บท
ตั้งค่า

หินก้อนที่ 5 : เริ่มต้นเดินทาง

เช้าที่สดใสของใครหลายๆคนกลับเป็นเช้านรกของนักฆ่าอันดับหนึ่งเลยก็ว่าได้ ร่างในชุดคลุมสีขาวเดินไปตามทางในบ้านของตนเพื่อไปยังห้องอาหาร ใบหน้าสวยถูกปกปิดไว้ด้วยหน้ากากสีขาวสะอาดทิ้งไว้เพียงดวงตาสีฟ้าคมกริบให้ทุกคนได้เห็น ผมสีเงินซอยสั้นอยู่ตรงคอพร้อมเสียงที่ห้าวขึ้นกว่าเดิม ปลี่ยนจากลาเฟีย ดีเลเทีย บัดนี้เป็น ลาฟ ดีเลเทีย ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แอด... เด็กหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องอาหารของบ้านที่เคยใช้เป็นประจำกันอยู่สามคนแต่วันนี้กลับมี ‘แขก’ เพิ่มเข้ามาแถมยังเป็นแขกที่ไม่มีใครต้องการอีกด้วย

เด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าชายยังคงนั่งกินข้าวเช้าพร้อมพวกพี่อยู่ด้านในด้วยท่าทางสบายๆราวกับว่าที่นี่เป็นบ้านของตนเอง โดยไม่เกรงกลัวเลยสักนิดว่าเพื่อนร่วมโต๊ะคือเหล่านักฆ่าอันดับต้นของวงการจนลาฟชักอยากจะรู้แล้วว่าในชีวิตไอ้เจ้าชายนี่มันเคยกลัวอะไรบ้าง

อย่าให้รู้นะว่ากลัวอะไรพ่อจะแกล้งเสียให้หงอเลย ได้แต่คิดเพราะเจ้าตัวก็รู้อยู่หรอกว่าคนอย่างเจ้าชายผู้เป็นความหวังของทั้งสามดินแดนมีหรือจะกลัวอะไรง่ายๆ เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงแค่เดินไปนั่งคั่นพี่ชายทั้งสองโดยไม่คิดจะสร้างบทสนทนาขึ้นมาในห้อง เจ้าตัวหยิบช้อนขึ้นมาพร้อมๆกับหน้ากากส่วนที่ปิดบังครึ่งล่างค่อยๆเลือนหายไปเพื่อให้เด็กหนุ่มกินอาหารได้อย่างสะดวก เลโอปรายตามองเล็กน้อยอย่างแปลกใจว่าทำไมจะต้องสวมหน้ากากต่อไปด้วยแต่เจ้าตัวก็ไม่คิดจะเอ่ยปากถาม

“นายคงไม่ว่าหรอกนะถ้าน้องเราจะใส่หน้ากากอยู่ตลอดเวลา” ดวงตาสีฟ้าของเลโอตวัดไปมองเลเชียที่เป็นคนพูดก่อนจะยกมุมปากขึ้นราวกับเย้ยหยันถ้อยคำนั้น ถามออกมาแบบนี้ราวกับมีทางเลือกให้เขาอย่างนั้นแหละ

“ถึงว่าพวกนายคงไม่ฟัง” เลเชียขยับยิ้มนิดๆเมื่อได้ยินคำย้อนของเจ้าชายแห่งลาเพีย มันก็จริงนั่นแหละ ลาฟที่ฟังบทสนทนาลอบเบ้หน้าไม่ให้คนเป็นเจ้าชายเห็นด้วยความรู้สึกหมั่นไส้

“เรามาคุยเรื่องงานดีกว่า” เสียงของพี่เลเคียดึงความสนใจของทุกคนให้กลับมาเข้าเรื่องงานที่กำลังจะต้องทำ

“เราอยากรู้ว่าการเดินทางครั้งนี้มีจุดประสงค์ที่อะไร” พี่เลเคียพูดอย่างเป็นการเป็นงานเพราะรู้ว่าน้องสาวก็คงนึกหมั่นไส้คนตรงหน้าไม่ต่างจากเขาเท่าใดนัก

“นายคงได้ยินเรื่องผนึกแห่งเวลาสินะ” เสียงเย็นเข้าเรื่องทำเอาทุกคนพยักหน้าให้ ผนึกแห่งเวลาก็คือเรื่องเล่าเก่าแก่ซึ่งเป็นตำนานประจำสามดินแดน ถึงทุกคนจะรู้ว่ามันไม่ใช่แค่เรื่องเล่าเพราะประวัติศาสาตร์ก็มีจารึกเอาไว้แต่ก็ไม่เคยมีใครเห็นมันจริงๆสักที

