขาก็จ้องมองนางอีกครั้งแล้วเอ่ยถามออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าคือบุตรสาวคนโตของท่านเจ้าเมืองเทียนเหอหรือ” คำถามของฉินชวนทำให้ลู่สือม่านพยักหน้าพลางเอ่ยตอบออกมา
“ใช่แล้วเจ้าค่ะ” คำตอบของนางทำให้ฉินชวนขมวดคิ้วแล้วเอ่ยออกมาตามตรง
“เจ้าไม่มีพลังปราณแล้วนี่นา แล้วเจ้าหลอมยาลูกกลอนได้อย่างไร” คำถามของเขาทำให้ลู่สือม่านจ้องหน้าเขาแล้วเอ่ยถามเขาออกมาในทันที
“ไม่มีพลังปราณแล้ว แน่นอนว่าต้องเป็นเช่นนั้นเจ้าค่ะเพราะเดิมทีข้าก็ไม่มีพลังปราณอยู่แล้ว” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยออกมาเช่นนี้ ฉินชวนจึงได้กระแอมเบาๆ แล้วเอ่ยออกมาอีกครั้ง
“ข้าหมายถึง ในเมื่อเจ้าไม่มีพลังปราณเลยแล้วเจ้าหลอมยาได้อย่างไร”
“ข้าไม่ได้ใช้พลังปราณของตนเองในการหลอมยาหรอกเจ้าค่ะ แต่ข้าใช้เตาหลอมยาของท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าเดาว่าพลังปราณของท่านแม่น่าจะยังคงไหลวนอยู่ในเตาหลอมยาใบนั้น จึงทำให้ข้าสามารถหลอมยาที่ช่วยเพิ่มพลังปราณได้สำเร็จเจ้าค่ะ” คำตอบของลู่สือม่านทำให้ฉินชวนหรี่ตาลงแล้วเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นในทันที
“ถ้าหากว่าข้าจะขอดูเตาหลอมยาของเจ้า เจ้าจะยินดีหรือไม่” เมื่อฉินชวนเอ่ยถามเช่นนี้ลู่สือม่านก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ เตาหลอมยาของข้าอยู่ที่จวนเจ้าเมือง คงเป็นเรื่องยากที่นำติดตัวมาด้วย” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ฉินชวนก็รีบเอ่ยอาสาออกมาในทันที
“ข้าไปนำมาให้เจ้าก็ได้นะ รับรองว่าจะดูแลเตาหลอมยาให้เจ้าเป็นอย่างดี” เมื่อฉินชวนเอ่ยเช่นนี้ลู่สือม่านก็รีบส่ายหน้าในทันที
“ต้องขออภัยท่านอาจารย์ฉินด้วย ข้าเก็บเตาหลอมยาของข้าไว้ในที่ปลอดภัย นอกจากข้าแล้วไม่มีผู้ใดรู้ว่าเตาหลอมยานั้นอยู่ที่ไหน” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ฉินชวนก็จ้องมองนางอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ส่งเสียงจุ๊ปากแล้วเอ่ยออกมาในทันที
“แม่หนูน้อย เจ้าจะไม่ให้ข้าดูก็บอกมาตามตรงอย่าได้บ่ายเบี่ยงอ้อมไปอ้อมมาอีกเลย”
“ต้องขออภัยท่านอาจารย์ด้วยเจ้าค่ะ เตาหลอมยาใบนั้นเป็นของต่างหน้าที่ท่านแม่ของข้าทิ้งเอาไว้ให้ ไม่อาจจะให้ผู้อื่นเห็นได้จริงๆ เจ้าค่ะ” ลู่สือม่านตัดสินใจเอ่ยออกมาตามตรง บิดาของนางเคยสั่งเอาไว้ว่าเตาหลอมยาที่มารดาทิ้งเอาไว้ให้ห้ามให้ผู้อื่นเห็นเป็นอันขาด
