ตอนที่สาม ว่างมาก
ตอนที่สาม
ว่างมาก
“โอ๊ย!...”
เสียงร้องของตวนมู่เจียวดังลั่นเมื่อจู่ๆม้าตัวใหญ่ก็ชนเข้ากับเกวียนเล็กซอมซ่อของนางจนแทบหัก
“ไม่มีตาหรืออย่างไรชนเข้ามาได้” หญิงสาวโวยวายพลางมองผู้ซึ่งควบขี่อยู่บนหลังม้า
“อ้อ...ที่แท้ แม่ทัพว่างงานนั่นเอง” ตวนมู่เจียวบ่นพึมพำอย่างไร้ความเกรงใจ
นางมิใช่คนในเมืองนี้จึงไม่ได้เคารพนบนอบแม่ทัพหนุ่มซึ่งใช้ชีวิตปกป้องชาวประชา
กลับกัน ในยามศึกสงครามแม่ทัพผู้นี้สังหารคนในเผ่าของนางไปไม่น้อย ความรู้สึกไม่พอใจจึงอบอวลอยู่ภายใต้จิตใจ
“เจ้าว่าผู้ใดว่างงาน” โยวหย่งคังสีหน้าดุดันกระโดดลงจากหลังม้าเดินย่างสามขุมด้วยท่าทีคุกคาม
“ท่านว่างมากมิใช่หรือ มิเช่นนั้นวันวันจะดีแต่ขี่ม้าร่อนเร่กีดขวางทางผู้อื่นและยังชนข้าจนเกือบตายเช่นนี้หรือ” หญิงสาวลดเสียงลงแต่น้ำเสียงยังคงไม่พอใจ
“ข้าเป็นแม่ทัพ ย่อมต้องดูแลชาวบ้านให้ทั่วถึง งานของข้าสร้างคุณประโยชน์นานัปประการมากกว่าหญิงต่างเผ่าเช่นเจ้าที่เอาแต่เข้ามากอบโกยเงินทองหากินกับชาวบ้านแล้วก็จากไป” ถ้อยคำราวรู้จักตัวตนของตวนมู่เจียวดีทำให้หญิงสาวเอ่ยโต้เถียงอย่างไม่อาจลดราวาศอก
“ข้าทำการค้าอย่างชอบธรรม มิได้คดโกงผู้ใด ลูกค้าต่างชื่นชอบและสั่งซื้อสุราของข้าโดยไม่ได้บังคับขู่เข็ญ ซ้ำราคาก็ย่อมเยามาก ท่านแม่ทัพจะมากล่าวหาว่าข้ากอบโกยแล้วจากไปได้อย่างไร”
ตวนมู่เจียวเชิดหน้าโต้กลับก่อนจะก้มลงบ่นกระปอดกระแปดแต่ความดังยังคงพอได้ยิน
“เชอะ แม่ทัพซึ่งไม่มีข้าศึกศัตรูให้รบราย่อมไม่ต่างกับกำแพงซึ่งตั้งตระหง่านแต่ไร้ความหมายในการป้องกัน นี่คงว่างมากสินะ จึงได้แต่ขี่ม้าเที่ยวเล่นหาเรื่องผู้อื่นไปเรื่อยเปื่อยเช่นนี้”
โดนหญิงสาวนินทาต่อหน้าอีกทั้งใช้ถ้อยคำจี้ใจดำ แม่ทัพหนุ่มจึงกระฟัดกระเฟียดด้วยโมโห
“ในเมื่อยามนี้ข้าว่างจากศึกรบ เช่นนั้นพวกเราไปหาเรื่องทำแก้เบื่อหน่ายก็แล้วกัน”
ร่างใหญ่ตรงเข้าอุ้มหญิงสาวซึ่งตะโกนโวยวายก่อนจะโดนปิดปากด้วยผ้าผูกเอวของตัวเอง
ร่างบางถูกโยนขึ้นหลังม้าซึ่งขี่กลับจวนแม่ทัพไปราวพายุหมุน
“นำลาของนางกลับไปไว้ที่จวนด้วย” เสียงตะโกนสั่งลูกน้องดังแว่วเข้าหูของตวนมู่เจียว แต่ยามนี้นางทำได้เพียงดิ้นรนเพื่อให้รอดพ้นจากกำมือของแม่ทัพใหญ่ผู้กระหายเลือดคนนี้
เขาคงไม่ว่างมากจนคิดจะจับนางไปเชือดเนื้อเถือหนังแทนข้าศึกเหล่านั้น
หรือว่าเขาจะเบื่อจนอยากนำนางไปเฆี่ยนตีให้เจ็บปวดด้วยความบ้าคลั่ง
เพียงต่อล้อต่อเถียงไม่กี่คำ อุตส่าห์ใช้เสียงไม่ดังเพื่อไม่เป็นการทำให้เขาขายหน้า
ไม่คิดว่าเขาจะกล้าฉุดคร่านางกลางที่สาธารณะต่อหน้าต่อตาผู้คนมากมาย
แม่ทัพเช่นเขาช่างบ้าอำนาจนัก คิดอยากจับคนก็จับโดยไม่ไต่สวนทวนความ
ได้แต่หวังว่าเรื่องอุกอาจเช่นนี้คงเข้าหูเสาซิงอีและนางอาจพาคนของทางการมาช่วย
ตวนมู่เจียวโดนแรงโยกของม้าตัวใหญ่จนเวียนหัว เมื่อถึงประตูจวนแม่ทัพ โยวหย่งคังไม่ปล่อยให้หญิงสาวได้ดิ้นรนแต่อุ้มร่างน้อยเดินดุ่มๆถีบประตูเข้าไปจนทหารยามแตกตื่น
แม่ทัพหนุ่มเดินตรงเข้าไปยังห้องนอนพลางจับหญิงสาวโยนลงบนเตียงจนผ้าคลุมกายหลุดลุ่ยออกมา
ตวนมู่เจียวรีบใช้มือดึงผ้าปิดปากออกแล้วคลุมผ้าทั้งบนทั้งล่างเพื่อไม่เปิดเผยความขาวนวลเนียนของร่างกาย
“ถึงจะเป็นแม่ทัพ แต่จู่ๆจะจับผู้คนมาตามอำเภอใจไม่ได้ ข้ามิได้ทำเรื่องใดผิด ที่สำคัญคือข้าไม่ใช่คนเมืองนี้ หากเจ้าทำร้ายข้าคงมีคนนำไปฟ้องผู้นำเผ่า ถึงเวลานั้นดูสิว่าเจ้าจะหาข้อแก้ตัวอย่างไร” หญิงสาวยังคงปากเก่งด้วยใช้ชีวิตอย่างไม่เคยกลัวเกรงผู้ใด
“ข้าหรือจะเกรงกลัวผู้นำเผ่าเล็กๆของเจ้า” ถ้อยคำหยิ่งยโสโอหังของแม่ทัพหนุ่มทำให้ตวนมู่เจียวต้องคิดหาทางอื่น
“ป่านนี้เรื่องคงถึงหูเพื่อนของข้าแล้ว ถึงจะเป็นหญิงต่างเผ่าแต่ข้าก็มีเพื่อนในตัวเมืองหลายคน ท่านไม่กลัวว่าพวกเขาหรือข้าจะนำความไร้เหตุผลของท่านไปฟ้องท่านเจ้าเมืองหรือ เป็นถึงแม่ทัพผู้หาญกล้ากับฉุดคร่าสตรีอ่อนแอไร้ความผิด”