“รู้ใช่ไหมว่าผนึกนั่นกำลังจะแตกออกแล้ว” คำพูดของคนที่ยังใจเย็นได้ทำเอาลาฟเริ่มหมดความอดทนจนนึกอยากจะลุกขึ้นแล้วกระชากตัวคนตรงหน้าเขย่าให้คายข้อมูลออกมาให้หมด แม้แต่พี่สองคนที่ถนัดเรื่องเค้นข้อมูลยังเหลือรับกับมันจริงๆ

“แล้วยังไง” เขาอยากยกมือบอกท่านพี่เลเคียจริงๆว่าสุดยอดเพราะท่านพี่ยังคงใจเย็นถามออกมาทั้งๆที่เขาชักอยากใช้ดาบเค้นคอเจ้าชายนี่จริงๆ (แม้จะรู้ว่าถึงทำ หมอนี่ก็คงไม่คายข้อมูลออกมาหรอก)

“สิ่งที่ต้องเอามารวมกันเพื่อสร้างผนึกแห่งกาลเวลาชิ้นใหม่มีอยู่สามอย่าง” เสียงเย็นยังคงเล่าต่อไปไม่สนใจจิตสังหารของลาฟที่ดูเหมือนจะแผ่ออกมามากขึ้น เขาละหมั่นไส้ท่าทางใจเย็นของเจ้าชายตรงหน้าจริงๆ ทำราวกับว่าตนเองไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น

“หนึ่งคือหินแห่งพระเจ้าที่อยู่ในดินแดนมนุษย์” เสียงเย็นยังคงพูดราวกับไม่ใช่เรื่องสำคัญ

“อย่างที่สองคือหินแห่งอนาคตที่อยู่ในดินแดนภูต” ท่านพี่เลเชียและท่านพี่เลเคียกำลังตั้งใจฟังขณะที่ลาฟกำหมัดแน่น ท่าทางพวกเขาจะเจองานยากเสียแล้ว

“อย่างที่สามคือหินแห่งอดีตที่อยู่ในแดนปีศาจ” ฟังมาถึงตรงนี้นักฆ่าทั้งสามก็อยากจะถอนหายใจออกมาดังๆ นี่มันงานทัวร์สามดินแดนชัดๆ

“งั้นพวกเราก็หาหินแห่งพระเจ้าที่อยู่ในแดนมนุษย์ก่อนสินะ” เลเชียเอ่ยสรุปว่าต้องทำอะไรเป็นอย่างแรก ในเมื่อตอนนี้พวกเขาอยู่ในดินแดนมนุษย์ การเริ่มหาจากที่นี่เป็นที่แรกย่อมรนเวลาในการเดินทาง

“หินแห่งพระเจ้าไม่ต้องหา เพราะมันอยู่ที่ท่านพ่อ” แต่คำพูดของคนเป็นเจ้าชายเกือบทำให้เลเชียหลุดปากอ้าว

“แล้วพ่อนายไม่ให้หินนั่นมารึไง” ดวงตาสีฟ้าหันไปมองลาฟอย่างไม่ค่อยชอบใจ พ่อเขาน่ะกษัตริย์แห่งลาเพียนะ เจ้าหมอนี่พูดเสียราวกับว่าเป็นชนชั้นเดียวกัน ไม่มีความเคารพนอบน้อมเลยสักนิด

ซึ่งในความเป็นจริงสำหรับนักฆ่าเหนือนักฆ่า ไม่ว่ากษัตริย์หรือประชาชน ไม่ว่ายากจนหรือร่ำรวย พวกเขาไม่ได้ต่างกันเลย เพราะเมื่อถึงยามที่ต้องลงมือสังหาร คนพวกนั้นก็นับเป็น ‘เหยื่อ’ เหมือนกัน ภายใต้สายตาของพวกเขาฐานะไม่ใช่ตัวแบ่งแยก แต่เป็นฝีมือต่างหาก

“ท่านพ่อบอกว่าถ้าเอาหินแห่งอนาคตซึ่งอยู่ที่แดนภูตมาได้ท่านก็จะให้หินแห่งพระเจ้า” คำพูดนั้นทำเอาทุกคนถอนหายใจ ช่างยุ่งอยากดีแท้แต่เอาเถอะยังไงก็ดันหลวมตัวมาเป็นองครักษ์ให้มันแล้วนี่

“ทำไม...” ลาฟถามออกมา ถึงจะต้องไปหาหินอื่นก่อนอยู่แล้วแต่อย่างน้อยก็ขอเหตุผลสักหน่อยเถอะ

“เพราะพวกผู้นำของสามดินแดนลงความเห็นว่าการได้หินแห่งอนาคตมาไว้ในมือก่อนจะช่วยลดความเสี่ยงในการถูกทำร้ายเพื่อแย่งชิงหิน” เลโอพูดเหตุผลของพวกผู้นำพวกนั้นออกมาให้เด็กหนุ่มฟังแต่นั่นยังไม่ใช่คำตอบที่ทำให้ลาฟหายสงสัย ตรงกันข้ามมันยิ่งเพิ่มความสงสัยมากขึ้นต่างหาก

“ทำไมมันถึงสามารถลดความเสี่ยงลงได้” นักฆ่าอันดับหนึ่งเรื่องการสังหารยังถามต่อแต่คราวนี้เลโอกลับเงียบไป ดวงตาสีฟ้ามองมาราวกับต่อว่าเขาว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่รู้อีกหรือ และก็เพราะสายตานั่นเช่นกันที่ทำเอาลาฟอยากลุกขึ้นมาชกหน้าคนเป็นเจ้าชาย ในเมื่อเลโอไม่ตอบเขาไม่ถามต่อก็ได้

“เฮ้อ...เป็นเด็กดีจริงนะ ทำตามคำสั่งพ่ออย่างเคร่งครัดเนี่ย” คำถากถางของลาฟดังขึ้นเป็นการตอกกลับสายตาเมื่อครู่ทำเอาสายตาต่อว่าของเลโอกลับกลายเป็นโกรธขึ้นมาวูบหนึ่งและก็เกือบจะได้ดวลดาบรอบสองจริงๆถ้าหากพี่เลเคียจะไม่ห้ามซะก่อน

“กินเสร็จแล้วก็ไปเตรียมตัวลาฟ เรายังต้องข้ามแม่น้ำไปดินแดนแห่งภูตอีก” ไม่มีใครกล้าขัด ไม่ใช่สิ ไม่อยากขัดซะมากกว่าเปลืองน้ำลายเปล่าๆ ว่าแต่คำว่า ‘เรา’ ของพี่เลเคียนี่หมายความว่ายังไง

ให้ตายเถอะชีวิตช่างยุ่งอยากจริงๆ ทำไมนักฆ่าอันดับหนึ่งอย่างเขาที่ทุกคนแสนหวาดกลัวกลับต้องมาทำหน้าที่องครักษ์ให้เจ้าชายด้วยนะ นักฆ่ากับองครักษ์ มันเข้ากันไหมเนี่ย จากจับดาบฆ่าคนมาเป็นจับดาบปกป้องคนเนี่ยนะ แสบนักนะ...แสบถึงทรวงจริงๆเจ้าชายแห่งลาเพีย แค้นนี้ของเราไม่จบง่ายๆแน่ แค้นนี้มันต้องชำระ!!

แต่เขาก็หวัง...หวังว่าไอ้งานบ้าๆแต่ค่าตอบแทนดีเนี่ยมันจะไม่ทำให้เขาวุ่นวายไปมากกว่านี้หรอกนะ

•.★*... ...*★.•

ท่าเรือข้ามแดนภูตในประเทศลาเพียยังคงสับสนวุ่นวายเสมอ พ่อค้าแม่ค้าต่างตะโกนขายของท่ามกลางแสงแดดที่ร้อนระอุ เหล่าผู้คนมากมายต่างเดินเบียดเสียดสวนทางไปมา

“ให้ตายสิร้อนชะมัด” ลาฟบ่นออกมาขณะเดินอยู่ข้างๆเลโอบนท้องถนนที่เต็มไปด้วยผู้คน

“ร้อนนักก็ถอดหน้ากากกับผ้าคลุม” เสียงเย็นไร้อารมณ์เปรยขึ้นราวกับจะยั่วโมโหคนบ่นทำเอาลาฟเบ้ปาก ถึงแดดจะร้อนแต่ไอ้เจ้าชายคนข้างๆก็ไม่ยักจะละลายเสียงเย็นๆของเจ้าตัวสักที

“ทนเอาหน่อยลาฟ เลเชียก็ล่วงหน้าไปจองที่บนเรือให้แล้ว เดี๋ยวขึ้นเรือก็คงหายร้อน” พี่เลเคียที่เดินนำหน้าปลอบน้องสุดหวงของตน แน่นอนว่าตอนนี้ลาฟและเลโอต่างเข้าใจคำว่า ‘เรา’ แล้วเพราะไอ้คำว่าเราที่ว่ามันพวงเลเคียกับเลเชียมาด้วยนั่นเอง

“ถอดหน้ากากก็สิ้นเรื่อง หน้านายมันเละขนาดไหนถึงต้องปิดบัง” คำพูดของไอ้คนเป็นเจ้านายทำเอาคนฟังกัดฟันแน่นนึกอยากจะสังหารมันทิ้งเสียตรงนี้ องครักษ์ก็องครักษ์เถอะเจ้านายมันกวนอารมณ์อย่างนี้ก็ต้องมีฆ่ากันบ้างละโว้ย

“โทษทีก็แล้วกันที่หน้ากากฉันมันไปหนักหัวนาย” ลาฟกัดฟันพูดเหมือนจะเปิดสงครามกันให้ได้ ไอ้เรื่องการประลองที่ผ่านมายังไม่ได้เคลียร์เลยนะ สงสัยเขาคงต้องหมายหัวไอ้เจ้านายคนนี้ขึ้นบัญชีดำที่ต้องกำจัดเสียแล้ว รอให้หมดหน้าที่นี้ก่อนเถอะ ถึงไม่มีใครจ้างเก็บแต่เขาจะเก็บเองทั้งๆที่ไม่มีใบจ้างเนี่ยแหละ คุกหลวงก็คุกหลวงเถอะ งานนี้มันต้องลองกันสักตั้ง

“มันไม่หนักหัวฉันหรอก แต่หนักหน้านาย” คำพูดสวนกลับของเลโอทำเอาเลเคียถอนหายใจ เด็กจริงๆให้ตายเถอะ

แต่...คนเป็นพี่ชายเริ่มเหยียดยิ้มแต่เป็นรอยยิ้มที่ดูเครียดนัก น่าแปลกเขาเคยได้ยินมาว่าเจ้าชายแห่งลาเพียเป็นคนน่ากลัวและเย็นชา เท่าที่ดูมาน่ากลัวนะใช่แต่ท่าทางที่แสดงออกตอนนี้มันไม่เย็นชาเลยสักนิด และที่แปลกยิ่งกว่าคือน้องของเขา ปกติถ้าใส่หน้ากากแล้วละก็ลาเฟียก็จะกลับกลายเป็นลาฟซึ่งเป็นคนประเภทที่ไม่สนใจโลกภายนอก แต่ทำไม...ทำไมถึงมายืนเถียงกับเลโอ

มันเป็นความเปลี่ยนแปลงที่พี่อย่างเขาไม่ชอบเอาเสียเลย ให้ตายสิไม่ชอบเลย...ไม่ชอบเอามากๆด้วย เพราะมันเหมือนว่าจะมีคนมาแย่งน้องสาวออกไปจากอกเขาและคนที่พี่อย่างเขาต้องหมายหัวคงจะเป็นเจ้าชายแห่งลาเพียคนแรก

•.★*... ...*★.•

“ทางนี้ๆ” เสียงเรียกดังมาจากหน้าเรือลำใหญ่ยักษ์ที่เตรียมพร้อมสำหรับข้ามเขตแดนของแดนภูตและมนุษย์ แน่นอนเขาคือเลเชียที่ล่วงหน้ามาก่อนนั่นเอง

“ว่าไง” ท่านพี่เลเคียเข้าไปถามข้อมูลเป็นคนแรกพร้อมรอยยิ้มที่ดูจะเยาะเย้ยอยู่ในที

“เห็นเขาบอกว่าการข้ามเขตแดนไปแดนภูตต้องใช้เวลาหนึ่งวันหนึ่งคืน” เลเชียอธิบายโดยที่พยายามจะไม่สนใจรอยยิ้มนั่น ช่วยไม่ได้เขาโง่เองนี่นาที่ดันไปติดกับแฝดคนโตจนต้องล่วงหน้ามาก่อน

“งั้นก็ต้องค้างบนเรือน่ะสิ” ลาฟถามทำให้คนเป็นพี่พยักหน้าให้แล้วต่อ

“ฉันจองให้แล้วสองห้อง รีบๆขึ้นไปจัดของเถอะ” เลเชียพูดพร้อมเดินนำขึ้นเรือไปเป็นคนแรกตามมาด้วยเลเคียและเลโอที่เดินตามไปติดๆ

ลาฟหยุดชะงักนิดนึงที่ทางขึ้นแล้วเหลือบตาไปมองข้างหลังที่มีแต่ความว่างเปล่า เด็กหนุ่มเหยียดยิ้มออกมาภายใต้หน้ากากสีขาวก่อนจะเค้นเสียงหัวเราะในลำคอแล้วหันหลังเดินขึ้นเรือไป ตามมาจนได้สินะ เด็กหนุ่มคิดแล้วเหยียดยิ้มกว้างขึ้นกว่าเดิม

ค่ำคืนนี้คงเป็นค่ำคือที่สนุกกันอีกคืน!!