“พอบอกให้พูดออกมาตามตรง เจ้าก็รีบเอ่ยปากปฏิเสธข้าเลยเชียวนะ เจ้าคงจะไม่รู้กระมังว่าข้าคือศิษย์พี่ของมารดาของเจ้า หากเจ้าไม่เชื่อคำพูดของข้าไปสอบถามบิดาของเจ้าก็ได้” เมื่อฉินชวนเอ่ยเช่นนี้ลู่สือม่านก็พยักหน้า
“ท่านแม่ของข้าเคยเป็นศิษย์ของสำนักถงซานแห่งนี้ ดังนั้นบรรดาศิษย์เก่าของสำนักถงซานที่มีอายุมากกว่านางล้วนเป็นศิษย์พี่ของนางกันทั้งนั้นแหละเจ้าค่ะ” ลู่สือม่านเอ่ยพลางพยักหน้าอย่างเห็นด้วยกับตนเอง ท่าทางของนางทำให้ลู่สืออินอดเอ่ยออกมาไม่ได้
“ท่านอาจารย์อย่าได้ถือสานางเลย นางกำพร้ามารดาตั้งแต่เกิดส่วนท่านพ่อก็ตามอกตามใจนาง ส่วนเรื่องเตาหลอมยานั้นหากเป็นท่านอาจารย์ท่านพ่อของข้าคงจะไม่ติดขัดที่จะให้ท่านดู”
เมื่อลู่สืออินเอ่ยเช่นนี้สีหน้าของฉินชวนเต็มไปด้วยความเสียดาย ด้วยรู้ดีว่าหากเขาไปขอให้เจ้าเมืองลู่เจานำเตาหลอมยาของฮูหยินที่เสียไปแล้วมาให้เขาดู เขาเชื่อว่าลู่เจาคงจะไม่มีทางยินยอมเป็นแน่
“ไม่ให้ดูก็ไม่เป็นไร แม่หนูฝากตัวเป็นศิษย์ผู้ใดในสำนักถงซานแห่งนี้หรือยัง บิดาของเจ้าได้กำชับมาหรือไม่ว่าให้เจ้ามาฝากตัวเป็นศิษย์ของข้า” คำถามของฉินชวนเต็มไปด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง ในใจก็คิดว่าลู่เจาที่อาศัยเส้นสายของเขาฝากลูกสาวที่ไร้ซึ่งพลังปราณเข้ามาในสำนักถงซานแห่งนี้ จะต้องกำชับบุตรสาวให้มาฝากตัวเป็นศิษย์สายตรงของเขาอย่างแน่นอน เมื่อมีความสัมพันธ์เป็นศิษย์กับอาจารย์แล้ว วันหน้าหากเขาจะขอดูเตาหลอมที่มีพลังปราณของลูกศิษย์ของเขา นางย่อมจะไม่มีทางปฏิเสธอย่างแน่นอน
“ท่านพ่อไม่ได้กำชับเรื่องฝากตัวเป็นศิษย์เจ้าค่ะ กำชับแค่ว่าในเมื่อมีโอกาสได้เข้ามาในสำนักถงซานแล้วให้ข้าใช้ชีวิตในสำนักอย่างเต็มที่ เพราะที่มีทิวทัศน์งดงาม อาหารอร่อย ผู้คนในนี้ก็มีความเหนือกว่าผู้คนภายนอกเกือบทุกด้าน ท่านพ่อยังบอกกับข้าอีกว่าให้ข้าเลียนแบบท่วงท่าของคนในสำนักเอาไว้ ยามกลับจวนไปนอกจากจะติดกลิ่นอายของคนเป็นเซียนแล้วจะได้มีท่วงท่าของคนที่ใกล้จะได้เป็นเซียนติดกลับไปด้วยเจ้าค่ะ” คำพูดของลู่สือม่านทำให้ฉินชวนอ้าปากค้างอย่างคาดไม่ถึง
ส่วนลู่สือหลิงเม้มปากแน่นด้วยตอนที่บิดากำชับพี่สาวของนาง นางก็ยืนอยู่ตรงนั้นด้วย สิ่งที่ทำให้นางรู้สึกน้อยอกน้อยใจบิดาก็เพราะทั้งๆ ที่นางได้รับคัดเลือกให้เข้าสำนักถงซานในขั้นสร้างปราณซึ่งน้อยคนนักจะได้ข้ามขั้นเช่นนางแต่บิดากลับไม่ได้สนใจในตัวนางเลย ในใจของเขาสนใจแค่เพียงว่าพี่สาวต่างมารดาของนางผู้นี้จะสามารถเสพสุขในสำนักถงซานแห่งนี้ได้อย่างตอนที่อยู่ในจวนได้หรือไม่เพียงเท่านั้น ท่าทีของเขาทำให้นางรู้สึกน้อยอกน้อยใจมาจนถึงขั้นนี้ ยามนี้เมื่อลู่สือม่านเอ่ยออกมาในใจของนางก็อดรู้สึกหม่นหมองไม่ได้
ลู่สืออินที่มองสีหน้าของลู่สือหลิงอยู่พลันยิ้มออกมาแล้วยื่นมือมาลูบศีรษะของนางแล้วเอ่ยปลอบใจออกมา "อย่าได้ถือสาท่าทีของท่านพ่อเลย ถึงอย่างไรเขาก็เป็นห่วงเจ้าเช่นเดียวกันไม่เช่นนั้นจะฝากฝังเจ้าให้ข้าช่วยดูแลหรือ" ลู่สืออินเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินกันแค่เพียงสองคนเพียงเท่านั้น บิดาของเขาเป็นคนหยาบกระด้างทุกการกระทำมักจะทำตามอำเภอใจจนลืมคิดถึงความต้องการของผู้อื่น เขาที่ขัดแย้งกับบิดามาโดยตลอดย่อมจะเข้าใจความคิดของลู่สือหลิง
“เหตุใดเขาจึงได้บอกกับเจ้าเช่นนี้” ฉินชวนเอ่ยถามลู่สือม่านในทันทีที่หาเสียงของตนเองเจอ ลู่สือม่านจึงแค่เพียงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยตามตรง
“ชีวิตนี้ของข้าเป้าหมายหลักคือ กิน ดื่มและเที่ยวเล่น หากไม่ใช่เพราะท่านพ่อกังวลว่าวันหน้าข้าจะแต่งไม่ออกเขาก็คงจะไม่ส่งข้ามาที่นี่ แต่แท้จริงแล้วข้าหาได้กังวลเรื่องการแต่งงานไม่ เพราะข้ารู้ดีว่าทั้งท่านพ่อและพี่ชายไม่มีทางทอดทิ้งข้าแน่” เมื่อลู่สือม่านเอ่ยเช่นนี้ฉินชวนก็หัวเราะเหอะๆ ออกมา แต่เมื่อคิดถึงศิษย์น้องของตนเองที่มีความคล้ายคลึงกับเด็กสาวตรงหน้าเขาก็เข้าใจในทันที
‘ที่แท้นางก็เหมือนเจ้า หมินหมิ่นบุตรสาวของเจ้ามีปณิธานเดียวกันกับเจ้าเลย น่าเสียดายที่เจ้าไม่อาจจะทำได้สำเร็จ ดังนั้นข้าจะช่วยเหลือบุตรสาวของเจ้าให้นางสามารถใช้ชีวิตตามความต้องการได้สำเร็จก็แล้วกัน’ ฉินชวนคิดอยู่ในใจแล้วจึงได้เอ่ยออกมา
“เช่นนั้นเจ้าก็ฝากตัวเป็นศิษย์สายตรงของข้าเถิด ข้าขอรับรองว่าที่หอจันทราแห่งนี้เจ้าจะสามารถกิน ดื่มและเที่ยวเล่นได้อย่างสบายใจ” เมื่อฉินชวนเอ่ยเช่นนี้ซวีจื่ออิงก็รีบเอ่ยออกมาในทันที
“ไม่ทราบว่าข้าเองก็อยากจะขอเป็นศิษย์สายตรงของท่าน ท่านอาจารย์ฉินจะยินดีรับข้าเป็นศิษย์หรือไม่”
“หากเจ้ามีใจใฝ่บำเพ็ญ หอจันทราของข้าก็ยินดีต้อนรับเสมอ” เมื่อฉินชวนเอ่ยเช่นนี้ทั้งลู่สือม่านและซวีจื่ออิงก็รีบคุกเข่าแล้วเอ่ยวาจาออกมาอย่างพร้อมเพรียงกันในทันที
“ศิษย์ขอคารวะอาจารย์เจ้าค่ะ” ความรวดเร็วของเด็กสาวทั้งสองทำให้ฉินชวนหัวเราะร่าออกมาในทันที
“ไม่เลวๆ ความรวดเร็วระดับนี้พวกเจ้าน่าจะเข้ากับศิษย์พี่ของพวกเจ้าได้อย่างรวดเร็วแน่ๆ” คำพูดของฉินชวนทำให้ทั้งลู่สือม่านและซวีจื่ออิงหันไปสบตากันด้วยความกังวลในทันที พวกนางลืมศิษย์พี่ผู้ชอบทำตัวแปลกประหลาดในหอจันทราไปเสียสนิทเลย
