ตอนที่สี่ รู้สึกดีเช่นนี้เอง (กรุบกริบ)
ตอนที่สี่
รู้สึกดีเช่นนี้เอง
“ข้าหรือจะเกรงกลัวผู้นำเผ่าเล็กๆของเจ้า” ถ้อยคำหยิ่งยโสโอหังของแม่ทัพหนุ่มทำให้ตวนมู่เจียวต้องคิดหาทางอื่น
“ป่านนี้เรื่องคงถึงหูเพื่อนของข้าแล้ว ถึงจะเป็นหญิงต่างเผ่าแต่ข้าก็มีเพื่อนในตัวเมืองหลายคน ท่านไม่กลัวว่าพวกเขาหรือข้าจะนำความไร้เหตุผลของท่านไปฟ้องท่านเจ้าเมืองหรือ เป็นถึงแม่ทัพผู้หาญกล้ากับฉุดคร่าสตรีอ่อนแอไร้ความผิด”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไร้ความผิดหรือ หากสายลับต่างเผ่าเช่นเจ้าจะกล้าเข้าจวนไปฟ้องเจ้าเมือง เช่นนั้นข้าจะได้นำหลักฐานที่มีในมือไปฟ้องด้วยพร้อมกัน ดูสิว่า โทษของเจ้าหรือข้าผู้ใดจะหนักหนากว่ากัน”
ถ้อยคำที่โยวหย่งคังเอ่ยออกมาทำให้ตวนมู่เจียวหดนัยน์ตาชะงักการดิ้นรน สายตาไม่ไว้วางใจมองสบแววตาแรงกล้าของแม่ทัพหนุ่มเพื่อตรวจสอบว่าเขารู้เรื่องที่เอ่ยออกมาจริง
สายลับ? เขารู้ได้อย่างไร?
เรื่องที่นางเป็นสายลับของแคว้นต๋าไม่เคยมีผู้ใดรับรู้แม้แต่เสาซิงอีหรือแม่เล้าใหญ่
แม้กระทั่งมารดาของนางยังไม่เคยล่วงรู้ด้วยผู้ที่บงการเบื้องหลังคือบิดาซึ่งไม่เคยมีผู้ใดรู้ตัวตน
คืนหนึ่งเขาได้มาปรากฏกายพร้อมหลักฐานความเป็นบิดา จากนั้นจึงสั่งการให้นางทำตามคำสั่งโดยใช้ชีวิตของมารดามาเป็นประกัน
แม้ระยะหลังมานี้เขาจะไม่เคยติดต่อกับนางนานแล้วและเรื่องที่เขาเคยให้ทำไม่ได้หนักหนา แต่เรื่องเช่นนี้ย่อมเป็นชนักติดหลังของตวนมู่เจียว
“หากเจ้ายินยอมโดยดี เรื่องสายลับย่อมไม่หลุดออกจากปากของข้า” โยวหย่งคังเห็นอาการของหญิงสาวย่อมรับรู้ได้ว่านางหวาดกลัวแล้ว
“ยินยอม ยินยอมอย่างไร? อย่าคิดว่าเป็นแม่ทัพแล้วจะข่มเหงรังแกกันง่ายๆ ข้ามิใช่นางคณิกาหรือหญิงงามเมือง” ตวนมู่เจียวเห็นสายตาแสดงความต้องการจากแม่ทัพหนุ่มจึงพยายามแสดงเขี้ยวเล็บแม้จะสั้นกุดจนไม่อาจทำสิ่งใดได้ก็ตาม
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ง่ายหรือยากข้าล้วนเป็นผู้ตัดสิน เอาเถอะ เห็นแก่ที่เจ้าปากเก่งและยังเป็นเพียงสายลับตัวน้อย อีกอย่างการศึกก็สงบลงไปแล้ว ข้าจะลงโทษเจ้าเพียงไม่กี่คราก็แล้วกัน”
โยวหย่งคังลงมือถอดเสื้อผ้าของตนเอง ยามนี้ทั้งกายของเขาต่างร้อนรุ่มด้วยยากำหนัดจนหน้ามืดตาลาย แม้ไม่อยากปลุกปล้ำหญิงสาวนางนี้แต่เขาจำเป็นต้องปลดปล่อยความทรมานออกไปโดยเร็วที่สุด
ถือว่านางโชคร้ายก็แล้วกันที่มีจุดอ่อนให้เขาจับผิดได้
แต่...เขาไม่คิดจะล่วงเกินนางเปล่าๆ
ถึงอย่างไรก็เป็นสตรีอ่อนแอ
หากนางเรียกร้องสิ่งใดที่ไม่เกินไป เขาจะยินยอมตามใจก็แล้วกัน
โยวหย่งคังเพียงคิดในใจ ไม่ได้เอ่ยออกมา สายตาซึ่งเต็มไปด้วยราคะเร่าร้อนมองสบแววตาไม่เข้าใจของตวนมู่เจียว
“เจ้า...เอ่อ...ท่านไม่ชื่นชอบสตรีมิใช่หรือ” เดิมทีหญิงต่างเผ่าคิดถึงเพียงความโหดร้ายของแม่ทัพหนุ่ม ไหนเลยจะคาดคิดว่าเขาจะคิดจับนางมาร่วมอภิรมย์
“ไปได้ยินมาจากไหน ข้าเป็นชายหนุ่มทั้งแท่ง เหตุใดต้องไม่ชอบหญิงสาว”
“แต่...” ตวนมู่เจียวมองกล้ามเนื้อเป็นมัดๆแสดงความแข็งแกร่งของชายตรงหน้าซึ่งถอดเสื้อออกจนเหลือเพียงกางเกงตัวเดียวพลางกลืนน้ำลายเอือกๆ
นางยังไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจจะต้องมาเสียความบริสุทธิ์
แต่ร่างชายหนุ่มรูปงามซึ่งเต็มไปด้วยมัดกล้ามเหตุใดช่างเร้าใจนัก
“หรือเจ้าจะยอมถูกจับเข้าคุกในจวนเจ้าเมือง ข้อหาร้ายแรงเช่นนั้นข้าขอเตือนไว้ก่อนว่าอาจไม่ได้โดนลงทัณฑ์เพียงเล็กน้อย กว่าจะตัดสินโทษแท้จริง หญิงสาวต่างเผ่าที่งดงามและต้องโทษเช่นเจ้าคงโดนทั้งผู้คุมและชายอีกมากรุมย่ำยีจนไม่อาจเห็นเดือนเห็นตะวัน”
ตวนมู่เจียวคิดตามพลางกลืนน้ำลายอีกหลายอึก
นางไม่เคยคิดเรื่องเหล่านี้มาก่อนด้วยที่ผ่านมายังเยาว์วัยเกินไป เมื่อโตพอรู้ความจึงคิดเลิกติดต่อกับบิดาในขณะที่เขาเงียบหายไปเอง
ผู้ใดจะคิดว่าแม่ทัพผู้นี้กลับล่วงรู้และฉวยโอกาสนำเรื่องสายลับนี้มาข่มขู่นาง
“หากท่านเหงามากเหตุใดไม่หาภรรยาสักคนหรือไปที่หอคณิกา ข้าได้ข่าวมาว่าแม่นางลี่ปี้รอท่านอยู่ทุกวัน ข้าเป็นหญิงสาวดีงามคนหนึ่ง ภายหน้ายังต้องแต่งงานมีสามี ไม่ใช่ของเล่นที่ท่านจะนำมาขยำขยี้แล้วทำตามใจชอบ” ตวนมู่เจียวพยายามต่อรอง
“ลี่ปี้คนงาม เชอะ มิใช่เพราะนางหรือ ข้าจึงต้องหาทางออกไร้ยางอายเช่นนี้”