•.★*... ...*★.•

“เอาละ ถึงแล้ว” เลเชียพาทุกคนมาหยุดหน้าห้องสองห้องที่อยู่ติดกันและแน่นอนข้างในน่าจะมีประตูเชื่อมถึงกันอยู่

“เออ...พวกฉันลืมบอกนายไปว่าตอนกลางคืนบางครั้งพวกเราอาจจะออกไปทำงาน แต่ไม่ต้องกลัวหรอกเพราะต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่จะอยู่ดูแลนาย” เลเชียพูดกับเลโอเพราะเพิ่งนึกได้ บางครั้งพวกเขายังต้องรับงานภายนอกบ้าง นั่นก็เพื่อไม่ให้ชื่อของนักฆ่าอันดับหนึ่งเรื่องการลอบสังหารของลาฟ หรือชื่อของนักฆ่าอันดับหนึ่งกับนักฆ่าอันดับสองเรื่องข่าวสารอย่างเลเคียและเลเชียถูกลืมเลือน ถ้าชื่อพวกเขาถูกลบเลือนในวงการนักฆ่าคงได้วุ่นวายขึ้นมาอีกแน่ๆ

“แล้วแต่ ในเมื่อฉันจ้างแต่ลาฟเท่านั้น” เลเชียชักคิ้วกระตุกกับคำพูดเหลือรับของคนเป็นเจ้านาย จะถามว่าตามมาทำไมงั้นเหอะ เผลอๆ (แต่ใช่) ในใจของหมอนี่คงเห็นพวกเราเป็นตัวเกะกะอีก เอาเถอะในเมื่อหลวมตัวมาทำงานให้มันแล้วนี่

“งั้นลาฟมานอนกับพี่” เลเคียพูดออกมาพร้อมกวักมือเรียกน้องของตน

“ได้ไง ลาฟต้องนอนกับฉัน” ฝั่งพี่คนรองก็ไม่ยอมแพ้เหมือนกัน เรื่องอะไรจะยอมให้น้องสุดเลิฟไปนอนกับเลเคียคนเดียวละอย่างนี้มันเอาเปรียบกันชัดๆ

“มานี่ลาฟ” พี่เลเคียชักเรียกน้องเสียงเข้มส่วนพี่เลเชียกลับเดินมาเกาะน้องไว้เหมือนกับไม่ได้ยินเสียงของพี่คนโต ลาฟถอนหายใจออกมานิดๆขณะยกมือกอดอกปล่อยให้พี่ที่แสนเอาแต่ใจทั้งสองตีกัน เลโอมองศึกชิงน้องตรงหน้าแล้วถอนหายใจออกมา

สุดท้ายเมื่อดูแล้วว่าศึกชิงน้องจะยืดเยื้อไปอีกนานคนเป็นเจ้าชายก็ก้าวฉับๆ ก่อนจะเอาแขนพาดบ่าลาฟแล้วแย่งเด็กหนุ่มออกมาจากอ้อมกอดของเลเชียพร้อมลากเข้าห้องไปด้วยกันอย่างตัดปัญหาท่ามกลางความอึ้งของพี่ทั้งสองคน เพราะถึงยังไงเขาก็จ้างลาฟมาเป็นองครักษ์ การที่องครักษ์จะพักกับเจ้านายเพื่อทำการอารักขาตลอดเวลาย่อมเป็นเรื่องถูกต้องชอบทำอยู่แล้ว

เฮ้ย...นั่นมันน้องพวกเขานะทำอย่างนั้นมันเหมือนแย่งน้องไปจากอ้อมแขนพวกเขาเลยนี่ มันมีสิทธิอะไรมาทำแบบนี้ พี่สองคนที่หวงน้องแทบจะกรีดร้องออกมาทีเดียว

เลโอไม่รู้เลยว่าหลังจากนั้นเลเชียและเลเคียเกือบพังประตูห้องเข้ามา แต่ก็ต้องยอมแพ้เพราะเขตอาคมของคนเป็นเจ้าชายที่กางไว้หน้าห้องราวกับจะรู้ทัน มันแข็งแกร่งเกินกว่าที่พวกเขาจะทำลายลงได้นะสิ

อย่าให้ถึงทีพวกเขาก็แล้วกัน!!

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel