บท
ตั้งค่า

บทที่ 3 ผู้ปรุงยา

เมื่อลู่สืออินอุ้มลู่สือหลิงตรงไปที่หอจันทรา ลู่สือม่านก็ไม่รอช้ารีบเดินติดตามไปด้วย ซวีจื่ออิงก็รีบตามไปด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยเกรงว่าพี่สาวต่างมารดาทั้งสองของตนเองจะไปตามคนมารุมทำร้ายนางอีก

“ม่านม่าน รอข้าด้วย” เสียงของซวีจื่ออิงทำให้คนที่ยืนมองเหตุการณ์บนชั้นสองของหอเมฆายิ้มออกมาในทันที

“ดูเหมือนว่าผู้บำเพ็ญที่พึ่งจะเข้าใหม่ในปีนี้จะน่าสนใจไม่ใช่น้อย แม้ว่าจะอยู่ในขั้นฝึกตนแต่กลับสามารถหลอมยาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณขั้นสองได้ ช่างน่าสนใจจริงๆ” ไป๋เฟิงเอ่ยออกมาพลางจ้องมองลู่สือม่านที่กำลังเดินติดตามพี่ชายและน้องสาวของนางไปยังทิศที่ตั้งของหอจันทรา

“เจ้าหมายถึงคุณหนูใหญ่จวนเจ้าเมืองผู้นั้นหรือ” ซวีจื่อหานเอ่ยถามออกมาพลางจ้องมองไปยังทิศที่น้องสาวต่างมารดาหายลับไป

“น้องสาวของเจ้าก็ไม่ธรรมดา พวกนางอยู่ในขั้นสร้างปราณก็จริง แต่กลับไม่ลังเลเลยที่จะรวบรวมพลังโจมตีผู้ที่อ่อนด้อยกว่า อีกทั้งหนึ่งในคนที่พวกนางรังแกยังเป็นน้องสาวในจวนของพวกนางอีกด้วย” เมื่อไป๋เฟิงเอ่ยเช่นนี้ซวีจื่อหานก็พลันยิ้มออกมาอย่างจืดเจื่อน แล้วจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความอับอาย

“ทำให้เจ้าได้เห็นเรื่องขบขันแล้ว ท่านแม่ตามใจพวกนางมากจนเกินไป ทำให้พวกนางหลงลำพองและคิดว่าตนเองสูงส่งกว่าผู้อื่น”

“เจ้าไม่ต้องรู้สึกอับอายเพราะพวกนางหรอก ถึงอย่างไรต่อให้เป็นสายเลือดเดียวกันก็หาได้เหมือนกันไม่ เพียงแต่ข้าขอแนะนำเจ้าว่าควรจะกำราบพวกนางเอาไว้บ้าง ด้วยนิสัยเช่นนี้ของพวกนางวันหน้าพวกนางจะต้องหาเรื่องเดือดร้อนมาให้เจ้าเป็นแน่” คำพูดของไป๋เฟิงทำให้ซวีจื่อหานพยักหน้า

“เรื่องนี้ข้าคิดเอาไว้แล้วว่าต้องกำราบพวกนางเอาไว้เสียบ้าง ถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นบุตรสาวของท่านพ่อ การที่เอานามของท่านพ่อมาอวดอ้างบารมีที่นี่มีแต่จะทำให้ชื่อเสียงของท่านพ่อต้องมัวหมอง” ซวีจื่อหานเอ่ยพลางจ้องสีหน้าของสหายแล้วจึงได้เอ่ยถามออกมาตามตรง

“ว่าแต่เจ้าเถิด ออกจากด่านกักตนก่อนกำหนดเช่นนี้ไม่กลัวว่าท่านอาจารย์จะตำหนิหรือ” คำถามของซวีจื่อหานทำให้ไป๋เฟิงพลันรู้สึกเหนื่อยหน่ายขึ้นมาในทันที

“แม้แต่อาจารย์ก็ยังยากที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นฝานซู แล้วข้าจะเป็นลูกศิษย์คิดล้างครูด้วยการแซงหน้าอาจารย์ได้อย่างไร” ไป๋เฟิงเอ่ยพลางจ้องมองท้องฟ้าด้วยอารมณ์ที่ไม่คงที่ เขาอยู่ในขั้นสุดท้ายของฮว่าเสินแล้ว เพียงแต่เขาบำเพ็ญมาตั้งหลายปีแต่กลับยังไม่รุดหน้า

แรกเริ่มเดิมทีเขาคือลูกศิษย์ที่มีความก้าวหน้ามากที่สุดของปรมาจารย์เวินเหยียนผู้เป็นเจ้าสำนักถงซานแห่งนี้ พลังปราณของเขาเข้าสู่ขั้นฮว่าเสินตั้งแต่อายุสิบขวบ ผู้คนต่างกล่าวขานกันว่าพรสวรรค์อันล้ำค่าของเขาจะต้องทำให้เขาสามารถบรรลุขั้นต้าเฉิงได้เป็นคนต่อไปอย่างแน่นอน

แต่ขั้นฮว่าเสินนี้เขาบำเพ็ญมาตั้งหลายปีจนยามนี้อายุย่างเข้ายี่สิบปีแล้ว เขาก็ยังไม่มีความก้าวหน้า ทำให้คำพูดยกยอที่เคยได้รับจากผู้คนจางหายไปในที่สุด ส่วนความฮึกเหิมและความคาดหวังที่มีต่อตนเองของเขาก็พลันจางหายไปเช่นเดียวกัน บัดนี้พลังปราณของเขาอยู่ในระดับปริ่มคอขวดของขั้นฮว่าเสินแล้ว อีกแค่เพียงนิดเดียวก็จะสามารถผ่านพ้นคอขวดไปอยู่ในขั้นฝานซู แต่เขาก็ยังไม่อาจจะหลุดพ้นจากคอขวดนี้สักที ในใจจึงเกิดความท้อแท้จนต้องออกจากด่านกักตนก่อนกำหนด

“ข้าอยากจะพักผ่อนสักพัก เจ้าอย่าพึ่งบอกเรื่องนี้กับอาจารย์เล่า” ไป๋เฟิงเอ่ยพลางยิ้มออกมา ยามนี้ปรมาจารย์เวินเหยียนกำลังอยู่ในช่วงกักตนเพื่อพยายามเข้าสู่ขั้นฝานซูเช่นเดียวกันกับเขา ดังนั้นเรื่องที่เขาออกจากด่านกักตนก่อนกำหนดนี้หากไม่มีผู้ใดไปแจ้งให้ปรมาจารย์เวินเหยียนรู้ ท่านปรมาจารย์ก็จะไม่มีทางรู้แน่ว่าเขาออกจากด่านกักตนแล้ว

“วางใจเถิด นอกจากข้าแล้วก็ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าเจ้าออกจากด่านกักตนแล้ว ส่วนทางด้านอาจารย์ยามนี้กำลังอยู่ในช่วงสำคัญของท่าน ข้าไม่กล้าไปรบกวนท่านอาจารย์ด้วยเรื่องของเจ้าแน่” ซวีจื่อหานเอ่ยพลางจ้องมองสหาย

ไป๋เฟิงเป็นชายหนุ่มที่มีที่มาไม่แน่ชัด แม้จะบอกกับทุกคนว่าเป็นแค่เพียงลูกชาวนามีฐานะยากจน แต่บุคลิกและท่วงท่ากลับแตกต่างจากชาวบ้านธรรมดาทั่วไป ยังมีพลังปราณติดตัวก่อนเข้าสำนักของเขาอีก ซวีจื่อหานไม่เคยเชื่อเลยว่าไป๋เฟิงผู้นี้เป็นแค่เพียงลูกชาวนาทั่วไปอย่างที่เขาบอกกับผู้อื่น

“กักตนนานหลายเดือนปี้จื่อคงจะเหงาน่าดู ข้าขอตัวไปหาปี้จื่อก่อนนะ” เมื่อเอ่ยจบไป๋เฟิงก็เหินร่างขึ้นขี่กระบี่ของตนเองแล้วบินทะยานเข้าไปในป่าต้องห้ามในทันที ทิ้งให้ซวีจื่อหานจ้องมองเงาร่างของเขาด้วยสายตาอันซับซ้อน

“ข้าไม่รู้ว่าตนเองควรจะริษยาเจ้าหรือว่าควรจะสงสารเจ้าดี ข้าริษยาเจ้าที่เจ้าประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ข้าก็สงสารเจ้าที่เจ้าถูกความคาดหวังกดทับจนติดกับดักแห่งความคาดหวังเหล่านั้น” ซวีจื่อหานเอ่ยพึมพำออกมา แล้วก็พลันคิดถึงตนเอง

ตัวเขาเองก็ถูกความคาดหวังกดทับตนเองเช่นเดียวกัน เพียงแต่เป็นความคาดหวังที่มีต่อตัวเขาหาได้ยิ่งใหญ่จนต้องบรรลุถึงขั้นต้าเฉิง แต่ในฐานะที่เขาคือคุณชายใหญ่ของสกุลซวีความคาดหวังของคนในสกุลที่มีต่อเขาจึงมีมากเป็นพิเศษ อย่างน้อยเขาก็ไม่ควรจะด้อยกว่ามหาราชครูซวีหยวนผู้เป็นบิดาของเขา ยามนี้เขาที่อยู่ในขั้นหยวนอิงและกำลังจะเข้าสู่ขั้นฮว่าเสินจึงหาได้มีความกดดันมากมายนัก เพราะถ้าเทียบกับบิดาแล้วในตอนที่อายุเท่ากันนับว่าเขามีความก้าวหน้ามากกว่าบิดาอยู่เล็กน้อย

เมื่อคิดถึงความคาดหวังของคนในสกุลซวีจื่อหานก็พลันคิดได้ว่าทั้งซวีจื่อเหมยและซวีจื่อหลันควรจะต้องถูกลงโทษ กฎในสำนักหย่อนยานนั่งคือเรื่องของผู้คุมกฎ แต่กฎของสกุลซวีของเขาหาได้หย่อนยานไม่ ในเมื่อพวกนางคิดง่ายๆ ว่ายามอยู่นอกจวนแล้วจะรอดพ้นจากกฎของสกุล ตัวเขาจะทำให้พวกนางเห็นเองว่าพวกนางคิดผิดแล้ว

ทางด้านลู่สือม่านยามนี้นางกำลังนั่งอยู่ในหอจันทรา ฉินชวนนับว่าเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสที่นางใฝ่ฝันอยากจะฝากตัวเป็นศิษย์ ยามนี้เมื่อได้เห็นเขากำลังตรวจดูอาการของลู่สือหลิง ในใจของนางก็ยิ่งทวีความเลื่อมใสในตัวของอาจารย์ผู้นี้มากยิ่งขึ้น

“ยาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณที่เจ้ากิน พอจะมีเหลือให้ข้าได้ตรวจสอบได้หรือไม่” ฉินชวนเอ่ยถามด้วยความสนใจ ยาลูกกลอนที่เด็กสาวตรงหน้ากินเข้าไปแม้ว่าประสิทธิภาพจะยังไม่อาจจะเทียบเท่ากับยาที่เขาปรุง แต่การที่มีคนสามารถปรุงยาลูกกลอนเพิ่มพลังปราณขั้นสองได้เพิ่มขึ้นมาอีกคน มันทำให้เขารู้สึกสนใจยิ่งนัก

“ยาลูกกลอนไม่ได้อยู่ที่ข้าหรอกเจ้าค่ะท่านอาจารย์ฉิน แต่ยาอยู่ที่นางต่างหาก” ลู่สือหลิงเอ่ยพลางชี้มาที่ลู่สือม่าน ทำให้ลู่สือม่านกลายเป็นจุดความสนใจของฉินชวนในทันที

“ผู้ใดมอบยาให้เจ้าหรือ” ฉินชวนเอ่ยถามลู่สือม่านด้วยความสนใจ ในบรรดาลูกศิษย์ของเขา ทุกคนล้วนเป็นคนเย่อหยิ่งและเก็บตัว ไม่มีทางที่พวกเขาจะลดลำดับขั้นพลังปราณตนเองมาปรุงยาเพิ่มพลังปราณขั้นสองแล้วมอบให้ผู้อื่นแน่ ซึ่งนั้นย่อมหมายความว่าคนที่ปรุงยาชนิดนี้ไม่ใช่หนึ่งในบรรดาลูกศิษย์ของเขา

“ข้าเป็นคนปรุงยาลูกกลอนนี้เองเจ้าค่ะ” ลู่สือม่านเอ่ยออกมาด้วยความขัดเขิน

เดิมทียาลูกกลอนนี้นางปรุงขึ้นเพื่อจะเพิ่มพลังปราณให้แก่ตนเอง แต่ยาที่ได้กลับเป็นขั้นสองนางจึงยังไม่กล้ากิน ทำได้แค่เพียงเก็บเอาไว้ในถุงผ้าเพียงเท่านั้น สาเหตุที่นางมอบให้ลู่สือหลิงก็เพราะคิดว่าลู่สือหลิงมีพลังปราณอยู่ในขั้นสร้างฐานเหมาะที่จะกินยาเพิ่มพลังปราณนี้พอดี

เพียงแต่ลู่สือม่านไม่เคยรู้เลยสักนิดว่าลู่สือหลิงมีพลังปราณอยู่ในช่วงสูงสุดของขั้นสร้างฐานพอดี พอลู่สือหลิงกินยาลูกกลอนเข้าไปแล้วพลังปราณของลู่สือหลิงก็ทะลุเข้าสู่ขั้นสร้างฐานโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เพราะไม่ได้เตรียมตัวที่จะข้ามขั้นร่างกายทนรับไม่ไหวจึงได้มีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงอย่างที่ลู่สือหลิงกำลังเป็นอยู่

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel